“ฉันพลาดไปแล้ว… พลาดจริงๆ เลย…”
ฉันพยายามตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ ขณะพิงมือบนเข่า ความเหนื่อยจากการวิ่งเยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรกในรอบปีทำให้หายใจหอบและขาแทบหมดแรง
“เขาอยู่ที่ไหนกันนะ…”
เวลานัดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ—วันนี้คือวันปฐมนิเทศของลูกสาวสุดสำคัญของฉัน แต่ดูยังไงก็คงไปไม่ทัน
เหลือเวลาอีกสองชั่วโมง… ถ้าหาเขาเจอก่อนหน้านั้นก็คงดี…
ฉันถอนหายใจพลางเช็กมือถือสำหรับงาน ยังไม่มีเบาะแสใด ๆ เด็กหนุ่มที่ควรจะเตรียมเข้ารับการผ่าตัดกลับหายตัวไป ทั้งที่ปกติเขาเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่และสุขุมเกินวัย
แม้ทุกคนจะช่วยกันหา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเริ่มหนีไปตอนไหนหรือไปที่ไหน—คงต้องกลับโรงพยาบาลเพื่อแชร์ข้อมูลกับทีมอีกครั้ง…
“นั่น… เรียวคุงเหรอ?”
ขณะจะกลับไปโรงพยาบาล ฉันก็เห็นเด็กชายในชุดนักเรียนใหม่ยืนอยู่ข้าง ๆ เรียวคุงที่หนีออกไป ฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปหา แต่เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ฉันกลับหยุดชะงักลง
เด็กชายคนนั้นกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเรียวคุงราวกับกำลังปลอบโยน ฉันรู้สึกว่าไม่ควรเข้าไปขัดจังหวะ จึงแอบดูอยู่เงียบๆ
ได้ยินเสียงสะอื้นของเรียวคุง
“ไม่ควรร้องไห้แท้ ๆ … ขอโทษนะคับ ขอโทษจริง ๆ…”
เด็กชายค่อย ๆ วางมือลงบนหัวของเขา ลูบปลอบอย่างแผ่วเบา จนเรียวคุงเงยหน้าขึ้น
“รู้ไหม เวลาลำบากน่ะ จะร้องไห้ตะโกนออกมาก็ได้นะ”
“ได้เหรอ?”
“แน่นอนสิ เด็กก็คือเด็ก ทำให้พ่อแม่ลำบากบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก พอโตขึ้นก็ค่อยแสดงให้เห็นว่าเราเติบโตขึ้นมาแค่ไหนก็พอแล้ว”
“อืม…”
“ไม่ต้องแกล้งทำเป็นเข้มแข็งหรอก อยากพูดอะไรก็พูด ทำอะไรไม่ได้ก็แค่บอก ทุกอย่างมันเริ่มจากการสื่อสาร”
“ก็จริง…”
“สิ่งที่แย่ที่สุดคือการเก็บเอาไว้จนมันระเบิดทีหลัง… ตอนนั้นมันจะสายเกินไป”
เด็กชายพูดต่อไปอย่างหนักแน่น ฉันเห็นสายตาของเรียวคุงอ่อนลง รู้สึกอุ่นใจที่ได้เห็นเขากลับมาเป็นเด็กในวัยของเขาอีกครั้ง
“ถ้าเป็นผู้ชายนะ ต้องเท่เข้าไว้ อย่าหนีจากสิ่งที่ควรพูดล่ะ”
“ฮะ ๆ จริงด้วยนะ”
“เอาล่ะ ทีนี้ไหวมั้ย?”
“อืม ขอบคุณนะ พี่ชาย… เดี๋ยวผมจะลองพูดออกไปให้ได้เลย”
เด็กชายพาเรียวคุงไปหาพ่อแม่ที่รออยู่ตรงทางเข้า บอกให้เขาสู้ ๆ แล้วโบกมือส่งเขาจนลับตา
“นี่… ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย?”
ฉันเรียกเขาไว้ก่อนที่เขาจะเดินจากไป เด็กชายหันมาทำหน้ารำคาญนิด ๆ แต่พอเห็นฉัน เขาก็โค้งหัวแล้วหยิบถุงจากกระเป๋ายื่นมาให้
“เอ่อ… ของที่ยืมไปครั้งก่อน ขอบคุณครับ”
ในถุงนั้นมีผ้าเช็ดหน้าที่ฉันเคยให้ไว้ ความทรงจำในตอนนั้นหวนกลับมาเหมือนภาพยนตร์ที่ย้อนฉาย
“นายคือเด็กคนนั้นนี่เอง… ฉันอยาก—”
“ไม่เป็นไรครับ แค่รู้สึกไม่อยากปล่อยผ่านเฉย ๆ แค่นั้นเอง เป็นแค่นิสัยส่วนตัว ไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอกครับ”
ฉันรู้สึกอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก เด็กชายยังคงไม่มองฉันตรง ๆ แต่ทิ้งคำพูดไว้
“ถ้าจะใช้เวลาเพื่อผมล่ะก็ เอาเวลาไปดูแลเด็กคนนั้นเถอะครับ เด็กก็คือเด็ก ถึงจะดูโตแค่ไหนก็ตาม…”
“จริงสินะ…”
ฉันยื่นมือออกไปเหมือนอยากรั้งเขาไว้ แต่เขาก็วิ่งจากไปเสียก่อน ทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง
◇◇◇
“คุณพ่อ ทำไมถึงมาช้าคะ? เกือบไม่ทันแน่ะ”
“ขอโทษนะ พอดีมีเรื่องวุ่น ๆ นิดหน่อยน่ะ”
“แต่หน้าคุณพ่อดูเหมือนกำลังมีความสุขแปลก ๆ เลยค่ะ”
“หืม? อาจจะใช่ก็ได้นะ พ่อเจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าจิตใจสดใสขึ้นน่ะ”
“ระวังไว้ด้วยนะคะ… อย่าให้แม่รู้เชียว”
“ไม่ใช่อย่างที่ลูกคิดสักหน่อย! พ่อแค่เจอเด็กดี ๆ คนหนึ่งแค่นั้นเอง”
“แต่ว่าถ้าเขาดีขนาดนั้น…”
“ใช่ พ่อเองก็คิดเหมือนกัน ว่าเขาอาจไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีเท่าไหร่ ถ้ามีอะไรช่วยได้ก็คงดี…”
“ถ้าเขาเรียนโรงเรียนเดียวกับหนูก็ฝากบอกขอบคุณแทนได้นะคะ—แต่ให้หนูไปพูดเองหรอ? ไม่น่าเป็นไปได้นะคะ”
“เอาน่า อย่างน้อยลองดูหน้าตาเขาก็ได้… ผู้ชายคนนี้เหมือนกับตัวการ์ตูนที่ลูกเคยดูไง—‘ปอนตะ ทานุกิขี้เหงาเจ้าอารมณ์’ ไงล่ะ!”
“ชมแบบนี้ก็ไม่ไหวนะคะ…”
“แต่ลูกเคยบอกว่าชอบไม่ใช่เหรอ? ตัวละครเงียบ ๆ แต่นิสัยน่ารักน่ะ”
แม้จะทำเป็นไม่สนใจ แต่ลูกสาวฉันเริ่มตั้งใจฟังขึ้นมาทีละน้อย
“หนูไม่ได้สนใจนะคะ แค่… บอกลักษณะไว้ก็ได้นะ เผื่อ…จะได้เจอ”
“ได้สิ พ่อจะเล่าให้ฟังทั้งหมดเลย”
ลูกสาวฟังเรื่องของเด็กคนนั้นด้วยตาเป็นประกายราวกับฟังเรื่องวีรบุรุษในนิทาน
ขอให้เธอเริ่มเปิดใจจากเรื่องราวนี้เถอะ…
◇◇◇
“เฮ้อ…”
ฉัน—วาคามิยะ ริน หายใจลึกๆ ขณะยืนรอหลังเวที แม้จะไม่ตื่นเวทีตอนพูด แต่ก่อนหน้านั้นมันก็อดตื่นเต้นไม่ได้
“ปอนตะเหรอ…”
ฉันแอบมองเวที ที่มีอาจารย์กำลังเรียกชื่อเด็กใหม่ทีละคน
ชื่อก่อนหน้าฉันดังเบา ๆ เหมือนไม่ค่อยอยากตอบ ฉันหันไปมองต้นเสียง ก็เห็นคนที่โดนคาโต้ซังกระทุ้งข้อศอกเข้าให้
รู้สึกคล้ายใครบางคน…
“หน้าเหมือน…ปอนตะจังเลย…”
ปอนตะ ทานุกิผู้เงียบขรึม ไม่แสดงความรู้สึก แต่จริง ๆ แล้วอ่อนโยนและหวังดีกับคนอื่นเสมอ
ไม่มีใครสังเกต… ไม่มีใครรู้…
“ให้ตายสิ ฉันนี่ก็คิดอะไรอยู่เนี่ย…”
ฉันตบหน้าตัวเองเบาๆ แล้วตั้งสติ
‘ไม่มีทางหรอก ผู้ชายดีๆ น่ะ ไม่มีอยู่จริง’
แต่ในใจลึกๆ ก็ยังคิดว่า… ถ้าเขาเป็นแบบที่คุณพ่อเล่าจริง ๆ บางที เขาอาจเปลี่ยนความคิดฉันได้…
◇◇◇
“คำกล่าวต้อนรับจากตัวแทนนักเรียนใหม่”
“ในวันที่สายลมอ่อนพัดพาเราเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอันสดใสนี้ พวกเราก็ได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่ในโรงเรียนแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้
วันนี้ ฉันได้รับฟังเรื่องราวของผู้ที่ยื่นมือช่วยคนที่เดือดร้อน ตอนแรกก็คิดว่า ‘แค่บังเอิญ’ แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรก ฉันก็เริ่มละอายใจในความคิดตัวเองค่ะ
เพราะเขาทำสิ่งที่ฉันอาจไม่มีวันทำได้…
การกระทำของเขาทำให้ฉันนึกถึงสิ่งสำคัญ—ความห่วงใยและการกระทำอันอ่อนโยนเล็ก ๆ เหล่านั้น คือสิ่งที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้าหากัน
แม้ความทรงจำในช่วงมัธยมอาจเลือนหายเมื่อเราเติบโต แต่ฉันอยากจดจำทุกช่วงเวลา ความรู้สึก และแรงบันดาลใจนี้ไว้ตลอดไป
และในวันนี้ ฉันจะก้าวเดินต่อไปพร้อมความหวังและฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิตมัธยมปลายของฉันค่ะ”
—วาคามิยะ ริน
ตัวแทนนักเรียนใหม่กล่าวสุนทรพจน์ ห้อง 1-A
MANGA DISCUSSION