——การที่ผมอยู่ในห้องเรียนหลังเลิกเรียนนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ก็แน่ล่ะ เพราะปกติผมจะรีบไปทำงานพิเศษทันทีหลังเลิกเรียน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ต่อ
…จะว่าไปแล้ว ก็เคยมีเหตุผลประมาณว่า “ไม่อยากอยู่ดูเหล่าคนมีแฟนแล้วรู้สึกหดหู่” อะไรแบบนั้นด้วยล่ะมั้ง
แต่พักหลังมานี้ ผมมักจะใช้เวลาหลังเลิกเรียนอยู่ในห้อง เพราะรอรินมาหา
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้คึกคักเหมือนกับบรรยากาศแสนสดใสของห้องเรียนอื่นในช่วงหลังเลิกเรียนหรอก
ผมแค่นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ ด้วยการอ่านหนังสือเท่านั้นเอง
…ใช่ แต่นั่นมันแค่ก่อนหน้านี้เท่านั้นแหละ
“นี่ทกกี้~! วันนี้นะ มันแย่มากเลยรู้ป่ะ! แย่สุด ๆ อ่ะ! เข้าใจมั้ย!?”
“อืม…? คือ ถึงเธอจะพูดพร้อมท่าทางขนาดนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเรื่องอะไร…”
“เอ๋~! เข้าใจหน่อยสิ!”
“ซายากะ เธอพูดแบบนี้มันทำให้เรื่องฟังดูใหญ่โตเกินไปนะ โทคิวากิคุงเขาก็ลำบากใจนะ…”
“ไม่ใหญ่โตซักหน่อย! สำหรับฉันมันสำคัญนะ! ปากกาที่เพิ่งซื้อมา มันพังในวันเดียวเลยนะ! แค่วันเดียวเองนะ!? แถมสองแท่งเลยนะ บ้าชัด ๆ~~!”
“ก็มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้นะคะ โดยเฉพาะพวกหัวปากกาที่ปลายเล็ก มันพังง่ายมากเลยล่ะ”
…ว่าแล้วเชียว ตอนนี้ผมเริ่มโดนผู้หญิงสามคนรุมล้อมบ่อยขึ้นแล้ว
แต่ไม่ได้หมายความว่าผมกลายเป็นพระเอกแนวฮาเร็ม หรือเข้าสู่ช่วงเนื้อหอมอะไรหรอกนะ
ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน แม้แต่โลกจะกลับหัวกลับหางก็ตาม
ถ้าเป็นเคนอิจิละก็ อาจจะใช่ แต่กับฉันแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกี่ยวข้องตลอดชีวิต
แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?
คำตอบง่ายมาก — พักนี้ผมมักจะโดนไอโนยะซังจับตัวไว้หลังเลิกเรียนบ่อย ๆ
เพราะเธอเห็นรินเป็นคู่แข่ง จึงชอบมาถามผมสารพัด
พอถามว่าทำไมถึงถามผมนัก เธอก็บอกว่า เคนอิจิบอกว่า “ไปถามโทวะดูสิ” …แบบนี้นี่เอง
บางทีเคนอิจิอาจจะคิดว่าเป็นการโยนงานให้ผมก็ได้ แต่มันก็ลำบากเหมือนกัน
ไม่ได้รำคาญคำถามหรอกนะ
การที่มีคนพึ่งพาได้มันก็ดี เป็นการรู้สึกว่าได้ช่วยคนอื่นด้วย
แต่…สายตาคนรอบข้างมันเจ็บปวดเหลือเกิน
ก็ไม่ใช่ว่าตอนก่อน ๆ จะไม่มีหรอกนะ กับเรื่องของริน แต่ตอนนี้มันยิ่งกว่าเดิมอีก
เพราะนอกจากไอโนยะซังแล้ว ยังมีโยโกมูระซัง ที่มารับบทคุมบังเหียนด้วยอีก
และที่แย่ที่สุดคือ พวกเธอดูไม่รู้ตัวเลยว่าสร้างสถานการณ์ลำบากแบบนี้อยู่
แล้ววันนี้ก็——
“นี่ ๆ ทกกี้ คิดว่าทำยังไงถึงจะชนะรินรินได้ล่ะ?”
“อืม… ถ้าในเกมแบบทีม ฉันแนะนำให้ใช้แผนล้อมวงนะ ถ้าเป็นบาสก็ให้สามคนรุมแบบนั้นเลย”
“…………”
“เข้าใจล่ะ!! งั้นถ้าเป็นการแข่งขันตัวต่อตัวล่ะ ควรทำไงดี~?”
“กรณีนั้นก็ไม่มีทางชนะหรอก ฉันไม่คิดจะออมมือด้วย ถือเป็นเรื่องโง่สุด ๆ ด้วยซ้ำ ฉันจะเล่นเต็มที่เลย เพราะงั้นโอกาสชนะก็คงไม่มีค่ะ”
“…………”
“หะ…ห๊าาา!? เดี๋ยวสิ ทำไมรินรินถึงเป็นคนตอบล่ะเนี่ย!?”
“ก็คิดว่าคนที่เป็นเจ้าตัวเองตอบไปเลยจะดีกว่าน่ะค่ะ”
รินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วนั่งแทรกระหว่างผมกับไอโนยะซัง
ว่าทำไมรินถึงมาอยู่ตรงนั้น… เหตุผลมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ไอโนยะซังก็ไม่ได้ดูเดือดร้อนอะไร
เธอดูให้ความสำคัญกับเป้าหมายเป็นหลัก
ส่วนโยโกมูระซังที่รับหน้าที่ควบคุมเธอก็เอามือกุมหัว ถอนหายใจเฮือกใหญ่
บางครั้งก็ส่งสายตามาทางผมเหมือนจะบอกว่า “ช่วยทำอะไรหน่อย” แต่ผมก็ได้แค่ส่ายหน้า
เพราะตอนนี้รินเริ่มแผ่รังสีข่มขู่แล้ว จะไปหยุดเธอไม่ไหวหรอก…
แถมอาโนะยะซังก็คงกังวลเรื่องงานกีฬาสีที่ใกล้เข้ามา เลยถามยิ่งกว่าปกติอีก
“ก็อุตส่าห์จะถามทกกี้แล้วแท้ ๆ~ ถ้าไปรู้จากรินรินมันก็ไม่มีความลับในการเก็บข้อมูลเลยน่ะสิ~”
“ซายากะ… ถ้าอยากให้เป็นความลับจริง ๆ ก็น่าจะทำตัวลับ ๆ หน่อยนะ มันพังหมดตั้งแต่เธอเดินทั่วห้องเรียนคนอื่นแบบนั้นแล้วล่ะ…”
“นั่นสิคะ ที่ไอโนยะซังทำ มันเป็นที่รู้กันหมดแล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ถ้าจะถามก็ถามฉันตรง ๆ เลยง่ายกว่าค่ะ”
“แต่สำหรับฉัน อยากถามทกกี้มากกว่านี่นา~ ก็มันสนุกกว่านี่นา~”
“ไม่ค่ะ”
“มู่ววว~~!!”
ไอโนยะซังพองแก้ม ทำหน้าไม่พอใจ
พอพยายามจะย้ายมานั่งข้างผม รินก็แทรกเข้ามากั้นไว้ทันที พร้อมกับทำหน้าเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอถูกขัดขวางแบบนั้น ไอโนยะซังก็ยิ่งหงุดหงิด
“นี่~! ทำไมรินรินต้องขัดขวางด้วยล่ะ! ฉันก็บอกไปแล้วนะ ว่าไม่ได้จะมาแย่งโทคกี้!”
“คุณอยู่ใกล้เกินไปค่ะ…”
“อย่าใส่ใจแค่นั้นเลยน่า~”
“ไม่ได้ค่ะ”
“ขอร้องล่ะ รินริน! ขอฉันคุยกับทกกี้สองคนได้ไหม! มีหลายอย่างที่อยากถาม อยากเล่า~!”
“ไม่!”
“รินรินจอมเอาแต่ใจ~~!!”
“…………”
“…………”
…สองคนนี้ทำอะไรกันอยู่นะ
ทั้งที่เป็นคนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ผมกับโยโกมูระซังกลับนั่งมองสถานการณ์จากข้างนอกเงียบ ๆ
ดูท่าจะคิดตรงกัน เราถอนหายใจพร้อมกันหลายครั้ง
ที่ไอโนยะซังพูดมา มันไม่มีนัยยะอะไรแฝงอยู่
เธอแค่อยากคุยด้วยจริง ๆ เท่านั้น ไม่มีความรู้สึกอื่นเลย
เพราะนิสัยที่เป็นแบบนี้ เธอคงทำให้ผู้ชายเข้าใจผิดมานับไม่ถ้วนแล้ว
โยโกมูระซังที่รู้เรื่องนั้นดี ก็พึมพำว่า “พูดแบบนั้นอีกแล้ว…” พร้อมกับเอามือทาบหน้าผาก
ดูเหมือนจะทนกับสถานการณ์นี้ไม่ไหวแล้ว เธอจึงกระซิบกับฉัน
“ช่วยหยุดทีเถอะ รินจังเองก็ดูเหมือนจะเริ่มเอาจริงแล้วนะ…”
“พอรินเป็นแบบนั้นขึ้นมา ก็ไม่มีทางหยุดหรอก แล้วเธอล่ะ ห้ามอาโนะยะซังไม่ได้เหรอ?”
“เฮ้อ… อยากจะห้ามนะ แต่ถ้าซายากะเริ่มเป็นแบบนี้เมื่อไหร่ จะหยุดไม่อยู่เลยน่ะ ถ้าเธอทำสำเร็จเมื่อไหร่ ก็คงสงบเองล่ะ”
“ทำสำเร็จ? หมายถึงจับจุดอ่อนรินให้ได้แล้วชนะงานกีฬาสีงั้นเหรอ?”
“อืม… ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว”
ไม่ใช่เหรอ?
ดูยังไงก็เหมือนจะหมกมุ่นกับการชนะออกจะตาย…
ขณะที่ผมขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิด โยโกมูระซังก็ยิ้มออกเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“ซายากะน่ะ ไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลย”
“ไม่เคยแพ้? ด้านกีฬาเหรอ?”
“ใช่ เพราะแบบนั้นแหละ… การที่เธอแพ้ในการวัดสมรรถภาพร่างกาย มันเลยทำให้เธอรู้สึกแย่มาก เสียใจสุด ๆ แล้วก็คิดว่า ‘คราวหน้าจะชนะให้ได้!’ เลยมีแรงฮึดขึ้นมา พอฉันรู้แบบนั้น มันก็ห้ามยากเหมือนกัน”
“แบบนี้นี่เอง… ก็นะ ดูจากพลังงานที่เธอมีในแต่ละวัน มันก็คงไม่แปลก”
“ขอโทษทีนะ แต่… พอเข้าใจขึ้นบ้างไหม?”
“อืม ก็… พอเข้าใจแล้วล่ะ”
เธอมั่นใจมาโดยตลอดในสิ่งที่เธอถนัด
การแพ้ในครั้งนี้ คงเป็นความล้มเหลวครั้งแรกของไอโนยะซังจริง ๆ
สำหรับเธอ กีฬาเป็นสิ่งที่ไม่มีทางยอมแพ้ได้ เธอเป็นคนที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และสัญชาตญาณ พอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งยึดติดมากขึ้น
แบบนี้ก็คงไม่ยอมถอยแน่นอน จนกว่าจะรู้สึกพอใจ…
ถ้าอย่างนั้น——
“ฉันมีวิธีดี ๆ สำหรับไอโนะยะซังอยู่นะ วิธีเอาชนะรินน่ะ”
ผมพูดออกไปแบบนั้น
ถึงจะไม่ได้พูงเสียงดัง แต่จังหวะมันเป๊ะพอดี สองสาวที่กำลังโต้เถียงกันก็หันมาทางผมทันที
แล้วไอโนยะซังก็รีบพุ่งเข้ามา
“โทคกี้ อะไรน่ะ!?”
“ใกล้ไปแล้ว…”
“…ไอโนยะซัง?”
“เดี๋ยวสิ รินริน!? อย่ามาหยิกตรงเอวนะ! เจ็บตรงจุดพอดีเลยนะ!?”
ผมกระแอมไอเบา ๆ เพื่อเรียกความสนใจจากไอโนยะซัง
แล้วเริ่มพูดหลังจากเกริ่นว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ”
“อาโนะยะซังก็แค่เป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิมก็พอแล้วมั้ง?”
“หืม~? เหมือนเดิม…เหรอ?”
“ใช่ไง ก็ดูออกอยู่แล้วว่าเธอเป็นพวกที่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณมากกว่าคิดแผนละเอียดใช่ไหมล่ะ?”
“เหรอ?”
“ฉันคิดแบบนั้นนะ กลับกัน ถ้าเตรียมแผนมากไป เธออาจจะสับสนเอาได้ แถมต่อให้คิดแผนไป รินก็คงจับทางได้อยู่ดี เพราะงั้นถ้าใช้สไตล์แบบไม่เป็นรูปแบบชัดเจน น่าจะสร้างช่องให้ชนะได้มากกว่า”
“เห็นด้วยกับโทคิวางิคุงเลย ฉันก็ว่าแผนการไม่เหมาะกับซายากะหรอก ถึงจะคิดขึ้นมา… ก็ไม่เคยฟังอยู่ดี”
“อ่าฮะฮะ… พูดแบบนี้ก็จริงแฮะ”
ดูเธอจะนึกออกเองเหมือนกัน
ไอโนยะซังยิ้มแหย ๆ แล้วเกาศีรษะ
จากนั้นก็สูดหายใจลึก ๆ แล้วกลับมายิ้มสดใสเหมือนทุกทีในห้องเรียน
“อื้ม! งั้นฉันตัดสินใจแล้ว! ไปเลยตามสัญชาตญาณ~ เลทส์โก~!! แบบนี้แหละเนอะ!”
“ฟุฟุ ซายากะก็ควรเป็นแบบนั้นแหละ”
ดูเหมือนเธอจะพอใจแล้ว
เพราะแบบนี้ เคนอิจิถึงไม่ได้พูดอะไรกับไอโนยะซังเลยล่ะ
“ขอบคุณนะ! งั้นฉันกลับล่ะ! ต้องไปฝึกแล้วววววว!!”
“เดี๋ยวสิ! ซายากะ!?”
โยโกมูระซังพูดขอบคุณพวกเราก่อนจะรีบวิ่งตามไอโนยะซังออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบ
เมื่อลมพายุผ่านพ้น ห้องเรียนก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
ผมกับรินสบตากัน แล้วยิ้มขำ
“ขอโทษนะริน ที่พูดแบบนั้น”
“‘แบบนั้น’ หมายถึง คำแนะนำที่ให้กับไอโนยะซังเหรอคะ?”
“ก็ใช่…”
ทั้งที่บอกว่าจะเชียร์รินแท้ ๆ แต่กลับไปให้คำแนะนำกับศัตรูซะงั้น
มันอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในฐานะเพื่อนร่วมชั้นก็เถอะ แต่ทำต่อหน้ารินก็ไม่ดีเท่าไหร่…
ขณะที่ผมหลบสายตา รินก็จับหน้าผมไว้ด้วยสองมือให้หันมามองเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตรงกันข้าม ฉันว่าต้องขอบคุณโทวะคุงด้วยซ้ำ เพราะทำให้ฉันรู้ว่าควรระวังตรงไหนบ้าง ยังไงมุมมองของคนนอกก็เห็นชัดกว่าจริง ๆ ค่ะ”
“ถ้ารินไม่ถือสาก็ดีแล้วล่ะ แต่ไอโนยะซังดูจะเก่งขึ้นนะ?”
“ฟุฟุ นั่นแหละที่ฉันต้องการเลยค่ะ เพราะฉันเองก็จะทุ่มเต็มที่กับคู่ต่อสู้ที่จริงจังเหมือนกัน แล้วก็…”
“แล้วก็?”
ผมเอียงคอถาม
รินหันไปมองนอกหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง มองดูเหล่านักเรียนที่กำลังออกกำลังกาย แล้วพูดว่า…
“แค่มีคนที่ตั้งใจจริงมาเผชิญหน้าด้วย… สำหรับฉันแล้ว นั่นคือสิ่งที่มีความสุขมากเลยค่ะ!”
รินพูดอย่างมีความสุขสุด ๆ
พอเห็นรินที่เปี่ยมไปด้วยแรงใจว่า “จะสู้เต็มที่ค่ะ!” ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
MANGA DISCUSSION