ใครก็ได้ ช่วยชมผมที ที่ไม่เผลอตะโกนออกไป ที่ไม่เผลอสะดุ้งตัวสั่น และยังสามารถตอบกลับไปอย่างใจเย็นโดยไม่ติดขัด
ผมพูดออกไปแล้ว ไม่สิ พูดออกไปได้ต่างหาก
“อะไรนะ?”
อีกอย่าง เสียงในใจตอนนั้นคือ ‘อะ… อะ… อะ… อะไรนะ?’ เลยล่ะ ส่วนเอริก้า โซลน์ซารี ก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างลังเล ก่อนจะพูดว่า
ขอร้องล่ะ อย่าถอนหายใจแบบนั้นเลย หัวใจของผมจะรับไม่ไหวจริงๆ
“เรื่องที่เคยฆ่าคนค่ะ”
*
เธอเริ่มพูดโดยไม่รอฟังคำตอบเลย
“มันเป็นครั้งแรกของฉันค่ะ”
แต่ในน้ำเสียงนั้น ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าความเสียใจเลย
ถ้าจะมีอะไรอยู่ในน้ำเสียงนั้นจริงๆ มันอาจจะเป็นความสับสนก็ได้?
“แต่ว่าฉันไม่มีความรู้สึกจริงๆ นะคะ เพราะตอนนั้นฉันคิดว่ามันเป็นอสูรค่ะ”
อย่างไรก็ตาม อสูรกับปีศาจเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน
ก็อย่างว่า คนที่ไม่เคยเห็นเผ่าปีศาจมาก่อน มักจะคิดว่าพวกมันเหมือนกับสัตว์อสูร แต่สำหรับคนที่เคยเห็นกับตา ทุกคนต่างก็ตอบเหมือนกันว่า มันเป็นคนละอย่างกันโดยสิ้นเชิง
แม้จะเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรก็ตาม ก็ไม่เคยรู้สึกถึงความขยะแขยงรุนแรงแบบเดียวกันกับปีศาจเลย
ไม่แปลกเลย เพราะเอริก้า โซลน์ซารีเป็นลูกสาวของตระกูลมาร์ควิส เธอคงไม่เคยแม้แต่จะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเลยด้วยซ้ำ
แม้แต่ในโรงเรียนเอง การต่อสู้จริงก็เป็นแบบฝึกของปี 4 เท่านั้น
ประสบการณ์ในการพรากชีวิตน่ะ มากที่สุดก็แค่การฆ่าปศุสัตว์ด้วยดาบของตัวเอง ซึ่งเป็นแบบฝึกของโรงเรียนเอง
“แม้ตอนนี้จะรู้จากคุณแล้วว่า เจ้านั่นเดิมทีเคยเป็นมนุษย์มาก่อน ถ้าจะพูดตามตรง ฉันก็ยังไม่รู้สึกอะไรจริงๆ เลยค่ะ”
เอริก้า โซลน์ซารีส่ายหัวเบาๆ
“ไม่ใช่ว่าฉันกำลังสงสัยคุณหรอกนะคะ แค่มันรู้สึกเสียมารยาทยังไงก็ไม่รู้ ที่ฆ่าเขาไปแล้วแต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย”
เมื่อพูดจบ เธอก็มองไปในอากาศราวกับกำลังพยายามค้นหาคำพูดที่ยังไม่ปะติดปะต่อกัน
เมื่อมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของเธอ คำพูดเหล่านั้นก็หลุดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“สำหรับผมเองก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันนะครับ เอริก้า โซลน์ซารี”
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วหลับตาลง
ผมนึกถึงใบหน้าของผู้ชายสามคนที่ฆ่าไปในวันนี้
พวกเขาล้วนเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่พบได้ทั่วไป
พวกเขาก็ไม่ได้มีหน้าตาที่ดูชั่วร้ายอะไรเป็นพิเศษ ที่ดูเหมือนจะพบเจอได้ทั่วไป แม้แต่ในเมืองนี้เองก็เถอะ
“แต่ผมไม่เสียใจเลย”
ผมขอยืนยันแบบนั้น และสามารถยืนยันได้จริงๆ
“เพราะได้ปกป้องเธอไว้ เพื่อปกป้องเธอผมจึงตัดสินใจแบบนั้น”
ถ้าเป็นชนชั้นขุนนางแล้ว ขอรับรองเลย
ไม่ว่าจะมีสติรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สักวันหนึ่งต้องมีคนตายเพราะการตัดสินใจของตัวเองแน่นอน
ไม่แน่ใจว่าเป็นตอนสั่งตัดหัวอาชญากร หรือเป็นตอนที่ต้องตัดสินใจละทิ้งคนส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ของคนส่วนมาก
แต่สิ่งนั้นจะต้องเกิดขึ้นสักวันอย่างแน่นอน
สำหรับผมในฐานะลูกชายคนที่สองซึ่งไม่ได้เป็นผู้สืบทอดทางบ้านนั้น ไม่น่าจะมีโอกาสที่จะตัดสินใจโดยตรง
ถึงอย่างนั้น เมื่อครอบครัวเป็นผู้ตัดสินใจ ก็หมายความว่าตัวเองที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้นก็ต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและผลลัพธ์ด้วย
แต่สำหรับผมแล้ว มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ยังสงสัย ว่าจะมีความตระหนักรู้แบบนั้นได้หรือไม่
ด้วยความตั้งใจของตัวเอง จึงตัดสินใจที่จะปกป้องเอริก้า โซลน์ซารี เพราะอยากปกป้องเธอ
ในจุดนั้น ไม่มีความเสียใจเลย
แม้จะนึกถึงใบหน้าของชายสามคนที่ฆ่าไปในวันนี้ แต่ผมก็ไม่เสียใจกับการฆ่าคนครั้งแรกของตัวเอง
อาจเป็นเพียงความคิดเห็นแก่ตัวก็ได้ แม้ผมจะคิดแบบนั้นอยู่ แต่ก็ไม่อยากให้เธอรู้สึกคลุมเครือเช่นกัน
“ตอนนั้นคุณคิดอะไรอยู่คะ ถึงได้เหวี่ยงดาบออกไป?”
ผมมองเธอแล้วพูดออกไป
ดวงตาของเธอที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ จับจ้องมายังดวงตาของผม
เอริก้า โซลน์ซารีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มแบบขมขื่น
“ต้องปกป้องทั้งคนขับรถม้า…… และผู้คุ้มกันที่ดูเหมือนจะเหนื่อยล้า จะต้องปกป้องให้ได้น่ะค่ะ”
ถ้าจะให้ชัดเจน คนขับรถม้าที่เป็นผู้คุ้มกัน แล้วก็ท่านสามี เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา
“ถ้าเป็นอย่างนั้น”
ผมพูด เพื่อจะบอกว่า การตัดสินใจและผลลัพธ์ของเธอไม่ได้เกิดจากความคลุมเครือ
“ผมควรจะขอบคุณเธอสินะ เอริก้า โซลน์ซารี ขอบคุณที่ได้เหวี่ยงดาบเพื่อผม”
เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากนั้น เธอตอบกลับมาว่า ‘ไม่เป็นไร’ แล้วจึงหันตัวมาทางผม
“ถ้าเช่นนั้น ฉันขอกล่าวคำขอบคุณเช่นกันนะคะ ชิน ลองแดกเกอร์ เพราะดาบของคุณได้ขจัดน้ำค้างที่ขวางทางของฉันแล้วล่ะค่ะ”
แม้แต่ตอนนี้―― เธอกล่าวเสริมพร้อมกับยิ้มออกมา
“ว่าไปแล้วก็…”
สิ่งที่เอริก้า โซลน์ซารีพูดขึ้นมา ราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก ขณะที่เราทั้งสองคนเพิ่งหันกลับไปมองเมืองอีกครั้งด้วยความรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก
“ชิน ลองแดกเกอร์ การที่คุณเรียกฉันด้วยชื่อเต็มนั้น ฉันเข้าใจนะคะ ว่าเป็นการแสดงถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของคุณน่ะค่ะ ดังนั้นฉันจึงทำตาม แต่…… ก็ยังรู้สึกว่ามันยังยุ่งยากอยู่ดี”
ผมรู้ตัวว่าถูกเข้าใจผิดอย่างแปลกๆ เข้าให้แล้ว
ผมไม่รู้หรอกว่าการเรียกเธอว่า เอริก้า โซลน์ซารี มันเป็นการแสดงความแน่วแน่ยังไง แต่เรื่องแบบนั้นน่ะไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับผมเลย
แค่ผมรู้สึกเขินที่จะเรียกเธอว่าเอริก้าเท่านั้นเอง
ไม่ไหวหรอก จะให้เรียกชื่อแบบนั้นนะ
“จากนี้ไป ฉันจะเรียกคุณว่าชิน ส่วนคุณควรเรียกฉันว่าเอริก้านะคะ”
มันไม่ยากไปหน่อยเหรอครับ?
ก่อนที่จะได้แก้ไขความเข้าใจผิด ระดับความยากก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผมรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“นี่ไม่ใช่การเพิกเฉยต่อความตั้งใจของความรู้สึกคุณนะคะ แต่เป็นการแสดงความรู้สึกของฉันในอีกหนึ่งปีต่อจากนี้――”
“เอริก้า”
เผลอพูดออกไปตามอารมณ์ที่พุ่งออกมา
พูดออกไปแล้ว
ความเงียบที่แปลกประหลาดเข้าปกคลุมบนระเบียง
ทั้งที่บอกให้เรียกชื่อ แต่พอโดนเรียกแล้วดันเงียบ แบบนี้ช่วยเห็นใจกันหน่อยได้ไหม ผมอายจนแทบจะตายอยู่แล้วนะ
“ค่ะ งั้นก็เอาตามนั้นนะ ชิน”
เธอทำลายความเงียบด้วยรอยยิ้ม เอริก้า โซลน์ซารี เอริก้าผู้เปล่งประกายด้วยพลังเวทสีทองที่ระยิบระยับ
“อีกอย่าง ฉันเองก็เข้าใจผิดด้วยสินะคะ”
เอริก้าหัวเราะด้วยท่าทีเหมือนกำลังหยอกล้อ
“ฉันไม่ใช่คนของตระกูลโซลน์ซารีอีกต่อไปนะคะ แต่เป็นคนของลองแดกเกอร์อย่างแท้จริง หากจะเรียกให้ถูก ก็ต้องเรียกว่า เอริก้า ลองแดกเกอร์ นะท่านสามี”
เมื่อพูดจบ เธอก็เดินออกจากระเบียงไป
อันตรายมาก
แทบจะตกลงมาจากระเบียงแล้ว
ในคืนนั้นเอง
ทุกครั้งที่นึกถึงตอนที่เธอเรียกผมว่า ‘ท่านสามี’ ขณะที่อยู่บนเตียง ผมก็รู้สึกอยากจะดิ้นไปมาบนเตียง
ได้ยินเสียงพลิกตัวอย่างแรงๆ จากเตียงข้างๆ ทำให้ผมนอนไม่หลับสักที
อ๋อ เธอค่อนข้างนอนดิ้นน่ะ
-จากผู้แปล-
เนื่องจาก เกมหมามีอีเว้นท์ครบรอบ 5 ปี กระผมต้องขอตัวไปเล่นเป็นพิธี ทำให้การแปลจะช้าๆ ลงหน่อย แต่ถ้าแปลเสร็จเมื่อไหร่ก็จะลงวันนั้นนะครับ
MANGA DISCUSSION