“ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยค่ะ ว่าทำไมคุณถึงไม่มีชื่อเสียงในสถาบันเลย”
ที่เอริก้าพูดแบบนั้น ก็เป็นตอนที่ออกจากเมืองมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน เพราะว่าในกิลด์นักผจญภัยไม่มีภารกิจที่เหมาะสม เลยคิดว่าจะไปล่ามอนสเตอร์แถวริมถนนแทน
เพราะพวกเขารู้สึกแปลกใหม่กับมอนสเตอร์ที่อ่อนแอและไม่เคยเห็นในอาณาจักรฟาร์ทาลมาก่อน ดังนั้นบรรยากาศจึงไม่เหมือนกับการล่ามอนสเตอร์จริงจัง แต่ใกล้เคียงกับการออกไปเที่ยวสนุกเสียมากกว่า
แน่นอนว่า สำหรับคนทั่วไปแล้ว มอนสเตอร์แบบนั้นก็ยังถือว่าเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงอยู่ดี ดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้ประมาทหรือออมมือเลย
“เพราะเป็นลูกชายคนที่สองของไวส์เคานต์แสนยากจนยังไงล่ะ”
พวกเรานั่งลงใต้ร่มไม้ที่พอเหมาะเพื่อจะพักและกินมื้อกลางวันไปด้วย แล้วก็พูดขึ้นในขณะที่เคี้ยวเนื้อตากแห้งอยู่
ที่เข้าเรียนในสถาบันก็เพื่อจะได้เห็นหน้าเธอนั่นแหละ ถ้าพูดความจริงแบบนั้นก็คงโดนดุแน่ ก็เลยแต่งเหตุผลขึ้นมามั่วๆ ไปก่อน
“อย่างนั้นเองเหรอคะ?”
ในฐานะลูกสาวของตระกูลมาร์ควิส ซึ่งมีชนชั้นต่างจากผม เอริก้าจึงเอียงคอเล็กน้อย
ดูเหมือนเธอจะเริ่มสงสัยแล้ว ว่าเหตุผลที่พูดไปมันจะมั่วเกินไปหน่อย
“อีกอย่างเป็นเพราะผมไม่ถนัดเวทมนตร์ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าจะโดนจับตามอง คงมองแค่การใช้ดาบล่ะนะ”
“สรุปก็คือ… คุณจงใจออมมืองั้นเหรอ?”
เธอทำสีหน้าไม่พอใจใส่ ทั้งที่มันก็เป็นแค่เรื่องในอดีตแท้ๆ แต่ก็ยังทำหน้าบึ้งใส่อยู่ดี คิดว่าถ้าพูดเรื่องนี้ออกไปก็คงโดนดุอีกแน่ จึงเลือกที่จะเงียบ
“อีกอย่างนะ งานนักผจญภัยมันก็ยุ่งสุดๆ จนไม่มีเวลาจะไปใส่ใจกับเรื่องเรียนเลยน่ะสิ”
“ถึงอย่างนั้นก็ก็เถอะ แต่คนที่จะมาเป็นสามีของฉันกลับโดนดูถูกดูแคลนจากคนอื่น มันช่างน่าโมโหเสียจริงค่ะ”
ตอนนั้นเธอก็ยังจำชื่อของผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่ถึงขั้นรู้สึกคิดถึงเลยทีเดียว
“ก็เอาเถอะ ยังไงมันก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้วนี่นา”
เมื่อพึมพำกับตัวเองที่แทบจะไม่ได้เรียกว่าเป็นคำตอบเลยด้วยซ้ำ เอริก้าทำสีหน้าอ่อนโยนขึ้นมาแล้วพูดว่า นั่นสินะคะ
แม้จะพูดถึงเรื่องราวสมัยอยู่สถาบัน เอริก้าก็ยังสามารถยิ้มให้อย่างอ่อนโยนได้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด
ก็แหม เมื่อไม่นานมานี้ในรถม้า เห็นเธอเอาแต่พ่นคำสาปแช่งไม่หยุดเลย
หลังจากคำพูดนั้นจบลง พวกเราก็นั่งพักกันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง
อุปกรณ์ใหม่ที่เพิ่งจัดหามาก็สมราคาดี และเอริก้าเองก็ยังคงเป็นตัวของเธอเองอย่างที่ควรจะเป็น
วันนี้ เป็นวันที่ดีจริงๆ
“นั่นสินะคะ ต่อจากนี้ ขอแค่ประกาศให้ทุกคนเห็นว่า สามีของฉันไม่ใช่คนธรรมดาก็พอ”
……วันนี้มันช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ นะ
*
เอริก้า โซลน์ซารี คาดหวังให้สามีของเธอไม่ใช่คนธรรมดา จากมุมมองของหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่างเธอแล้ว มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละ
แต่ปัญหาก็คือ คนนั้นน่ะ ดันเป็นผมเอง
ไม่ใช่ว่าจะอวดอะไรหรอกนะ ก็แค่ลูกชายคนรองของตระกูลไวส์เคานต์ที่ยากจนเท่านั้นเอง
ก็พอจะภูมิใจอยู่บ้างนะ ว่าตัวเองยังดีกว่าเด็กที่เรียนตามระบบของสถาบัน เพราะอาจารย์ที่ฝึกมาน่ะเก่งมาก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไปเทียบกับพวกหัวกะทิของโรงเรียนจริงๆ ก็คงดูด้อยกว่าอยู่ดีนั่นแหละ
เหนือสิ่งอื่นใด รุ่นน้องเอลซ่า ที่ฝึกกับอาจารย์เดียวกัน ก็ดูจะเก่งกว่าผมอีกด้วย
พูดง่ายๆ ก็คือ พรสวรรค์ของผมมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอก
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเธอปรารถนาแบบนั้นจริงๆ ผมก็จะตอบสนองต่อความปรารถนานั้นให้เต็มกำลัง
ต่อให้ละครปลอมๆ นี้จะจบลงในเวลาเพียงแค่หนึ่งปีก็ตามที
“เพราะฉะนั้น งั้นเรามาเล็งเป้าหมายใหญ่กันเถอะค่ะ”
อะไรล่ะ ที่เป็นเหตุผลของคำว่า เพราะฉะนั้น ผมก็เลิกคิดไปแล้วล่ะ
“ก่อนอื่นเลย เราจะยกระดับแรงก์ของคุณ ให้เหมาะสมค่ะ”
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่ ในขณะที่ผมถูกพาไปยังโรงอาหาร ทั้งที่ยังใส่อุปกรณ์นักผจญภัยอยู่
ตอนแรกผมก็คิดว่าอาจจะคิดมากไปเอง แต่ดูๆ แล้ว เอริก้าอาจจะกำลังประเมินผมเกินความเป็นจริงก็ได้นะ?
ทั้งที่จริงๆ แล้ว ผมน่ะก็แค่คนธรรมดาที่บังเอิญได้พบเจออาจารย์ที่ดีตั้งแต่เนิ่นๆ เท่านั้นเอง ถึงจะพูดเรื่องนิสัยส่วนตัวแล้วก็คงไม่น่าชมสักเท่าไหร่ก็เถอะ
“ตอนนี้เรามาตั้งเป้าที่แรงก์ 7 ตามที่พนักงานกิลด์บอกกันก่อนนะ”
เอาล่ะ ถ้าอธิบายเรื่องแรงก์นักผจญภัยให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ
แรงก์ 1 ถึง 4 อยู่ในขอบเขตของมนุษย์ทั่วไป ส่วนแรงก์ 5 ถึง 6 เริ่มเกินขอบเขตของมนุษย์แล้วล่ะ
ส่วนแรงก์ 7 ขึ้นไปนั้น เป็นระดับที่หลุดพ้นจากขอบเขตของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง
ส่วนแรงก์ 10 นั้น เป็นเหมือนเกียรติยศมากกว่า มอบให้แก่หัวหน้ากิลด์นักผจญภัย หรือเมื่อเหล่านักผจญภัยระดับสูงเสียชีวิตอย่างสง่างาม แรงก์นี้จึงไม่ใช่สิ่งที่นักผจญภัยที่ยังทำงานอยู่ต้องการ
เมื่อจบจากสถาบัน นักเรียนส่วนใหญ่จะมีฝีมืออยู่ในระดับแรงก์ 4 หรือ 5 ดังนั้น ความสามารถในการฝึกสอนของสถาบันจึงน่าเชื่อถืออย่างแท้จริง
เพราะอย่างไรเสียนักผจญภัยสามัญชนต้องเดิมพันทั้งเวลาและชีวิตอยู่หลายปีกว่าจะขึ้นถึงแรงก์ 3 ได้ นั่นแหละถึงจะรู้ว่าการจบมาจากสถาบันมันเหนือกว่าแค่ไหน
นอกจากนี้ ยังมีคำกล่าวกันว่า ตั้งแต่แรงก์ 6 ขึ้นไป จะมีกำแพงใหญ่ขวางอยู่ และผู้ที่สามารถไปถึงระดับนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือสามัญชน ก็นับว่าหายากมาก
ในความเป็นจริงแรงก์ของนักผจญภัยจะพิจารณาจากปัจจัยอย่างอัตราความสำเร็จของภารกิจด้วย ดังนั้นการจะเลื่อนแรงก์จึงยากกว่าที่คนทั่วไปจินตนาการไว้เสียอีก
สรุปแบบง่ายๆ เลยก็คือ นั่นไม่ใช่ระดับที่ใครจะตั้งเป้าแบบขอไปทีได้
“สำหรับผมแล้วก็อยากหลีกเลี่ยงการทำตัวให้เด่นเท่าที่จะทำได้”
ในทางปฏิบัติ เมื่อเทียบสามารถเป็นแรงก์ 7 ได้หรือไม่นั้น ก็คือเรื่องทางฝั่งนั้นต่างหาก
ถ้าเป็นสิ่งที่เธอต้องการ จะมุ่งไปให้ถึงไม่ว่าเป็นสิ่งใด ผมคิดแบบนั้นอย่างเงียบๆ
ถ้าผมโดดเด่นก็ไม่มีปัญหา แต่เอริก้าโดดเด่นขึ้นมา เราก็ไม่รู้ว่าทางคริสตจักรจะตอบสนองยังไง แถมเอริก้าอาจถูกมือสังหารหมายหัวอีกด้วย
แม้การโจมตีจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่อาจมองโลกในแง่ดีไปถึงตอนจบได้
พูดกันตามตรงแล้ว อยากจะเก็บตัวอยู่ข้างในจนกว่าจะรู้ว่าเป็นองค์กรไหนหรือใครเป็นคนจ้างมันมา
ถ้ารู้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ง่ายนิดเดียว ไม่ว่าจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากแค่ไหน หรือแม้จะอยู่ท่ามกลางมัน ก็แค่ทำลายองค์กรให้ราบคาบ หรือไม่ก็จัดการตัดหัวคนว่าจ้างให้ได้ก็พอ
ถ้ามันยากเกินไปสำหรับผมคนเดียว ก็แค่ขอความช่วยเหลือจากท่านเสนาบดีเท่านั้นเอง
ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องยกโทษให้พวกที่ขโมยอนาคตอันสดใสของเธอไป
แถมยังเป็นพวกที่บังคับยัดเยียดความไม่สมเหตุสมผล ถึงขั้นพยายามเอาชีวิตกันอีกด้วย
จะไปมีเมตตากรุณาให้กับพวกมันได้ยังไงกัน
“ถึงกับทำสีหน้าที่ดูน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอคะ คุณเกลียดขนาดนั้นเลยหรือ?”
เสียงของเอริก้าทำให้ผมสะดุ้งขึ้นมา
ไม่ดีเลย ที่สีหน้ากำลังตึงเครียดอยู่
เอาจริงๆ แล้ว ฟันกรามด้านในเจ็บนิดหน่อย
“เปล่า ผมกำลังคิดถึงเรื่องอื่นนิดหน่อย”
เมื่อผมพูดพร้อมกับเกาศีรษะ เอริก้าก็ถอนหายใจออกมา
“ฉันก็พอจะเดาได้ลางๆ แล้วว่าคุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่”
เอริก้ากำลังรู้สึกหมดคำจะพูด
แย่ละ เธอคงคิดว่าผมมันน่ารังเกียจ?
หรือว่า เธอคิดว่าผมจริงจังกับละครปลอมๆ นี้จนเกินไป ทั้งที่สัญญากันไว้ว่าจะอยู่ด้วยกันแค่ประมาณหนึ่งปี?
จะทำยังไงดี ถ้าเป็นอย่างจริงๆ อาจจะตายได้เลยนะ
มีทางไหนไหมนะ ที่พูดเรื่องจะไปตัดหัวพวกที่คิดทำร้ายเธอให้ฟังดูเบาๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตน่ากลัวอะไร
คงเป็นไปไม่ได้สินะ ใช่ มันเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ
“ก็พอจะเข้าใจเหตุผลที่คุณอยากจะทำแบบนั้นนะคะ แต่ถ้ารีบร้อนเกินไป มันจะทำให้เรื่องพังได้นะ”
“ผมแค่……”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้หมายความว่าคุณไม่จริงจังกับละครปลอมๆ นี้ คือว่า… แบบว่า… ฉันเข้าใจค่ะ”
ก็คุณเรียกฉันว่าภรรยาด้วยน้ำเสียงที่เบาอยู่บ่อยๆ นี่คะ เอริก้าพึมพำ
อยู่ดีๆ ก็มาเขินแบบนี้ ช่วยหยุดทำแบบนั้นสักทีเถอะนะ!
ผมพยายามข่มความรู้สึกที่อยากจะตะโกนเออกไป
“แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังรู้สึกขัดใจอยู่ดีใช่ไหมล่ะคะ? แค่เพราะมีคนมาขัดขวาง แล้วต้องเปลี่ยนเส้นทางของตัวเองเนี่ย มันน่าหงุดหงิดออกจะตายไป”
เธอมองมาจากอีกฝั่งของโต๊ะด้วยสายตาที่จริงจัง
“เส้นทางที่พวกเราเดินนั้น ไม่ใช่เส้นทางแห่งอำนาจหรือเส้นทางแห่งราชวงศ์นะคะ แต่เป็นเส้นทางธรรมดาค่ะ การเดินบนเส้นทางธรรมดานั้นน่ะ มันจะมีเหตุผลอะไรให้เราต้องเกรงใจใครกันล่ะ หากมีใครมาขวางทาง ก็แค่กวาดพวกเขาให้พ้นทางก็พอแล้วค่ะ”
เส้นทางธรรมดาของเธอนี่ มันอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ
พอคิดแบบนั้นแล้ว ก็รู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลย
เพราะเราสองคนจะร่วมกันเดินบนเส้นทางที่เธอเรียกว่า เส้นทางธรรมดา เส้นทางที่ปูด้วยเวทมนตร์สีทองแล้วเอาชนะทุกอุปสรรคที่ขวางกั้น
สำหรับผมแล้ว เส้นทางในฐานะขุนนางนั้น ไม่มีอยู่อีกต่อไป
ถ้าอย่างนั้น ก็จะร่วมเดินบนเส้นทางที่เธอเลือก ตราบเท่าที่ยังเดินไปด้วยกันได้
อ่าา ช่างเป็นเรื่องที่งดงามอะไรเช่นนี้
คนธรรมดาที่ขี้ขลาดที่เคยแอบมองใบหน้าด้านข้างของเธอจากมุมห้องเรียน กลับได้ร่วมเดินบนเส้นทางที่เธอเลือก
เคียงข้างกันกับเธอ
รู้ตัวอีกที ผมก็เผลอยิ้มออกมาแล้ว
“เข้าใจแล้ว เอริก้าไปกันเถอะ ไปบนเส้นทางธรรมดาของเธอกัน”
ไม่รู้ว่าจะไปด้วยกันได้ไกลแค่ไหน แต่…
ผมจะเดินเคียงข้างกันกับเธอ จนกว่าวันนั้นจะมาถึง วันที่เธอบอกว่าไม่ต้องการผมอีกแล้ว
เธอรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นหรือเปล่า หรือว่าเป็นอย่างอื่นที่ผมไม่เข้าใจ
เอริก้าตอบกลับรอยยิ้มของผม ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างแท้จริง
*
ถ้าเรื่องมันจบลงตรงนี้ล่ะก็ มันคงจะเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีที่สุดเลยล่ะ
เอาจริงๆ ตอนนั้นแค่เราอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ ก็รู้สึกว่าพร้อมจะบุกตะลุยเข้าไปถึงส่วนลึกของแดนปีศาจได้เลยด้วยซ้ำ
เปล่าหรอก แน่นอนว่าเอริก้าไม่ใช่คนบุ่มบ่าม เธอไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่
สิ่งที่พังทลายความรู้สึกพุ่งสูงของผมลงในพริบตา ก็คือเสียงหนึ่ง เสียงที่ได้ยินติดต่อกันมาสองวัน แม้จะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ตาม
“ในที่สุดก็เจอตัวสักทีนะคะ คู่สามีภรรยาลองแดกเกอร์!”
คนที่เปิดประตูโรงอาหารอย่างเอะอะโวยวาย แล้วตะโกนแบบนั้นออกมา ก็คือซิสเตอร์ชาร่าแห่งคริสตจักรนั่นเอง
MANGA DISCUSSION