หลังจากซิงเล่ยประกาศว่าจะเข้าร่วม พวกเราทั้งสี่คนก็ตัดสินใจเริ่มฝึก ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน ด้วยกัน อาจารย์ชิวที่ได้ยินข่าวนี้ก็ดีใจอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนล่ะ เพราะนี่คือวิชาลับที่อาจารย์หยางอวิ๋นเป็นผู้คิดค้น มันกำลังจะถูกนำมาใช้อย่างแท้จริง
วันฝึกถูกกำหนดไว้เป็นสองวันถัดไป
ซึ่งก็คือวันถัดจากที่อาจารย์ชิวจะต้องไปแจ้งเรื่องของเผ่าปอหงให้กับท่านเหลียวหยวน
สถานที่ฝึกคือห้องโถงกว้างในคฤหาสน์ของอาจารย์ชิว ผู้เข้าร่วมมีสี่คน ได้แก่ ข้า ซิงเล่ย ฮวาหยาง และตงหลี่ อาจารย์ชิวจะเป็นผู้ให้คำแนะนำอยู่ด้านนอก เพื่อไม่ให้เราถูกรบกวน
“ก่อนถึงวันนั้น ขอให้พวกเจ้าทั้งสี่สงบจิตใจไว้ให้ดี”
อาจารย์ชิวให้คำแนะนำเช่นนั้น
“อย่ารับข้อมูลเกินความจำเป็น เข้าใจไหม?”
“แต่…อาจารย์จะต้องไปพบกับท่านอ๋องเล็กวันพรุ่งนี้ใช่ไหมขอรับ? เรื่องนั้นข้าก็ยังเป็นห่วงอยู่…”
“จะบอกหลังจบพิธีฝึก ให้สงบใจไว้ก่อน”
“…รับทราบขอรับ”
ข้าจึงนำคำพูดนั้นไปบอกซิงเล่ยกับฮวาหยางด้วย
แต่…การไม่ใส่ใจข้อมูลที่มากเกินก็ไม่ง่ายเลย
ทั้งเรื่องเจียโจวเชว่ หรือ “กลุ่มจินอวี่ปัง” ยังไงข้าก็ยังอดห่วงไม่ได้ แล้วยังเรื่อง “ศาสตร์สี่อสูร ฮุ่นตุ้น” ที่ไม่อาจลืมได้อีก
ข้าเลยกลับมาฝึก “กระบี่ห้าสัตว์เทพ” กับ “ห้าสัตว์เทพก้าวพริบตา”
แม้ข้าจะชนะเจียโจวเชว่ได้ก็จริง แต่ทักษะของข้ายังห่างไกลนัก
ก่อนจะได้พบกับอาจารย์เหลยกวง ข้าไม่อยากให้ถูกว่าเอาแต่นั่งทำจุดฝังเข็มกับฝึกชักนำพลังอย่างเดียวจนลืมฝีมือ
ระหว่างนั้น ซิงเล่ยก็เข้ามาที่ห้อง
เราดื่มชาด้วยกัน ข้าเล่าเรื่องระหว่างเดินทาง ส่วนนางก็เล่าเรื่องตอนที่ข้าไม่อยู่
แล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่…เราก็เริ่มฝึก “ชักนำพลัง” อีกครั้ง
จะว่าไป ก็เหมือนซิงเล่ยนั่นแหละที่พูดว่า “อยากฝึกค่ะ” แล้วเริ่มทำท่าแมว “เนี๊ยว~” ก่อนใครเลย
ข้าก็แค่ทำตาม เพราะอาจารย์ชิวบอกว่า “ให้อยู่สงบๆ จนถึงวันจริง”
และเพราะซิงเล่ยจะสงบลงเมื่อได้ฝึก “ชักนำพลัง” ด้วยกัน
…ว่าแต่ ซิงเล่ยที่ดูเป็นผู้ใหญ่เมื่อวันก่อนนั่น หายไปไหนแล้วนะ?
และแล้ว วันที่เราต้องฝึก ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน ก็มาถึง
เช้านั้น พวกเราสี่คนมารวมตัวที่ห้องโถงใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
ในพิธีลับนี้ เราต้องถอดสิ่งเกินความจำเป็นออกให้หมด
ทั้งเสื้อผ้า และคำพูด
อาจารย์ชิวชี้ตำแหน่งให้เรายืนอย่างเงียบๆ
ข้ายืนหันหน้าไปทางผนังด้านตะวันออก หันหลังให้กลางห้อง
ไม่รู้ว่าอีกสามคนยืนอย่างไร เพราะเราต้องปิดตา
ตรงหน้าข้ามีเสื่อปูอยู่
นั่นคือที่วางเสื้อผ้าที่เราจะถอด
ไม่นานนัก อาจารย์ก็ออกจากห้อง เสียงประตูปิดลงคือสัญญาณเริ่มต้น
ข้าเริ่มถอดเครื่องแต่งกาย
พิธีนี้ต้องมีสี่คน ยืนแทนทิศทั้งสี่ เพื่อเป็นตัวแทนของฟ้าและดิน
ต้องอยู่ในสภาพธรรมชาติมากที่สุด
และการทำเช่นนั้นจะช่วยให้พลัง “ปราณ” ไหลเวียนได้อย่างราบรื่น
…ปัญหาเดียวคือ ต้องถอดหมดเลยไหมเนี่ย?
อาจารย์บอกว่า “ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด”
…สงสัยจะต้องถอดหมดจริงๆ ล่ะ
แต่ถ้าเป็นการฝึกเพื่อเอาชนะ “ศาสตร์สี่อสูร” ข้าก็ยอมได้
เพราะนี่คือวิชาที่ต้องขจัดทุกสิ่งเกินตัวออกไป
ทั้งคำพูด ความวอกแวก เสื้อผ้า
ดังนั้น ข้าจึงถอดทุกอย่าง วางลงบนเสื่อ
อีกสามคนน่าจะยังใส่อะไรบางอย่างอยู่บ้าง…แต่เราทุกคนปิดตาอยู่ น่าจะไม่เป็นไร
ตึง ตึง
เสียงเคาะจากอาจารย์ด้านนอก
แปะแปะ
เราตบมือ เป็นสัญญาณว่า “พร้อมแล้ว”
ตลอดพิธี จะมีเพียงคำพูดจากอาจารย์เท่านั้น
เราห้ามพูด เหมือนต้นไม้ นก สัตว์ป่าที่ไม่เปล่งเสียงพูด เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าและดิน ฝึก “ปราณ” และหลอมรวมกับมัน
“เริ่มได้ ‘ต้นไม้’ ท่าแรก”
เสียงของอาจารย์ดังขึ้น
เราจึงเริ่มต้นฝึก
สูดลมหายใจเข้า “ซู่”
ปล่อยลมหายใจออก “ฟู่”
ทุกครั้งที่หายใจ ร่างกายจะเต็มไปด้วย “ปราณ” อันหนาแน่น
“ปราณ” จากเราทั้งสี่ผสมกันวนอยู่ทั่วห้อง
มันอบอุ่น อ่อนโยน ละมุนละไม
รู้สึกเหมือนร่างกายโปร่งใส
แตกต่างจาก “ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน” ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
แต่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เราฝึกตามเสียงของอาจารย์
“ต้นไม้ ท่าที่หนึ่ง”
“ลิง ท่าที่สี่”
“นก ท่าที่สอง”
รวมทั้งหมดสิบสองท่า
ทุกครั้งที่ขยับร่าง “ปราณ” ในห้องก็สั่นไหว
และรับรู้ได้ว่าอีกสามคนก็กำลังเคลื่อนไหวในตำแหน่งอื่นเช่นกัน
“ปราณ” ไหลผ่านเส้นลมปราณ…หรืออาจลึกถึงระดับเซลล์
พวกเราถูกเชื่อมโยงกันด้วย “ปราณ”
เหมือนอยู่ในสระที่เต็มไปด้วยพลังปราณแทนน้ำ
พอใครขยับ ร่างอีกคนก็รับคลื่นพลัง
คลื่น “ปราณ” วนรอบห้อง จากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง
แม้จะหลับตา แต่ก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน
เหมือนเราทั้งสี่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวกัน
…ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมต้อง “ใกล้เคียงธรรมชาติ”
ผ้าเพียงชั้นเดียวก็อาจขวางการไหลของ “ปราณ” ได้
เราขยับที่ตามสัญญาณของ “ปราณ”
จากตะวันออกไปตะวันตก
จากเหนือไปใต้
ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
จนกระทั่ง…
— มีคนหนึ่งเหยียบลงบนหยดน้ำแล้วลื่น
ข้ารีบยื่นมือไปคว้าตัวไว้ได้ทัน
รู้สึกถึงความนุ่ม ความอบอุ่น และเสียงหัวใจ
นางตั้งหลักได้และเดินต่อ
พิธีก็ดำเนินต่อไป
เรากลายเป็นต้นไม้ ลิง นกอพยพ
รู้สึกถึง “ปราณ” ความร้อน และการมีอยู่ของกันและกัน ท้ายที่สุด…ข้ากลับมาที่จุดเริ่มต้นโดยไม่รู้ตัว
แปะ แปะแปะแปะ
เสียงจบพิธีดังขึ้นจากนอกรั้ว
“เหนื่อยกันมาก เปิดตาแล้วแต่งตัวได้”
ข้าเปิดตา เห็นเสื้อผ้าของตัวเองบนเสื่อ
ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ
แต่ภายในกลับอบอุ่นอย่างประหลาด
ข้ารีบเช็ดเหงื่อและแต่งตัว
ผิวยังรู้สึกจี๊ดๆ อยู่เลย
เพราะเราทั้งสี่สัมผัสกันผ่าน “ปราณ” ตลอดเวลา
ไม่แปลกที่ร่างกายจะยังสะท้านอยู่
ลองตรวจสอบดู…แน่นอน “ปราณ” เต็มเปี่ยม
ข้าควบคุม “พลังเทียนหยวน” ได้อย่างสมบูรณ์
แถมรู้ด้วยว่ามันอยู่ตรงไหนในร่าง
เปลี่ยนคุณสมบัติ “ไม้ ไฟ ดิน ทอง น้ำ” ได้ตามใจ
…นี่มันสุดยอดจริงๆ สมแล้วที่เป็นวิชาลับของอาจารย์หยางอวิ๋น
และเพราะแบบนี้ ตงหลี่ถึงจะหายจากบาดแผลได้
ว่าแต่…คนที่ข้ารับไว้ตอนลื่นล้มนั่น ใครกันแน่นะ?
“เตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
“ค่ะ อาจารย์ชิว”
“…ขะ…ข้าไม่มีปัญหาขอรับ!”
“…………ค่ะ”
“ตะ…ตงหลี่ก็ไม่เป็นไรค่ะ!”
“ดีมาก เช่นนั้นพิธี ‘ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน’ ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
ประตูเปิดออก และอาจารย์ชิวก็เผยใบหน้าออกมาให้เห็น พร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจ
“บาดแผลในเส้นลมปราณของตงหลี่ก็คงจะหายดีแล้ว พลังปราณของพวกเจ้าก็น่าจะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าก่อน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็คงไม่อาจกดพลังของพวกเจ้าลงได้อีก และแม้แต่ ‘สกัดจุดลมปราณ’ ก็สามารถสลายได้ทันที”
““““ขอบพระคุณค่ะ/ขอรับ!””””
“วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ ปล่อยใจให้สงบลงเถอะ พวกเจ้าเหนื่อยมากแล้ว”
ด้วยคำพูดนั้น การฝึกในวันนี้ก็จบลง
“อะ…ขอโทษนะ เสี่ยวหวง”
“เหวอ!?”
เมื่อข้าเรียกชื่อ เสี่ยวหวงก็หันมาทางข้า
คงเพราะเพิ่งเสร็จจากพิธีชักนำกระแสปราณ ใบหูของนางแดงไปถึงใบหน้าทั้งหมด
“มะ…มีอะไรเหรอ มีอะไรเหรอ เทียนฟาง”
“เรื่องพิธีเมื่อกี้น่ะ…”
“ขะ…ขอโทษ! ตอนนี้ไม่ได้จริงๆ! ขะ…ขอโทษ ตอนนี้ข้า…คือ…”
“เสี่ยวหวง?”
“ขะ…ขอกลับก่อนนะ!! ขอโทษนะ––!!”
เสี่ยวหวงรีบวิ่งหนีไปทั้งที่ยังเอามือปิดหน้าตัวเองอยู่
“ถ้าอย่างนั้น พี่ชาย ขอตัวก่อนนะคะ”
“เอ๊ะ? ซิงเล่ย กลับพร้อมกันเถอะ”
“ขอโทษค่ะ พี่ชาย…ข้ากำลังพยายามจะเป็นผู้ใหญ่อยู่”
ซิงเล่ยพูดพลางก้มหน้า ใบหน้าแดงก่ำ
“เพื่อรักษาสติ ข้าคิดว่าวันนี้แยกกันกลับน่าจะดีกว่า ไป๋เยว่น่าจะมารับข้าแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น…”
“อ…อืม เข้าใจแล้ว”
“งั้นเจอกันอีกทีนะคะ พี่ชาย…”
พูดจบ ซิงเล่ยก็เดินจากไป
…ทั้งสองคน ดูผิดปกติแฮะ
ก็แน่ล่ะ พวกเขาเพิ่งจะผ่านพิธีแบบที่ไม่มีอะไรปิดบังร่างกายเลย
…เอาจริงๆ ตอนนี้ข้าเองก็เริ่มรู้สึกอายเหมือนกันแล้ว
“เอ่อ ตงหลี่ เรื่องเมื่อครู่น่ะขอรับ”
“คะ ค่ะ! มะ…มีอะไรเหรอคะ ทะ ท่านเทียนฟาง!?!”
“คือ…ตอนทำพิธีน่ะขอรับ”
“เอ่อ คือ เอ่อ เอ่อ…”
…ตงหลี่ดูลนลานสุดๆ
ทั้งโบกมือ ทั้งส่ายหัวไปมา แล้วมองมาทางข้าพลางว่า
“คะ ค่ะ! จะตอบก็ได้ค่ะ! อะไรเหรอคะ?”
“ตอนอยู่ในพิธีนั้นน่ะขอรับ––”
“ขอโทษนะ เทียนฟาง ขอคุยทีหลังได้ไหม?”
อาจารย์ชิวพูดขึ้นมากะทันหัน
“ข้าต้องตรวจสอบสภาพเส้นลมปราณของตงหลี่ก่อนน่ะ…แต่ก่อนจะทำ ข้าไม่อยากให้นางเกิดความปั่นป่วน”
“…ขอรับ เข้าใจแล้ว”
พิธี ‘ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน’ นี้ก็เพื่อรักษาตงหลี่ด้วยเหมือนกัน
หลังจากเสร็จพิธี ก็ต้องตรวจสอบเส้นลมปราณของนาง
“เข้าใจแล้วขอรับ งั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”
“ขอบคุณมาก เทียนฟาง ข้ารู้สึกขอบคุณจากใจเลย”
“ข้าเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์เสมอขอรับ”
“เจอกันใหม่ในวันหลังนะคะ ท่านเทียนฟาง”
“ขอตัวก่อนนะขอรับ ท่านตงหลี่”
แล้วข้าก็กลับบ้านคนเดียว
“คุณหนูซิงเล่ยแจ้งมาว่าวันนี้จะไม่ทานอาหารเย็นค่ะ”
พอกลับถึงบ้าน ไป๋เยว่ก็พูดแบบนั้น
“นางบอกว่ารู้สึกว่าหัวใจไม่สงบ และฝากขอโทษคุณชายฟางไว้ด้วยค่ะ”
“ไม่เห็นต้องขอโทษข้าเลยนี่…?”
“นางบอกว่า ‘พรุ่งนี้คงจะกล้าพอจะออกมาเจอพี่ชายแล้วค่ะ’ ค่ะ”
“…อืม งั้นเดี๋ยวข้าจะเป็นคนบอกท่านแม่เองก็แล้วกัน”
สำหรับคนขี้อายอย่างซิงเล่ย พิธีนี้อาจจะหนักเกินไปก็ได้
วันนี้…ปล่อยนางไว้แบบนั้นก่อนเถอะ
แต่ถึงอย่างนั้น…ข้าก็ยังสงสัยไม่หาย
สัมผัสอุ่นๆ กับจังหวะหัวใจที่ข้ารู้สึกได้ตอนนั้น––ตกลงมันเป็นของใครกันแน่?
หรือว่าบางที…ควรจะปล่อยให้มันเป็นปริศนาแบบนี้แหละดีแล้ว
ซิงเล่ยก็แปลก เสี่ยวหวงก็แปลก ตงหลี่ก็ด้วย
บางที ควรรอให้ทุกคนสงบใจก่อน ค่อยพูดเรื่องนี้ทีหลังก็ได้
…ทั้งที่จริงๆ ข้าอยากรู้ใจจะขาดเลยแท้ๆ
ขณะที่ข้านั่งเหม่อคิดเรื่องพวกนั้นอยู่––
“คุณชายฟางคะ! เรื่องใหญ่แล้วค่ะ! มีทูตจากวังหลวงมาขอพบค่ะ!”
ไป๋เยว่รีบพรวดพราดเข้ามาในห้องข้า
ข้ารีบตรงไปยังประตูใหญ่ของบ้าน
ที่นั่น มีทหารคนหนึ่งยืนรออยู่
ข้ารู้สึกคุ้นหน้าคนนั้นอยู่
ใช่แล้ว…ตอนที่ข้าเดินทางไปทางเหนือกับเสี่ยวหวง
ในหมู่ทหารที่อยู่กับท่านพี่ไห่เหลียง ก็น่าจะมีคนคนนี้อยู่ด้วย
“ขอประทานโทษ ท่านคือท่านหวงเทียนฟาง ใช่หรือไม่ขอรับ?”
ทหารหนุ่มทำท่าคำนับให้ข้า
“ข้าชื่อ ฟ่านกุ่ย เป็นหนึ่งในหน่วย ‘กองหมาป่า’ ที่ขึ้นตรงต่อองค์รัชทายาท”
“ขอบคุณที่มาถึงที่นี่ ข้าชื่อหวงเทียนฟางขอรับ”
ว่าแล้วเชียว…เป็นคนของ ‘กองหมาป่า’ จริงๆ ด้วย
แต่ทำไมคนขององค์รัชทายาทถึงมาหาข้ากัน?
“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบทูตขององค์รัชทายาทขอรับ”
“ขอบคุณมากขอรับ ที่จริงแล้ว ข้ามีสารจากองค์รัชทายาทหลางเหยียนที่จะฝากถึงท่านหวงเทียนฟาง”
“จากองค์รัชทายาท?”
“ขอรับ ‘ข้าต้องการฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่หมู่บ้านเผ่าปอหง กรุณามายังวังหลวงในวันที่กำหนดไว้ หากสามารถ’ นั่นคือความประสงค์ขององค์รัชทายาท”
“ให้ข้าเป็นคนรายงานเองหรือขอรับ? ไม่ขัดข้องนะขอรับ แต่ว่า…ข้าเป็นเพียงสามัญชนที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ เลยนะขอรับ?”
“ทราบขอรับ พระองค์ก็ทรงรับรู้เรื่องนี้ดี จึงให้ท่านไปในฐานะ ‘ผู้ช่วยในการรายงาน’ เท่านั้น ทั้งนี้ ในที่ประชุมจะมีท่านอ๋องเล็ก และท่านซวนชิวยี่อยู่ด้วย องค์รัชทายาทมีรับสั่งเฉพาะเจาะจงให้เชิญท่านไปร่วมด้วยตนเอง”
“นี่เป็นคำเชิญ? ไม่ใช่คำสั่ง?”
“นั่นคือเจตนารมณ์ขององค์รัชทายาทขอรับ”
ชายหนุ่มนามฟ่านกุ่ยจากกองหมาป่าก้มศีรษะให้อีกครั้ง
“ขอรับคำตอบก่อนเช้าวันที่กำหนดก็พอ หวังว่าจะได้รับคำตอบที่ดีจากท่าน หวงเทียนฟาง”
MANGA DISCUSSION