ตอนที่ 6 ความรู้สึกของโทโจ อายากะ (2)
พอฉันไปถึงห้องนั่งเล่น แม่กำลังเดินไปมาอย่างวุ่นวาย พอฉันมองลงไปที่พื้นก็เห็นกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่เปิดอ้าอยู่
“อ้าว? แม่จะไปไหนเหรอ?”
“จ้ะ พอดีมีงานด่วนเข้ามาน่ะ”
แม่พูดพลางยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง
แม่ของฉันเป็นเจ้าของบริษัท เป็นเหมือน CEO น่ะแหละ ดังนั้นบางครั้งก็ต้องออกไปทำงานนอกบ้านแบบนี้ บางทีก็ไปต่างประเทศเลยก็มี ซึ่งตอนนั้นก็จะกลับมาบ้านไม่ได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์
“งั้นเหรอ…ครั้งนี้นานไหม?”
ฉันถามแม่ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหงอยๆ พอแม่ไม่อยู่ บ้านนี้ก็จะเหลือแค่ฉันกับน้องชายเรียวตะแค่สองคน น้องชายยังอายุแค่ 5 ขวบ ยังเด็กเกินไปที่จะอยู่บ้านคนเดียว ฉันต้องดูแลเขา แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น พรุ่งนี้ฉันก็ต้องยกเลิกนัดไปคาเฟ่กับซากิ
“ประมาณ 3 วันจ้ะ น่าจะกลับมาพร้อมกับพ่อนั่นแหละ”
“…เข้าใจแล้ว”
พ่อของฉันก็เป็นเจ้าของบริษัทเหมือนกัน และตอนนี้ก็กำลังไปทำงานต่างจังหวัดอยู่ การที่พ่อแม่ทั้งสองคนเป็นเจ้าของบริษัท ทำให้บ้านฉันค่อนข้างมีฐานะ ฉันรู้สึกขอบคุณจากใจจริง แต่บางครั้งก็รู้สึกไม่พอใจที่พวกเขาต้องไปทำงานแบบนี้ แน่นอนว่าทั้งพ่อและแม่ต่างก็มอบความรักให้ฉันกับเรียวตะอย่างเต็มที่ และฉันก็เข้าใจว่าพวกเขาพยายามให้ความสำคัญกับเวลาของครอบครัวเสมอ ดังนั้นฉันก็ไม่อยากจะเอาแต่ใจเท่าไหร่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าเล็กน้อย
แม่สังเกตเห็นความไม่พอใจของฉัน ก็ทำหน้าเสียใจ
“ทั้งที่พรุ่งนี้จะเริ่มวันหยุดฤดูร้อนแล้วแท้ๆ แม่ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ งานนี่นา ช่วยไม่ได้”
“เดี๋ยวแม่ซื้อของฝากมาให้นะ ฝากดูแลเรียวตะด้วยนะ”
น้องชายเรียวตะคงกำลังนอนกลางวันอยู่แน่ๆ ถ้าเรียวตะที่อยู่ในวัยที่อยากจะอ้อนพ่อแม่อยู่แล้วตื่นขึ้นมา เขาคงจะงอแงไม่ให้แม่ไปทำงานแน่ๆ พูดตามตรง ฉันเองก็อยากจะงอแงอ้อนแม่บ้างเหมือนกัน แต่ในฐานะพี่สาววัย ม.ปลาย ปี 2 ที่มีน้องชายตัวเล็กๆ ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้
“อืมม ดูแลตัวเองด้วยนะ”
แม่จัดเตรียมของเสร็จอย่างรวดเร็ว แล้วก็ขึ้นแท็กซี่ออกไป ฉันยืนส่งที่หน้าประตูบ้าน แล้วส่งข้อความไปหาซากิเพื่อยกเลิกนัดพรุ่งนี้
ขอโทษนะ พ่อกับแม่ไปทำงานนอกบ้านทั้งคู่ พรุ่งนี้ฉันไปคาเฟ่ไม่ได้แล้วอะ
ฉันส่งข้อความพร้อมกับสติกเกอร์รูปกระต่ายร้องไห้หนักมากจนน้ำตาพุ่งเป็นน้ำพุ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเอฟเฟกต์ “ชิป” ของการส่งข้อความ อารมณ์ของฉันก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
อ้าว! จริงดิ พ่อแม่เธอไปทำงานนานแค่ไหนอะ?
อีก 3 วันพ่อกับแม่ก็จะกลับมาพร้อมกันเลย
งั้นเหรอ…ให้ฉันไปบ้านเธอดีไหม?
ฉันเกือบจะส่ง “อืม” ตอบข้อเสนอของซากิโดยอัตโนมัติ แต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน บ้านของซากิอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านฉัน เมื่อก่อนเธอเคยอยู่ห้องเช่าใกล้ๆ บ้านฉัน แต่ก่อนที่เธอจะขึ้นชั้นมัธยมปลายไม่นาน เธอก็ย้ายไปบ้านใหม่ที่เป็นบ้านเดี่ยว ฉันยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ว่าตอนนั้นฉันร้องไห้โดยไม่รู้ตัวเลย เพราะไม่ชอบที่ซากิจะไปอยู่ที่ไกลๆ ทั้งที่เป็นเรื่องดีมากๆ ที่เพื่อนสนิทได้ย้ายไปบ้านใหม่
ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพ่อแม่กลับมาแล้วค่อยไปเที่ยวด้วยกันนะ?
อายากะโอเคแน่นะ?
อืม! โอเคเลย
ฉันส่งสติกเกอร์รูปกระต่ายชูนิ้วโป้ง แล้วซากิก็ส่งสติกเกอร์รูปหมีทำวงกลมเหนือหัวด้วยแขนทั้งสองข้างกลับมา
“…เฮ้อออ~”
ฉันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา วันหยุดฤดูร้อนปี 2 ของฉันเริ่มต้นขึ้นด้วยความหดหู่ซะงั้น
ช่วงที่พ่อแม่ไม่อยู่ ฉันต้องดูแลงานบ้านให้ดี แต่ว่า…ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะทำเลย ถึงแม้จะทำอาหารให้น้องเรียวตะและเล่นกับเขาบ้าง แต่เรื่องทำความสะอาดนี่ฉันไม่มีแรงจูงใจเลย อาหารที่ทำให้เรียวตะกินก็แค่บะหมี่เย็นหรือแกงกะหรี่สำเร็จรูปเท่านั้น จริงๆ แล้วฉันอยากจะทำอาหารที่มีประโยชน์ให้เขากิน แต่ก็ไม่มีแรงจูงใจ เลยเลือกที่จะทำอะไรที่ง่ายๆ ไปแทน
จริงๆ แล้วฉันอยากจะเจอซากิเดี๋ยวนี้เลย เพื่อบ่นเรื่องรุ่นพี่ไคโตะ แล้วก็ไปคาราโอเกะด้วยกัน ร้องเพลงจนเสียงแหบแห้งเพื่อระบายความอัดอั้น แต่เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้ ฉันเลยใช้เวลาสามวันนั้นท่ามกลางความรู้สึกหงุดหงิดใจ
แล้วในวันที่พ่อแม่กลับมา ฉันก็ต้องกุมขมับ
“อู้ววว…ทำไงดีเนี่ย”
ฉันมองห้องนั่งเล่นที่เริ่มมีฝุ่นเล็กน้อยในช่วงสามวันนี้แล้วถอนหายใจ
ในช่วงสามวันนี้ ฉันไม่ค่อยได้ทำความสะอาดเท่าไหร่ ห้องเลยค่อนข้างสกปรก แถมยังทำอาหารทิ้งไว้ พื้นที่รอบๆ อ่างล้างจานก็สกปรกด้วย ถ้าพ่อแม่กลับมาเห็นสภาพแบบนี้ คงจะโดนดุแน่ๆ อืม…แต่ถ้ามีเวลามานั่งบ่นอยู่แบบนี้ ก็เอาเวลาไปทำความสะอาดดีกว่าไหม? แต่มันก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะทำเลยจริงๆ โชคดีอย่างเดียวคือซักผ้าเรียบร้อยแล้ว เลยไม่กองพะเนิน
“ทำความสะอาด…ทำ…ก็ได้วะ”
ฉันพยายามรวบรวมกำลังใจ แล้วก็เริ่มลงมือทำ โชคดีที่ตอนนี้เรียวตะกำลังเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน ผู้ปกครองของเพื่อนๆ ก็ช่วยดูแลเรียวตะให้ด้วย เลยวางใจได้
“เอาล่ะ! สู้ๆ…สู้ๆ…สู้…อู้ววว ไม่ไหวแล้ว…”
สุดท้ายก็ยังไม่มีแรงจูงใจอยู่ดี
ฉันหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิด SNS
“วิธีหาแรงจูงใจในการทำงานบ้าน…อืมม คนอื่นเขามีวิธีต่างๆ กันไปนะ…อาบน้ำผ่อนคลายเหรอ? แต่ขี้เกียจต้มน้ำจังเลย มีวิธีที่ง่ายกว่านี้ไหมนะ…อืม? นี่อะไรเนี่ย”
ขณะที่ฉันกำลังดู SNS เพื่อหาวิธีสร้างแรงจูงใจในการทำงานบ้าน โพสต์หนึ่งก็สะดุดตาฉันเข้า
“ไม่ต้องฝืนก็ได้ แค่ใช้บริการช่วยงานบ้าน ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย…ว้าว มีบริการแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
ฉันสนใจ เลยรีบเข้าไปค้นหาบริการช่วยงานบ้านบนเว็บไซต์ค้นหา แล้วก็เจอหลายบริษัทที่ให้บริการในพื้นที่ที่ฉันอยู่ ฉันลองเข้าไปดูเว็บไซต์ของบริษัทหนึ่ง
“เอ่อ…ว่าไงนะ ให้บริการช่วยงานบ้านเพื่อให้คุณมีเวลาที่มีค่า…อืมๆๆ ว้าว! ไปซื้อของให้ด้วยเหรอ”
ยิ่งฉันรู้จักบริการช่วยงานบ้านมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่วิเศษสำหรับฉันในตอนนี้มากเท่านั้น
“ปัญหาคือราคา…แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอก มื้อเดียวก็จ่ายได้ด้วยเงินค่าขนม”
เนื่องจากพ่อแม่ทั้งสองคนเป็นเจ้าของบริษัท ค่าขนมของฉันจึงค่อนข้างเยอะกว่าคนทั่วไป พอรู้ตัวอีกที ฉันก็กดจองบริการช่วยงานบ้านไปแล้ว โดยมีรายละเอียดคือคอร์ส 3 ชั่วโมง ทำความสะอาดและทำอาหารเย็น
“จอง…ไปแล้ว”
ฉันที่แทบจะจองบริการช่วยงานบ้านไปด้วยความเผลอไผล มองอีเมลยืนยันการจองพลางรอคนมาให้บริการด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
แล้วพอใกล้จะบ่ายสามโมง คนจากบริการช่วยงานบ้านก็มาถึงบ้านฉัน
ฉันถึงกับตะลึง!
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มาให้บริการช่วยงานบ้านจะเป็นโอสึกิคุง ซึ่งเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แถมยังห้องเดียวกันอีกด้วย
“เอ๋? …ทำไมอะ?”
ฉันหลุดปากพูดคำถามนั้นออกมาพลางเผลอทำท่าป้องกันตัวเองและแสดงความระแวดระวังออกมา
ก็แหงอยู่แล้วล่ะ พอเห็นคนอย่างรุ่นพี่ไคโตะแล้ว การระแวดระวังก็เป็นเรื่องปกติ
ไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นความระแวดระวังของฉันหรือเปล่า โอสึกิคุงก็เสนอว่าจะเปลี่ยนคนดูแลให้ การตอบสนองของเขาทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย โอสึกิคุงปฏิบัติต่อฉันในฐานะลูกค้า ซึ่งฉันไม่รู้สึกถึงเจตนาแอบแฝงใดๆ ในการกระทำนั้นเลย ทันใดนั้น เสียงของซากิก็ดังขึ้นในหัวของฉัน
อืมมม…ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่าโอสึกิคุงเพื่อนร่วมห้องน่ะเหมาะกับอายากะดีนะ
ฉันตัดสินใจให้โอสึกิคุงช่วยงานบ้านต่อ แม้ว่าเขาจะดูตกใจเล็กน้อยก็ตาม
โอสึกิคุงในฐานะพนักงานบริการช่วยงานบ้านนั้นปฏิบัติต่อฉันอย่างซื่อสัตย์มากๆ ระหว่างนั้นก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น คือเรียวตะที่กลับมาจากสวนสาธารณะเข้าใจผิดว่าโอสึกิคุงเป็นโจร แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติต่อเรียวตะอย่างสุภาพโดยไม่แสดงท่าทีไม่พอใจ เรียวตะดูเหมือนจะคุ้นเคยกับโอสึกิคุงด้วยซ้ำ และเรียกเขาว่า “พี่ชาย” ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โดยปกติแล้วเรียวตะค่อนข้างเป็นคนขี้อาย ฉันประทับใจจริงๆ ที่เขาเข้ากับคนอื่นได้เร็วขนาดนี้
แต่ฉันก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเรียวตะถึงสนิทกับเขา อย่างที่ซากิพูด โอสึกิคุงมีท่าทีที่สงบ และเวลาพูด ใบหน้าของเขาก็อ่อนโยน แม้จะเป็นเพราะงาน แต่เขาก็พูดจาสุภาพมาก จนรู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่กว่าคนวัยเดียวกัน
และอีกอย่าง โอสึกิคุงทำงานบ้านเก่งมาก! แน่นอนว่าเขาก็คงจะเก่งแหละถึงได้มาทำงานพาร์ทไทม์เป็นผู้ช่วยงานบ้านแบบนี้ แต่ห้องนั่งเล่นกับห้องอาหารมันสะอาดปิ๊งสุดๆ แถมตอนทำอาหาร เขาก็เหมือนพ่อครัวมืออาชีพเลย ฉันดูเขาทำอาหารแล้วไม่เบื่อเลย
ฉันหลีกเลี่ยงผู้ชายมาตลอด แต่ถ้าเป็นโอสึกิคุง บางทีฉันอาจจะสนิทกับเขาได้ก็ได้
แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่พอได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา ฉันก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอย่างคลุมเครือ ฉันรู้สึกว่าโอสึกิคุงไม่ได้มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกของฉัน แต่จะมองเห็นภายในใจของฉันด้วย เขายังบอกว่าฉันเป็น “พี่สาวที่ดี” ด้วยนะ
เมื่อฉันเริ่มคิดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย หรือจะเรียกว่าเสียดายดี ที่โอสึกิคุงปฏิบัติต่อฉันในฐานะ “ลูกค้า”
หลังจากโอสึกิคุงกลับไปแล้ว
ฉันกับเรียวตะกินแฮมเบิร์กที่เขาทำ มันเป็นแฮมเบิร์กที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่เคยกินมาเลย เรียวตะกินอย่างบ้าคลั่งจนฉันแอบกลัวว่าเขาจะติดคอด้วยซ้ำ ภาพน้องชายที่เบิกตากว้างจนลืมกะพริบ กินแฮมเบิร์กอย่างตะกละตะกลามนั้นออกจะหลอนนิดๆ ด้วยซ้ำ
ความรู้สึกของอายากะต่อฮารุโตะ: ผู้ชายที่งานบ้านเก่งเว่อร์
MANGA DISCUSSION