เมื่อได้ยินคำพูดของผมว่า คำขอนั้นล้มเหลว เอริก้าทำหน้างุนงงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นไม่รู้ทำไมเธอก็ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
ปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก เพราะเธอน่ารักเกินไป
“เอ่อ ใช่ ต้องใช่แน่ๆ คงจะรู้สึกตื่นเต้นเกินไปหน่อยน่ะค่ะ”
เธอกล่าวในขณะที่แอบมองผมเป็นระยะๆ
“ในสถานการณ์แบบนี้ สุภาพสตรีที่ดีควรให้เกียรติบุรุษบ้าง ก็เข้าใจอยู่ แต่ก็เผลอตื่นเต้นจนทำไปแล้วล่ะค่ะ หรือก็คือ……”
พวกเราสบตากัน
“ขอโทษค่ะ สนุกจนเผลอลืมไปว่าต้องเก็บส่วนของคุณไว้ด้วย”
เอริก้าก้มหัว
“เปล่านะ ไม่ได้หมายความว่าล้มเหลวเพราะไม่มีส่วนของผมอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ”
“จริงเหรอคะ?”
“การล่ามอนเตอร์ไม่เหมือนกับการล่าสัตว์ของพวกขุนนางนี่นา”
เป็นเรื่องจริงที่ทักษะของเธอ ในการต่อกรกับฝูงบอนโบประมาณร้อยกว่าตัวนั้น คงไม่ต่างอะไรจากการล่ากวางเพื่อความบันเทิงของพวกขุนนางเลยสินะ
“ที่จริงมันเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้อธิบาย พูดตามตรง ผมประเมินความสามารถของเธอต่ำเกินไป”
ผมก้มหัว
“ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้จำนวนมากขนาดนั้น แถมแม่นยำมากด้วย การที่ใช้ได้พร้อมกันอย่างต่อเนื่องแบบนั้น ไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยครับ ถ้ารู้แต่แรก คงอธิบายไปแล้ว ขอโทษจริงๆ นะครับ”
เอริก้าดูสับสนในขณะที่ผมกล่าวขอโทษ
อาจเป็นเพราะเธอยังไม่เข้าใจสาเหตุที่ว่าทำไมคำขอถึงล้มเหลว
จากมุมมองของเธอ มอนสเตอร์ที่เป็นเป้าหมายในการกำจัดนั้น ถูกทำให้กลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว
“จะอธิบายให้ฟัง เอริก้า ว่างานของนักผจญภัยคืออะไร”
ผมทำท่าให้เธอตามมา แล้วก็เริ่มเดินไปยังสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยมีพวกบอนโบอยู่
*
ในทุ่งหญ้าที่ไหม้เกรียมเป็นรูปวงกลมอันสวยงามปรากฏอยู่
ดูจากขนาดของวงกลมแล้ว คงมีบอนโบเคยอยู่ที่นี่ประมาณสองหรือสามตัว
ไม่เหลือซากอยู่เลย เหลือแค่เพียงขี้เถ้าเล็กน้อยเท่านั้น
พูดตามตรง คิดว่าน่าจะมีอะไรเหลืออยู่มากกว่านี้สักหน่อย แต่ไม่คิดเลยว่าจะทรงพลังขนาดนี้
พูดให้ถูกก็คือ การที่เธอสามารถทำแบบนี้ได้กับเป้าหมายหลายตัวพร้อมกัน แสดงให้เห็นว่าเอริก้าเป็นคนนอกเหนือมาตรฐานจริงๆ
ถ้าราชวงศ์กับขุนนางชั้นสูงต้องการจะให้เธอออกห่างจากสถาบัน พวกเขาควรให้เธอจบการศึกษาแบบกรณีพิเศษไปเลย แทนที่จะหาทางกำจัดเธอ
จุดประสงค์ในการก่อตั้งสถาบัน คือการฝึกฝนบุคลากรให้ไม่แพ้กับเหล่านักผจญภัย
ความสามารถของเธอเป็นแบบนี้ในเวลาสามปี ถ้าปล่อยให้จบการศึกษา ก็คงไม่มีใครออกมาว่าหรอก
ผมคิดแบบนั้น แล้วรู้สึกทึ่งกับเวทมนตร์ที่มหาศาลและมีความแม่นยำอันน่าเหลือเชื่อ ซึ่งมันไม่ส่งผลกระทบนอกวงกลมแม้แต่น้อย
“เห็นอะไรไหม?”
เอริก้าเอียงคอเมื่อได้ยินคำถามของผม
“เถ้าถ่านสินะคะ”
“ถูกต้อง ไม่มีอะไรนอกจากเถ้าถ่าน”
แม้เธอจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะ ก็ไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจ เพราะเธอเติบโตมาในฐานะขุนนางเท่านั้น
ในทางกลับกัน การต่อสู้ของเธอ หากเป็นในหมู่ขุนนางแล้วล่ะก็ คงได้รับคำชื่นชมแน่นอน
แต่ในฐานะนักผจญภัย มันเป็นปัญหา
“จำได้ไหม? ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อมอนเตอร์ตาย”
“มีหินเวทมนตร์ที่เป็นแกนกลางกับเศษหินเวทมนตร์ บางครั้งก็จะมีส่วนหนึ่งของร่างกายที่ไม่กลายเป็นเศษหินเวทและยังคงอยู่”
เอริก้าตอบกลับด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย เพราะไม่เข้าใจความหมายของคำถาม
“ถูกต้องแล้ว พวกเราเหล่านักผจญภัยก็ใช้หินเวทมนตร์นั่นเป็นหลักฐานว่าจัดการกับมอนสเตอร์นั้นได้แล้ว”
เอริก้าเข้าใจที่ผมพูดทันที
“ถ้าอย่างนั้น…… เข้าใจแล้วล่ะค่ะ นั่นหมายความว่าคำขอนั้นล้มเหลวจริงๆ”
“ขอโทษจริงๆ ถ้าผมอธิบายตั้งแต่แรกก็คงจะดี นี่คือความผิดของผมเอง”
ผมขอโทษเอริก้า นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเพื่อไม่ให้เธอท้อแท้หรืออะไรแบบนั้น แต่เป็นการกระทำที่สมควรทำในฐานะนักผจญภัย
การพยายามแบ่งปันข้อมูลและความรู้เป็นพื้นฐานที่สุดของนักผจญภัย
ครั้งนี้เป็นผมเองที่ละเลยเรื่องนั้นไป ถ้าอาจารย์รู้เข้า คงโดนสั่งสอนอย่างหนักแน่นอน
“แต่ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ว่าคำขอล้มเหลวหรอกนะ”
ชีวิตของพวกเรานักผจญภัยจริงๆ แล้วก็เป็นแค่ใช้ในการปกปิดเท่านั้น ดังนั้นแม้ว่าคำขอจะล้มเหลว ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร
อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวครั้งนี้ก็จะมีบางคนที่ต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน
“มันหมายความว่า ถึงแม้จะกำจัดมอนสเตอร์ได้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถแสดงหลักฐานให้ผู้ว่าจ้างเห็นได้นั่นแหละครับ”
ชาวบ้านในหมู่บ้านเกษตรกรรมที่เป็นผู้ว่าจ้างคำขอนี้ จะต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากสองทาง
พวกเขาจะเชื่อคำพูดของนักผจญภัยที่บอกว่าปราบได้แล้ว ทั้งที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน หรือจะไม่เชื่อเลย นั่นแหละคือคำถาม
ถ้ามีหินเวทมนตร์เหลือสักก้อนหรือสองก้อน เรื่องราวอาจจะต่างออกไปก็ได้ แต่มันกลับกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้วน่ะสิ
เอาจริงๆ แค่มอนสเตอร์ระดับบอนโบก็เถอะ แต่ที่หินเวทมนตร์กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาแบบนั้น ช่างรุนแรงเหลือเกิน
การว่าจ้างคำขอของกิลด์นักผจญภัยอย่างต่อเนื่องก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถึงจะเชื่อว่ามีการกำจัดมอนสเตอร์จริงๆ ความไม่สบายใจคงยังเหลืออยู่ดี
หลังจากที่ผมอธิบายไป เอริก้าก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ไปรับผิดชอบกันเถอะค่ะ”
*
เอริก้าบอกว่าเธอจะรับผิดชอบเอง
เธอบอกว่า ในเมื่อภารกิจล้มเหลว ก็มีหน้าที่ต้องอธิบายเรื่องนั้น
ผมบอกว่า หากให้กิลด์นักผจญภัยคนอธิบายก็คงไม่ต่างกันหรอก แต่เอริก้ากลับบอกมาว่าเธอจะไปอธิบายกับชาวบ้านด้วยตัวเอง
นี่แหละคือตัวเธอจริงๆ
หมู่บ้านในชนบทตั้งอยู่ไม่ไกลจากทุ่งหญ้าที่ปราบพวกบอนโบ แค่ใช้เวทเสริมพลังก็วิ่งไปถึงทันที
ถึงจะเรียกว่าหมู่บ้านชนบทก็เถอะ แต่ก็เป็นหมู่บ้านที่คอยสนับสนุนเสบียงอาหารของเฮคาไท
นอกจากจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่อีกด้วย
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีเครื่องมือผลผลิต มีแต่รั้วล้อมรอบเครื่องมือเวทสำหรับกันมอนสเตอร์ตั้งอยู่ทั่วบริเวณ ซึ่งหน้าตาของมันก็คือหุ่นไล่กานั่นแหละ
พวกเราคลายเวทเสริมพลังที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน แล้วไปทักทายยามเฝ้าประตูวัยกลางคนที่ยืนถือหอกตั้งท่าพร้อมรับมือเพราะสงสัยที่พวกเรากำลังเดินเข้ามา
“พวกเราเป็นนักผจญภัยจากเฮคาไท มาเรื่องคำขอที่ส่งให้ทางกิลด์ ช่วยติดต่อผู้รับผิดชอบให้ได้ไหม?”
พอพูดจบก็ยื่นบัตรประจำตัวนักผจญภัยของกิลด์ให้ดู
ชายคนนั้นมองบัตรกิลด์ของผมกับเอริก้าสลับกันไปมา ก่อนจะทำท่าทางสงสัย
ก็เข้าใจความรู้สึกนั่นแหละ เพราะตอนนี้พวกเราทั้งสองคนยังอยู่แค่แรงค์ 1 เอง
นักผจญภัยแรงค์ 1 แค่สองคนจะมาทำอะไร? ก็คงคิดแบบนั้นแหละนะ
แม้ว่าชายคนนั้นจะยังสงสัยพวกเราอยู่ แต่พอดูบัตรกิลด์ก็เชื่อขึ้นมาทันที จึงอนุญาตให้เข้าหมู่บ้าน พร้อมกับบอกตำแหน่งบ้านของผู้ใหญ่บ้านให้ด้วย
เอาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้กันนะ?
-คนแปล-
“สองคนนั้นมันเป็นสเมิร์ฟ!?”
MANGA DISCUSSION