นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกเหี่ยวเฉาในชั่วพริบตา คงหมายถึงช่วงเวลาแบบนี้นี่เอง
ขณะที่มองดูซิสเตอร์ชาร่าที่วิ่งไปวิ่งมา ใบหน้าของเธอแดงเล็กน้อย กำลังเดินเข้ามาที่โต๊ะของพวกเรา ผมก็คิดเรื่องแบบนั้นไปด้วย
“เงินบริจาคนั่นมันหมายความว่ายังไงกันคะ!?”
คำพูดแรกที่ออกมาก็คือคำนั้น
“อย่างที่คิดไว้เลย มันน้อยไปใช่ไหมคะ?”
เสียงของเอริก้าที่ฟังดูเหมือนขอโทษ ทำให้เราสองคนตกใจอย่างกะทันหัน แน่นอนว่าสองคนนั้นก็คือผมกับชาร่า
“ไม่ ไม่ใช่”
สีหน้าของเอริก้าบ่งบอกว่าคำพูดนั้นถูกพูดออกมาอย่างจริงจัง
ชาร่าที่รู้เรื่องนั้นก็พูดไม่ออก
เออ เข้าใจนะ ความรู้สึกสับสนเมื่อเจออีกฝ่ายที่ไม่เข้าใจตรรกะหรือความคิดในแบบของตัวเองน่ะ
“ไม่ใช่คะ! ฉันหมายความว่ามันมากเกินไปต่างหาก!”
ชาร่าพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ พร้อมกับใช้มือตบโต๊ะ
จากนั้นก็ยกมือกุมหัวแล้วเงยหน้ามองขึ้นฟ้า
ช่างเป็นคนที่วุ่นวายจริงๆ
“ทำไมดูเหมือนฉันกำลังโกรธอยู่ล่ะเนี่ย!?”
ถ้าถามแบบนั้น ฝั่งนี้ก็ลำบากใจน่ะสิ
ว่าไปแล้ว เธออาจจะเป็นคนที่น่าสนใจกว่าที่คิดก็ได้
ก็แบบว่า ความประทับใจแรกคือสภาพใกล้ตาย ไม่ว่าจะเปลี่ยนยังไงอาจจะกลายเป็นคนที่น่าสนใจก็ได้
“ถ้ามันเยอะเกินไปก็โล่งใจแล้วล่ะค่ะ”
“มันไม่ได้ดีเลยนะคะ!?”
ชาร่าทำหน้าราวจะพูดว่า เธอนี่กำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย
“คุณคิดบ้างไหมว่าฉันต้องรู้สึกยังไงตอนเดินทางไปถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า!? ฉันเป็นซิสเตอร์แท้ๆ แต่คนรอบตัวดูหมือนเป็นโจรไปหมดเลยนะคะ!?”
นั่นมันประสบการณ์ระดับฝังใจเลยนะนั่น
“ในเมื่อรับฝากเงินบริจาคไปมอบให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็จำเป็นต้องมีความเตรียมใจในระดับนั้นไม่ใช่หรือคะ”
พอเอริก้าพยักหน้าเห็นด้วยอย่างประทับใจแบบนั้น ก็เริ่มสงสารชาร่าขึ้นมาเลยแฮะ
ก็ยอมรับว่าตลกดีอยู่หรอก
“คุยกันไม่รู้เรื่องเลย!”
“เสียมารยาทนะ ฉันเข้าใจดีอยู่แล้วล่ะ”
เอริก้าตอบกลับด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“อย่างแรกเลย ฉันต้องถูกตำหนิว่าให้มากเกินไปทำไมกัน ถ้าจะถูกตำหนิว่ามันน้อยเกินไปก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นี่อะไรกัน ทำไมต้องบอกว่ามากเกินไปด้วย”
“ลองคิดถึงความรู้สึกของคนที่ขนสิคะ! ช่วยคิดถึงเรื่องนี้หน่อยเถอะค่ะ!”
“ดังนั้น ถึงคุณจะเป็นซิสเตอร์ ด้วยความตั้งใจที่พร้อมจะเห็นคนในเมืองทั้งหมดเป็นโจร แล้วรับผิดชอบขนไปส่งยันบ้านเด็กกำพร้า การเลือกคนของฉันไม่มีผิดพลาดเลยนะคะ”
ชาร่าเงยหน้าขึ้นฟ้าอีกครั้ง
ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ดีใจนิดหน่อยแต่รู้สึกหงุดหงิด!
เข้าใจนะว่าคุณรู้สึกอยากจะตะโกนแบบนั้น แต่ช่วยสงบๆ ลงหน่อยได้ไหม?
ผมคิดเรื่องแบบนั้นพร้อมกับดื่มน้ำไปด้วย
*
เพราะเริ่มรู้สึกว่ากำลังจะถูกไล่ออกจากร้านแล้ว ผมจึงให้ชาร่านั่งลงที่เก้าอี้เพื่อสงบสติอารมณ์
อย่างที่คิดไว้ ร้านอาหารที่ทำธุรกิจกับพวกนักผจญภัยอยู่เป็นประจำ เลยดูจะชินกับเสียงเอะอะโวยวายบ้าง ถึงได้แค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วก็ปล่อยผ่านไป
“ว่าแต่ มีธุระอะไรถึงได้มาตามพวกเรากันล่ะ? คงไม่ใช่แค่เรื่องบริจาคเงินจำนวนมากหรอกนะ ถึงขั้นต้องตามหาแต่เช้าใช่ไหมล่ะ?”
ไม่สิ ถ้าเป็นเด็กคนนี้ล่ะก็ รู้สึกว่าเธอน่าจะทำแบบนั้น
แม้แต่ตอนที่เจอกันครั้งแรก เธอก็ยังพยายามจะสู้กับเจ้าโกลเด้นโอเกอร์ ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสอยู่
นิสัยเธอคงไม่ใช่คนเงียบๆ หรือเรียบร้อยหรอกนะ
“ก็ใช่นะคะ เรื่องนั้นก็มีส่วนสำคัญอยู่เหมือนกันค่ะ”
ชาร่ายกแก้วน้ำที่ทางร้านเสิร์ฟมาดื่ม เพื่อให้ริมฝีปากชุ่มขึ้นเล็กน้อย
“เพราะจำนวนเงินมันมากขนาดนั้น หลังจากนำไปส่งให้บ้านเด็กกำพร้าแล้ว ฉันจึงคิดว่าควรต้องรายงานให้กับท่านบิชอปด้วย……”
ถ้าจะสรุปเรื่องราวของชาร่าก็เป็นดังนี้
เมื่อรายงานเรื่องการบริจาคให้บ้านเด็กกำพร้าต่อท่านบิชอป จึงจำเป็นต้องอธิบายไปด้วยว่า คนที่ช่วยเหลือเธอนั้นคือคู่สามีภรรยานักผจญภัย
พอท่านบิชอปทราบเรื่องนั้น ก็รู้สึกประทับใจอย่างมาก และท่านได้กล่าวว่า โปรดช่วยเหลือผู้มีพระคุณคู่สามีภรรยานักผจญภัยด้วยเถิด
ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้น
ช่างเป็นเรื่องน่ารำคาญอะไรเช่นนี้
เรื่องราวที่เล่าจากมุมมองของชาร่านั้น ดูเหมือนนักผจญภัยที่ยอดเยี่ยมตามแบบคริสตจักรชื่นชอบ อย่างเช่นรับงานจากเด็กหญิงตัวน้อยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ปราบโกลเด้นโอเกอร์ที่กำลังจะโจมตีหมู่บ้าน บริจาคเงินส่วนใหญ่จากการขายหินเวทมนตร์ให้กับบ้านเด็กกำพร้า
ถ้าหากได้รับความไว้วางใจจากคริสตจักรมากขึ้น ก็อาจจะมีคำสั่งงานเฉพาะตัวเข้ามา จึงเป็นเรื่องที่ต้องกังวล
แต่ผลที่ออกมากลับเหนือความคาดหมาย ถึงขั้นต้องส่งซิสเตอร์มาประจำการ
ทางคริสตจักรบางครั้งจะส่งบาทหลวงหรือซิสเตอร์ไปประจำการกับนักผจญภัยที่พวกเขาให้การยอมรับ
นั่นก็เพราะภายในคริสตจักรมีฝ่ายที่เชื่อว่าการสนับสนุนนักผจญภัยที่ปราบมอนสเตอร์ ก็คือการช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอนั่นเอง
ดูเหมือนว่าชาร่าก็เป็นคนของกลุ่มนั้น
สำหรับนักผจญภัยแล้ว บุคลากรจากคริสตจักรถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ โดยเฉพาะเวทฟื้นฟู
โดยทั่วไปแล้ว คนมักจะรู้สึกซาบซึ้งมากกว่ารังเกียจ
แต่สำหรับผม การที่เธอพูดด้วยท่าทีที่ว่า จะส่งคนไปให้ก็แล้วกัน มันเหมือนกับการดูถูก จึงน่าหงุดหงิดสุดๆ เลยล่ะ
ด้วยเหตุนี้เอง ชาร่าก็เลยออกตามหาพวกเราตั้งแต่เช้าตรู่ ไล่เดินหาตามโรงอาหารที่เหล่านักผจญภัยชอบไปรวมตัวกันนั่นแหละ
“นั่นเป็นเรื่องที่น่าขอบคุณจริงๆ ค่ะ”
ผมหันไปมองเอริก้าด้วยความตกใจ
“พวกเรากำลังคุยกันอยู่น่ะค่ะ ว่าต่อจากนี้จะเริ่มเลื่อนแรงค์กัน”
เธอส่งสายตามาถามว่า ใช่ไหมล่ะ? และก็เผลอพยักหน้าตอบโดยไม่ทันคิดจนได้
“ถ้าคุณชาร่ายินดีจะมาร่วมงมือด้วยกันล่ะก็ คงจะช่วยได้มากเลยค่ะ”
“เรียกว่าชาร่าก็พอแล้วค่ะ คุณผู้หญิง”
“ถ้าอย่างนั้น เรียกฉันว่าเอริก้าเฉยๆ ก็พอค่ะ”
ทำไมเธอถึงคุยกับพวกคนของคริสตจักรอย่างสนิทสนมขนาดนั้นกันล่ะ
สำหรับผมแล้ว พวกคนของคริสตจักรก็เป็นหนึ่งในคนที่พรากเอาอนาคตอันสดใสของเธอไปเสียด้วยซ้ำ
“นิสัยของฉันกับหลักการของคริสตจักรนั้นเข้ากันได้ดีค่ะ”
เธอยิ้มอย่างร่าเริง
คนนั้นคือพวกเดียวกันกับคนที่บอกให้เธอตายเลยนะ
“เอ่อ เอริก้าคนนั้น? สามีของเธอดูหน้าแปลกๆ ไปนะ ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
ชาร่าถามเอริก้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“อย่าคิดมากเลยค่ะ แน่ใจว่าเขาแค่กำลังคิดเรื่องยุ่งยาก อยู่เท่านั้นเอง ชิน”
ด้วยเสียงของเอริก้าทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากตะกอนความคิด
“ไม่ต้องคิดจนทำหน้าตาแบบนั้นก็ได้นะคะ เพราะอย่างที่บอก เพื่อนสนิทของฉันได้รับความช่วยเหลือจากคริสตจักรอย่างมาก แล้วทางคริสตจักรก็เป็นผู้ดูแลเพื่อนคนสำคัญของฉัน ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
ความกังวลที่เธอพูดถึงนั้น หมายถึงความรู้สึกของเอริก้าเองหรือเปล่านะ
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ก็ช่างเถอะ เธอพูดแบบนั้นก็โอเคแล้ว
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง
ดีล่ะ สงบลงแล้ว
“ถ้าเธอพูดแบบนั้น ผมก็จะหยุดคิดเรื่องนั้น”
พูดแบบนั้นแล้วพร้อมกับยิ้มให้ดู
“ผมคือ ชิน ลองแดกเกอร์ ขอฝากตัวด้วยนะ ชาร่า”
ผมพูดกับชาร่าที่ยังแสดงสีหน้าไม่เข้าใจอยู่แบบนั้น
MANGA DISCUSSION