“เรื่องแบบนี้ปกติเขาก็ต้องบอกเพื่อนสมัยเด็กกันไม่ใช่เหรอ?”
ผมถามออกไปเพราะยังรู้สึกไม่เข้าใจอยู่ดี
“ก็เฮียวกะจังเวลาโกรธนี่น่ากลัวจะตายไป… ถ้ารู้ว่าเราเป็นแค่คู่รักปลอมๆ ต้องโดนว่าแน่ๆ เลย…”
ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นหรอก
ซุซุมิเนะซังเองก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากไม่แพ้มิซากิ แถมยังดูเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยซ้ำ คำว่า ‘คนสวย’ คงเหมาะกับเธอมากกว่าคำว่า ‘น่ารัก’
และเพราะเป็นคนหน้าตาดีมาก พอทำหน้าขรึมขึ้นมาทีไรก็ดูน่ากลัวขึ้นมาทันที แถมยังพูดจาแรงพอสมควรเลยล่ะ ทำให้แทบไม่มีผู้ชายคนไหนชอบเธอเท่าไหร่
แน่นอนว่าข้อยกเว้นคือพวกที่ชอบถูกด่าพวกนั้นน่ะนะ…
“ว่าแต่ ตอนเกิดเรื่องวุ่นๆ ตอนเช้านี่เหมือนไม่เห็นซุซุมิเนะซังเลยนะ เธอไม่มาโรงเรียนเหรอ?”
“เปล่าหรอก วันนี้ก็เธอมาเรียนนะ”
“งั้นทำไมไม่เห็นโผล่มาล่ะ?”
ถึงเธอจะดูเย็นชาแต่กับผู้หญิงก็ยังมีมุมที่อ่อนโยนอยู่ อย่างเมื่อวาเลนไทน์ปีที่แล้วก็ได้ช็อกโกแลตจากเพื่อนผู้หญิงเพียบ
ว่าแต่เห็นว่าตอนที่มิซากิถูกสารภาพรัก เธอก็ไม่ได้เข้าไปช่วยอะไรเลยนี่นะ หรือว่าสองคนนี้ไม่ได้สนิทกันเท่าที่คิด
“นั่นแหละ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเลย ฉันกลัวมาก ตอนที่ฉันแชตไปบอกว่าวันนี้จะไปกินข้าวกลางวันกับไรโตะคุง เธอก็ตอบกลับมาแค่ว่า ‘อืม’ คำเดียวเอง…”
เอ่อ… นั่นมันโกรธแล้วไม่ใช่เรอะ?
“ถึงจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กแต่ไม่ยอมบอกเรื่องคบกันแบบนี้ไปก่อนก็น่าจะทำให้เธอโมโหเหมือนกันล่ะมั้ง”
“จริงด้วยเนอะ… อื้ออ… ทำยังไงดีล่ะ… ตอนเฮียวกะจังโมโหนี่น่ากลัวจริงๆ นะ…”
มิซากิกอดตัวเองแน่นก่อนจะเริ่มตัวสั่นเหมือนเด็กกลัวผี ทั้งๆ ที่เธอดูเรียบร้อยและมั่นคงแท้ๆ แต่ก็มีมุมเปิ่นๆ อยู่นิดๆ เหมือนกันแฮะ สงสัยจะโดนซูซุมิเนะซังดุมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เป็นได้
“แต่ในเมื่อโดนดุแน่ๆ อยู่แล้ว สู้บอกความจริงไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ…! ก็เฮียวกะจังเกลียดพวกโกหกหรือไม่ซื่อสัตย์สุดๆ ไปเลยนี่นา… ถ้าเป็นงั้นฉันต้องโดนเกลียดแน่นอน…!”
ยังไงก็ต้องโกหกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ… ไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวไหมนะ…?
แต่ก็นั่นแหละ มันก็เป็นเรื่องของพวกเธอเอง ผมก็จะเคารพการตัดสินใจของมิซากิละกัน
“งั้นก็จัดการให้เรียบร้อยล่ะกันนะ พอดีฉันเริ่มหิวจนทนไม่ไหวแล้ว ขอเริ่มกินได้รึยัง?”
“อ๊ะ…! อื้อ เชิญเลย กินให้อร่อยเลยล่ะ…”
พอผมหันไปหยิบกล่องข้าว เธอก็พยักหน้ายิ้มๆ ให้
แล้วพอผมค่อยๆ เปิดกล่องข้าวออก สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็คือไข่ม้วนสีเหลืองนวลนุ่มฟูและไก่ทอดสีทองน่ากิน นอกจากนี้ก็ยังมีผักนานาชนิดที่มีสีสันสดใสอย่างผักโขมและแน่นอนว่ายังมีแฮมเบิร์กที่ดูน่ากินสุดๆ อยู่ข้างในอีกด้วย
“เพราะเป็นครั้งแรก ก็เลยพยายามจัดให้ออกมาแบบเรียบๆ ไว้น่ะ เป็นยังไงบ้าง…?”
ระหว่างที่ผมกำลังมองดูข้าวกล่อง มิซากิก็เงยหน้ามาถามด้วยสายตาละห้อย ดูเหมือนเธอจะเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยในฐานะคนทำ
“ยังไงน่ะเหรอ… ดูจัดออกมาได้เรียบร้อยมากเลยนะ ทั้งหมดนี่ทำเองหมดเลยเหรอ?”
“อื้อ ใช่แล้วล่ะ แฮมเบิร์กกับไก่ทอดน่ะ ฉันเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เช้ามานี่ก็แค่เอามาทอดกับอุ่นให้เรียบร้อย”
“สุดยอดเลยแฮะ…”
ผมเองก็พอทำกับข้าวอยู่บ้างเลยเข้าใจดี แม้จะเป็นกับข้าวพื้นๆ ก็เถอะ แต่หน้าตามันแตกต่างกับของที่ผมทำอย่างเห็นได้ชัด แค่ดูก็รู้ว่าเธอฝีมือดีขนาดไหน
กลิ่นก็หอมมาก แถมหน้าตาก็น่ากินสุดๆ จนความคาดหวังของผมมันพุ่งขึ้นสูงเลยทีเดียว
“งั้น… จะทานแล้วนะครับ”
ผมพนมมือกล่าวคำทักทายตามธรรมเนียมแล้วค่อยๆ ยื่นตะเกียบไปยังกับข้าว-
“อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน…!”
-แล้วก็โดนเธอสั่งห้ามซะก่อน
ยังกินไม่ได้อีกเหรอ…!?
“คราวนี้อะไรอีกล่ะ…?”
“มะ… ไม่ต้องทำเสียงดุขนาดนั้นก็ได้…”
“เปล่านะ ฉันไม่ได้โกรธซะหน่อย แต่การต้องทนหิวแล้วเห็นของกินน่ากินขนาดนี้อยู่ตรงหน้าแต่กินไม่ได้มันก็ทรมานอยู่นะ…”
ผมไม่ได้โกรธจริงๆ หรอก แค่อารมณ์มันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ เพราะโดนดึงเวลาออกไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
“น่ากินงั้นเหรอ… เอ๊ะเฮะเฮะ…”
ทว่าเจ้าตัวดูเหมือนจะไม่ได้สนใจคำพูดของผมเลย เธอกลับยิ้มเขินๆ ขึ้นมาแทน
ตกลงเธอห้ามผมทำไมกันแน่?
“ทำไมถึงห้ามไม่ให้กินล่ะ…?”
“อะ… เอ่อ… คือฉันอยากเป็นคนป้อนให้น่ะ…”
“…………”
มิซากิพูดออกมาทั้งที่หน้าแดงก่ำ ดวงตาก็เปล่งประกายชื้นๆ อย่างน่ากลัว
นี่… ถ้ามีคนมาเห็นเข้าจะไม่คิดกันไปใหญ่เหรอเนี่ย?
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้มั้ง…?”
“แต่เผื่อมีคนแอบมองอยู่ก็ได้นี่นา… ฉันว่านะ การป้อนข้าวกันดูเขินน้อยกว่าการจับมือนะ แล้วมันก็ดูเหมือนคนเป็นแฟนกันด้วย ไม่คิดงั้นเหรอ…?”
ความรู้สึกว่าอะไรน่าเขินกว่ากันคงต่างกันไปในแต่ละคน สำหรับผมแล้ว การป้อนข้าวกันน่ะเขินยิ่งกว่าจับมืออีก
“มีสิทธิ์ปฏิเสธไหม?”
“แน่นอน แต่ว่าถ้าได้ล่ะก็ฉันก็อยากทำน่ะ…”
ดูเหมือนเธอจะคิดว่านี่แหละเป็นหมัดเด็ดที่ทำให้ดูเป็นคู่รักได้อย่างแนบเนียนก็เลยอยากทำให้ได้จริงๆ
พอเธอทำหน้าสุดเวทนาเหมือนลูกสัตว์ตัวเล็กๆ แบบนั้นขึ้นมาก็ทำให้ผมรู้สึกปฏิเสธไม่ลงเลย
“ถ้าแค่ฉันเป็นฝ่ายป้อนให้ก็พอจะยอมได้อยู่”
“ในสถานการณ์แบบนี้ปกติเขาก็ป้อนกันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เหรอ?”
จะว่าไปแล้วผมก็ไม่เคยทำมาก่อนเลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรเป็นแบบนั้นรึเปล่า เพราะผมเองก็ไม่อ่านการ์ตูนรักๆ ใคร่ๆ ซะด้วย…
“เอาเป็นว่า ขอเริ่มจากฉันเป็นฝ่ายป้อนก่อน ถ้ามันดูไม่เข้าท่าค่อยเปลี่ยนไปเป็นป้อนกันทั้งคู่ก็แล้วกัน”
สุดท้าย เพราะรู้สึกเขินเกินกว่าจะให้ใครมาป้อน ผมก็เลยขีดเส้นไว้ชัดๆ
ถ้าวันข้างหน้าใครมาเริ่มสงสัยเพราะเห็นแค่ผมเป็นฝ่ายป้อนให้เธออย่างเดียวล่ะก็ค่อยตัดสินใจว่าจะทำใจยอมรับตอนนั้น
“งั้นฉันรอให้ไรโตะคุงกินเสร็จก่อนก็แล้วกันนะ”
“ไม่ล่ะ ฉันจะป้อนให้เธอก่อนเลย”
“เอ๋ แต่ว่า…”
“ก็ฉันเป็นฝ่ายเอาแต่ใจเองนี่ เพราะงั้นฉันให้สิทธิ์เธอกินก่อนเลย”
แม้ว่าในใจจะโอดครวญกับความทรมานที่ต้องทนเห็นของอร่อยอยู่ตรงหน้าแต่กินไม่ได้ก็เถอะ… แต่ยังไงก็ยังดีกว่าการต้องเจอกับความเขิน
“คนที่เอาแต่ใจจริงๆ น่ะ คือฉันต่างหาก…”
“ที่เธอพูดมันเป็นเรื่องปกติของการเป็นแฟนนี่นา จะเรียกว่าเอาแต่ใจได้ยังไงล่ะ?”
สิ่งที่เธอขอก็แค่เรื่องในขอบเขตของแฟนกำมะลอเท่านั้น จะไปมองว่าเป็นการเอาแต่ใจก็คงดูโหดร้ายเกินไปหน่อย
“ไรโตะคุงนี่ใจดีจริงๆ เลยนะ…”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก เอาล่ะ อยากเริ่มจากอันไหนก่อนดี?”
“งั้น… ขอเป็นผักโขมละกัน…”
ดูเหมือนเธอจะตั้งใจจะเริ่มจากผักก่อน ผมก็เลยคีบผักโขมตามคำขอแล้วค่อยๆ ยื่นไปทางปากของมิซากิ
“อ้าม-“
มิซากิอ้าปากเล็กๆ รอเหมือนลูกนกที่จะรอพ่อแม่มาป้อนอาหาร
ใบหน้าเธอแดงระเรื่อเล็กน้อย แสดงว่าเธอเองก็รู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน
ในขณะที่ผมเอง… เพราะชินกับการป้อนข้าวให้โคโคอะ ก็เลยพลอยเผลอซ้อนภาพเธอกับน้องขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
ใช่เลย… เหมือนพ่อแม่นกที่กำลังป้อนอาหารให้ลูกนกนั่นแหละ เพราะงั้น สำหรับผมที่เป็นฝ่ายป้อนมันเลยไม่ค่อยรู้สึกเขินเท่าไหร่ ผมก็เลยค่อยๆ ป้อนอาหารให้มิซากิไปเรื่อยๆ อย่างนั้น
และแน่นอนว่าหลังจากป้อนเธอเสร็จ ผมก็ได้ทานข้าวกล่องที่เธอเตรียมไว้ให้ ซึ่งรสชาติก็ดีเกินกว่าที่ผมคาดไว้มากจนรู้สึกพอใจสุดๆ ไปเลย
กว่าจะได้กินข้าวล่อไป 4 ตอนเต็ม 💀
MANGA DISCUSSION