ผมกับเทเปะต่างก็กล่าวขอโทษเอริก้าพร้อมกัน แล้วก็ได้รับการให้อภัยมาแบบหวุดหวิด จากนั้นพวกเราก็มองตากันแล้วพยักหน้าตอบรับกัน
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างน่าประหลาด
การโดนเอริก้าดุโคตรน่ากลัวเลยจริงๆ
พอได้เผชิญกับความกลัวแบบเดียวกัน ก็ย่อมเกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมา
“เอ่อ…… จากที่ดูมัดกล้ามของคุณแล้ว คิดว่าคุณน่าจะเป็นสายดาบล้วนๆ ที่เชี่ยวชาญด้านการเสริมร่างกาย ไม่ทราบว่าถูกต้องไหมคะ?”
หลังจากถูกเอริก้าเตือน เทเปะก็หันมาถามผมเพื่อความแน่ใจ
การประเมินของเธอนั้นแม่นยำ เพราะผมนั้นไม่ถนัดด้านเวทมนตร์อย่างสุดๆ
จะว่าไม่ถนัดก็ไม่เชิง เรียกได้ว่าผมใช้เวทโจมตีไม่ได้เลยต่างหาก
ไม่รู้ว่าทำไม ไม่สามารถปล่อยพลังเวทออกจากร่างกายตัวเองได้เลย
แม้ว่าจะสามารถสร้างวงเวทได้โดยไม่มีปัญหา แต่พลังเวทที่เกิดจากวงเวทนั้นกลับไม่สามารถออกจากร่างกายได้ ซึ่งก็เท่ากับว่าไม่สามารถใช้เวทโจมตีได้เลย
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถปล่อยพลังเวทออกมาได้เลย เพราะยังพอใช้เวทชำระล้างหรือเวทเล็กๆ น้อยๆ อย่างการจุดไฟ ซึ่งเรียกกันว่าเวทมนตร์ในชีวิตประจำวันพวกนั้นพอจะใช้ได้อยู่บ้าง
อาจจะชดเชยกับสิ่งนั้นก็ได้ เวทที่ไม่ต้องปล่อยพลังเวทออกจากร่าง เช่น เวทเสริมพลังร่างกาย ผมกลับถนัดเป็นพิเศษ และระดับพลังนั้นก็พอจะอวดได้เลยล่ะ
พอผมพยักหน้า เทเปะก็พยักหน้าตามพร้อมกับพูดคำว่า อืม
“ถ้าอย่างนั้น คุณจำสกิลได้หรือเปล่าคะ?”
“พอจะมีสกิลรับรู้การมีตัวตนอยู่นิดหน่อย แล้วจากการประเมินของอาจารย์ก็ดูเหมือนว่าจะมีสกิลสายดาบทำงานอยู่ด้วย”
“แค่ดูเหมือนว่าจะใช้งานอยู่งั้นเหรอ? เพราะยังไม่ได้รับการตรวจสอบที่โบสถ์สินะคะ?”
“มันมีเหตุผลบางอย่างน่ะนะ”
สกิล
ถ้าเวทมนตร์คือการเลียนแบบการกระทำของเทพเจ้าแล้วล่ะก็ สกิลก็คือของขวัญที่มาจากพระเจ้าโดยตรง
อย่างน้อยที่สุด โบสถ์ก็ยืนยันอย่างนั้น
เวทมนตร์ต่างจากสกิล ที่ไม่สามารถเรียนรู้ในการจดจำได้
คนส่วนใหญ่มักกล่าวว่าสกิลจะถูกเรียนรู้สะสมประสบการณ์จากการต่อสู้จริง
มีสกิลบางอย่างที่เมื่อเรียนรู้แล้วก็เข้าใจวิธีใช้ได้ทันที บางสกิลถ้าไม่ตระหนักอย่างชัดเจนว่าตัวเองรู้สกิลนั้นก็ไม่สามารถใช้ได้ และก็มีสกิลบางอย่างที่แม้เพียงแค่รู้โดยไม่รู้ตัว ก็ยังคงใช้งานต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
สิ่งที่สกิลคล้ายกับเวทมนตร์ก็คือการที่ต้องใช้พลังเวทในการใช้งาน แต่ไม่จำเป็นต้องสร้างวงเวททำนองนั้น
แม้ว่าปริมาณพลังเวทที่จำเป็นจะแตกต่างกันไป แต่เมื่อเทียบกับเวทมนตร์แล้ว
ปริมาณการใช้พลังนั้นน้อยมาก ซึ่งเป็นลักษณะเด่น
เพราะมีสกิลบางอย่างที่เหนือกว่าเวทมนตร์โจมตีทั่วไป นักผจญภัยบางคนจึงขยันศึกษาค้นคว้าตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อตั้งใจหาวิธีที่จะเรียนรู้สกิลเหล่านั้น
สกิลนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อตรวจสอบที่โบสถ์แล้ว จะสามารถรับรู้ว่าได้สกิลอะไรมา
การตรวจสอบสกิลนั้นเองก็ดูเหมือนจะเป็นสกิลชนิดหนึ่ง แต่น่าแปลกใจที่สกิลนี้จะปรากฏขึ้นได้เฉพาะกับนักบวชในโบสถ์เท่านั้น
เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่โบสถ์ยืนยันว่าสกิลคือของขวัญจากพระเจ้า
ตอนที่ทำงานเป็นนักผจญภัยอยู่ในอาณาจักรฟาร์ทาล ผมรู้สึกเหมือนว่าได้เรียนรู้สกิลบางอย่างก็จริง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องรีบไปให้ตรวจสอบ จึงไม่เคยไปตรวจสอบเลยสักครั้ง
ไม่ได้เสียดายค่าตรวจสอบหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ
ด้วยเหตุผลนั้น สกิลของผมจึงยังไม่ได้รับการตรวจสอบ แต่ก็พอมีบทบาทในละครปลอมๆ นี้เข้ามา ผมก็ไม่สามารถไปโบสถ์ได้อย่างง่ายๆ อีกต่อไป
อย่างน้อยเอริก้าก็คงไปโบสถ์ไม่ได้แน่ๆ เพราะในสายตาของโบสถ์ เธอคือผู้พยายามลอบสังหารมิโกะแห่งแสง
แค่เหยียบย่างเข้าไปในเขตพื้นที่ของโบสถ์ก็เสี่ยงอันตรายแล้ว
ตัวผมเองอาจจะไม่เป็นอันตรายขนาดนั้นก็จริง แต่การเดินเข้าไปหาอันตรายด้วยตัวเองน่ะ เป็นเรื่องที่พวกโง่เขาทำกัน
ถ้ามองจากจุดยืนของนักผจญภัยแล้ว การที่ไม่รู้จักสกิลของตัวเองน่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องโง่หรอก แต่มันคือปัญหาเป็นหรือตายเลยต่างหาก
ในสภาพการณ์ปัจจุบัน ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน
ดังนั้น ผมจึงไม่รู้จักสกิลของตัวเองเลย
เมื่อเทเปะเหมือนอยากจะถามว่า เรื่องนั้นมันคืออะไร? ผมก็แค่ยักไหล่ให้โดยไม่แสดงท่าทีว่าจะตอบ
“อ๋อ เข้าใจสถานการณ์แล้วก็ได้ แค่กล้ามเนื้อนี้เหล่านี้ ก็ทำให้ข้าอยากขายดาบให้คุณเลยนะคะ”
ผมเอียงคอสงสัยกับคำพูดแปลกๆ ของเทเปะ
เหมือนกับว่าเทเปะกำลังเลือกลูกค้าที่จะขายของให้เลยนะ
เมื่อเทเปะเห็นท่าทางของผมก็ทำหน้าสงสัย ก่อนจะตบมือเบาๆ
“หรือว่าคุณมาที่นี่โดยไม่รู้จักร้านของข้างั้นเหรอคะ?”
เมื่อตอบคำถามของเทเปะไปว่า ที่มาเพราะได้รับการแนะนำจากลานะพนักงานของกิลด์นักผจญภัย เธอก็พยักหน้าเหมือนเพิ่งเข้าใจอย่างเต็มที่
“ขอโทษนะคะ เด็กคนนั้นบางทีก็กลายเป็นคนขี้ลืมเลยคิดว่าเธอจะลืมอธิบายไป”
ไม่มีภาพลักษณ์ว่าเป็นคนขี้ลืมนะ แต่รู้สึกว่าเป็นคนขี้กลัวมากกว่า
งั้นเหรอ…… แถมยังเป็นคนขี้ลืมด้วยสินะ
“ที่ร้านของข้า ข้าจะดูคนก่อนแล้วค่อยขายอาวุธให้ค่ะ แน่นอนว่าถ้าเห็นแล้วไม่เหมาะสม ข้าก็ขอปฏิเสธไม่ขายเช่นกันค่ะ”
“แบบนั้นยังจะทำการค้าได้เหรอคะ?”
คำถามอย่างตรงไปตรงมาของเอริก้าผุดขึ้นมา
แล้วเทเปะก็ยิ้มออกมา
“เป็นเรื่องที่น่าขอบคุณ”
ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างแน่นอน
ไม่ได้เกลียดใบหน้าแบบนั้น
ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่บอกว่าว่างมากเพราะไม่มีลูกค้าเลย จะเป็นคนเดียวกันกับคนนี้
“ผมเชื่อนะ แค่สัมผัสแขนก็ทายถูกมากขนาดนั้นเลยนี่นา”
เมื่อได้ยินคำพูดของผม เทเปะก็ก้มศีรษะลงด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมราวกับว่าการเจอกันครั้งแรกเป็นเรื่องโกหก
MANGA DISCUSSION