ในบ้านมีทั้งเฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอนเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นแค่ขนของเข้าไปก็เป็นอันเสร็จสิ้น
แม้แต่การทำความสะอาดก็ถูกทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก
สิ่งเดียวที่ลำบากที่สุดก็คงเป็นตอนกลางคืน พอนึกถึงสัมผัสจากมือของเอริก้าแล้ว ทำให้หลับไม่ค่อยลงเท่านั้นเอง
ทั้งที่แบ่งห้องกันแบบส่งๆ แต่จดหมายจากท่านเสนาบดีที่ไม่รู้ทำไมถึงไปวางอยู่บนเตียงของผมจนดูค่อนข้างน่ากลัว
*
เช้าวันถัดมา ผมกับเอริก้าส่งเมอร์เซจากลับไปที่ฟาร์ทาล
“ทางเราจะลองสืบสวนคนโจมตีดู แต่นายท่านทั้งหลายโปรดระวังตัวด้วยครับ”
เมอร์เซจาทำท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเอริก้า
แต่ก็แค่ส่ายหน้าเบาๆ เท่านั้น
“เอาล่ะ คิดว่าถ้าไม่ประมาทก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ”
อย่างนี้นี่เอง พอจะเดาออกแล้วว่าเค้าต้องการจะพูดอะไร
“งั้นก็ เมอร์เซจาขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ คิดว่าต่อไปก็คงจะต้องรบกวนอยู่เรื่อยๆ ด้วย งั้นขออวยพรให้เดินทางปลอดภัยนะ”
“รบกวนฝากความคิดถึงถึงท่านพ่อด้วยนะคะ บอกท่านว่าฉันยังสบายดีค่ะ”
ดูจากเนื้อหาในจดหมายนั้นแล้ว ท่านเสนาบดีคงไม่สามารถวางใจได้แค่เพียงคำพูดสินะ
“ครับ ขอให้คุณหนูสบายดีเช่นกันนะครับ”
เมอร์เซจาพูดเช่นนั้นแล้วก้มหัวให้
“ถ้าอย่างนั้นไปกันเลยไหม”
หลังเห็นรถม้าที่กำลังออกไป ผมก็พูดขึ้น
“นั่นสินะคะ”
เอริก้าตอบตกลงโดยไม่ถามสักคำว่า ‘ไปที่ไหน?’
เมื่อวานก็คุยกันไว้แล้ว ว่าวันนี้ตั้งใจจะไปลงทะเบียนเป็นนักผจญภัยให้เสร็จทันที
การเป็นอาชีพนักผจญภัยมันง่ายที่สุดในโลก
แค่ลงทะเบียนกับกิลด์นักผจญภัยก็พอแล้ว
ได้ยินว่าบางประเทศมีการทดสอบหรืออะไรทำนองนั้น แต่ทั้งที่ฟาร์ทาลและออลครา ต่างก็ไม่มีการทดสอบอะไรเลย
รู้สึแบบกว่า จะเป็นก็เป็นเอง เติบโตเอง ใครไม่เหมาะสมก็ ตายซะ ประมาณนั้นแหละ
เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นเพราะความละเลยของกิลด์นักผจญภัยแต่อย่างใด
แต่เป็นข้อตกลงของประเทศนั้นๆ
กิลด์นักผจญภัยจึงถูกห้ามไม่ให้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้ทุกประเภทรวมถึงเวทมนตร์ ให้กับนักผจญภัยในสังกัด ตามข้อตกลงกับทางประเทศ
มากที่สุดก็แค่ให้ความรู้ในรูปแบบของหนังสือหรืออะไรประมาณนั้น
ดังนั้น นักผจญภัยมือใหม่จึงมักจะหานักผจญภัยคนอื่นไว้เป็นผู้ฝึกสอนเป็นเรื่องปกติ
ที่นั่นพวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีใช้ อาวุธและการต่อสู้กับมอนสเตอร์
มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการสอนของโรงเรียนที่สอนทีละขั้นตอนอย่างละเอียด ทั้งเวทมนตร์และการใช้อาวุธ และส่วนใหญ่เป็นการฝึกฝนในทางปฏิบัติ
ส่วนตัวแล้ว วิธีของนักผจญภัยดูจะเหมาะกับนิสัยตัวเองมากกว่า แต่นั่นก็แล้วแต่คนล่ะนะ
ทางโรงเรียนไม่ได้สอนแค่การต่อสู้กับมอนสเตอร์ แต่ยังสอนวิธีต่อสู้กับมนุษย์ด้วยเหมือนกัน
กิลด์นักผจญภัยตั้งอยู่ที่ถนนสายหลักของเมือง ใกล้กับเขตแดนเวทป้องกันมากที่สุด
เนื่องจากการซื้อขายวัตถุดิบจากมอนสเตอร์และการซื้อหาหินเวทที่เก็บได้จากมอนสเตอร์ก็เป็นหนึ่งในงานหลัก จึงจำเป็นต้องมีโกดังเก็บของด้วย ทำให้ต้องการพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้าง
เป็นที่รู้จักกันดีในเกือบทุกเมือง
และเป็นภาพที่คุ้นตาดีเหมือนกันนะ
ผมเดินไปรอบๆ บริเวณกิลด์นักผจญภัยที่คึกคักตั้งแต่เช้ามืด พร้อมกับรำลึกถึงกิลด์นักผจญภัยที่ฟาร์ทาล
ร้านอาหารและแผงลอยที่เปิดตั้งแต่เช้าตรู่เต็มไปด้วยนักผจญภัยที่คึกคัก
ที่ฟาร์ทาลคนไม่เยอะขนาดนี้แน่นอน แต่บรรยากาศก็เหมือนกันมาก
ผมเพลิดเพลินกับบรรยากาศราวกับระลึกถึงอดีต ส่วนเอริกะดูเหมือนจะสนุกกับการชมสิ่งแปลกใหม่ จึงมองแผงลอยและนักผจญภัยที่เดินผ่านไปมาอย่างสนใจ
ความรู้สึกคิดถึงแบบนั้นยังอยู่ได้จนกระทั่งเข้ากิลด์นักผจญภัยเท่านั้นเอง
ทันทีที่ก้าวเข้าไป ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่าง
จะว่าอย่างไรดี รู้สึกเหมือนถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่
พูดให้ถูกก็คือ เส้นพลังเวทมุ่งมายังพวกเรา มีปริมาณที่มากจนแทบไม่อยากจะนับ
ที่ทุกคนมองเอริก้าก็ไม่แปลกหรอก เพราะเธอสวยมาก ถ้ากลับกัน ไม่มีใครมองเลยต่างหากก็แปลว่าคนรอบข้างตาบอดกันหมด
แต่ทำไมสายตาถึงพุ่งมาที่ผมด้วยล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น รู้สึกเหมือนกำลังถูกประเมินมูลค่าอยู่เลย
ที่กิลด์นักผจญภัยในฟาร์ทาลน่ะ ไม่ว่าใครจะเดินเข้ามา ก็ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้หรอกนะ
แม้แต่ตอนที่ผม ซึ่งดูเป็นขุนนางเต็มตัว เดินเข้าไปในนั้น ก็แค่ถูกจับตามองแป๊บเดียว แล้วทุกคนก็หมดความสนใจแทบจะทันที
ก็คงเป็นเพราะสถานที่เปลี่ยนอะไรๆ ก็ปลี่ยนไปล่ะมั้ง
ผมตั้งใจเมินสายตาที่จับจ้องมา ส่วนเอริกะก็น่าจะรู้ตัวอยู่ แต่เธอก็ไม่แสดงท่าทีว่าจะใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว เราสองคนจึงเดินลุยเข้าไปในกิลด์ที่หนาแน่นไปด้วยนักผจญภัย
จุดหมายคือเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
ที่กิลด์ยังมีหน้าที่รวบรวมคำขอสำหรับผู้ที่ต้องการวัสดุเฉพาะอีกด้วย
เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์นี่แหละที่ใช้รับและตรวจสอบคำขอ กิลด์นักผจญภัยส่วนใหญ่ก็มักจะลงทะเบียนกันที่นี่
เราสองคนยืนอยู่หน้าหนึ่งในเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่ว่างพอดี
ที่เคาน์เตอร์มีผู้หญิงตัวเล็กอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่รู้ทำไม เธอดูหวาดกลัวพวกเราอย่างเห็นได้ชัด
เธอดูไม่สิ้นหวังขนาดที่ว่า ถูกบอกให้สู้กับมอนสเตอร์โดยไม่มีอาวุธอะไรเลย
ผมกับเอริก้าสบตากันโดยไม่รู้ตัว
พวกเราต่างทำสีหน้าราวกับว่า ‘นึกสาเหตุอะไรไม่ออก’ ก็เลยยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แม้จะเผลอเอียงคออย่างสงสัย แต่ก็ยืนเงียบอยู่หน้าคาวน์เตอร์ต่อไปไม่ได้ จึงเอ่ยปากทักพนักงานของกิลด์
“อยากจะลงทะเบียนเข้ากิลด์น่ะ ไม่ทราบว่าทำที่เคาน์เตอร์นี้ได้หรือเปล่า?”
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ
ก็เผลอจ้องตากับพนักงานหญิงของกิลด์คนนั้น
“เอ่อ…”
อย่างที่คิดไว้ ไม่สามารถทนอยู่กับความเงียบสิบวินาทีได้แน่ๆ
“ค่ะ!”
คำตอบที่ได้กลับมาเป็นเสียงดังที่ฟังดูแตกพร่า
สายตาที่เคยกระจัดกระจายไปในการแอบมองพวกเรานิดหน่อย กลับมาจ้องมองพวกเราอีกครั้งอย่างมากมาย
อืม… หรือว่าผมอาจจะเผลอทำอะไรผิดขึ้นมาจริงๆ ?
ผมเริ่มสูญเสียความมั่นใจกับการกระทำที่ผ่านมา เพราะการตอบสนองที่คาดไม่ถึงของพนักงานกิลด์
MANGA DISCUSSION