— มุมมองของ เทียนฟาง —
“เหมียว~”
คัมภีร์ที่ข้าซื้อมาถือว่าถูกต้อง
ในนั้นกล่าวถึงวิธี ‘ลอกเลียนร่างสี่สัตว์ ดึงพลังฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงกาย’
สัตว์ทั้งสี่ที่ว่าคือ งู แมว ไก่ และเต่า
นอกจากนี้ ยังบรรยายท่าทางที่ถูกต้อง วิธีหายใจ และแนวทางนำพลังปราณเข้าสู่ร่างไว้อย่างละเอียดด้วย
นี่คือคัมภีร์วิชายุทธ์ สัตตเทวชักนำพลัง ไม่ผิดแน่
แม้ตัวอักษรจะเยิ่นเย้อและดูซับซ้อน แต่นั่นอาจเป็นเพราะวิชายังไม่ถูกปรับปรุงให้สมบูรณ์ก็เป็นได้
เกมยังไม่เริ่มในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า
บางทีพอถึงตอนนั้น อาจมีผู้คิดค้นยุทธ์และเคล็ดลับใหม่ ๆ เพื่อโค่น ‘หวงเทียนฟาง’ ก็เป็นได้
แต่เดี๋ยวก่อน— นี่ข้าถูกเกลียดขนาดนั้นเลยเรอะ?
ปัญหาคือ… แค่มีคัมภีร์ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้เลย ที่นี่ไม่ใช่ในเกม การฝึกฝนในโลกนี้ต้องปฏิบัตรจริง
ข้าจึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องฝึกมันด้วยการกระทำจริง
“นอนคว่ำ วางมือทั้งสองแนบพื้นหรือเตียง เหยียดหลังให้ตรง หายใจเข้าลึก ๆ แล้วร้อง— ‘เหมียว~'”
นี่คือท่าหนึ่งของสัตตเทวชักนำพลัง ในการเลียนแบบท่าทางของแมวยืดตัว หายใจให้ลึก เพื่อปลุกพลังปราณ
ว่ากันว่า หากฝึกจนเชี่ยวชาญ จะสามารถซึมซับพลังแห่งความอ่อนช้อยและความคล่องแคล่วของแมวได้
…อืม รู้สึกได้เลยว่าเส้นพลังปราณภายในร่างเริ่มไหลเวียนดีขึ้นแล้ว
แต่ของพวกนี้มันต้องใช้เวลา ไม่ใช่แค่ฝึกวันสองวันแล้วเห็นผล ดีแล้วที่ข้าเริ่มแต่เนิ่น ๆ
ถ้าฝึกสำเร็จ ข้าจะสามารถใช้วิชา สี่จตุรเทพก้าวพริบตา เพื่อหนีออกจากสถานการณ์เลวร้ายได้
แต่ที่สำคัญที่สุด ข้าต้องปกป้องซิงเล่ยจากการถูกส่งเข้าวังหลังเสียก่อน
แม้จะเลี่ยงไม่ได้ แล้วสุดท้ายนางจะต้องเข้าไปอยู่ในนั้น อย่างน้อยข้าก็จะไม่ยอมให้เธอกลายเป็น ‘นางแพศยา’ ตามเส้นทางในเกมแน่
ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของนางให้ได้
เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อครู่… โชคดีที่พ่อค้าใจอ่อนยอมให้ข้าต่อรอง
ข้าใช้วิธีซื้อคัมภีร์วิชายุทธ์พร้อมกับปิ่นปักผมแล้วขอส่วนลด
แม้ว่าจะยังขาดเงินอยู่นิดหน่อย แต่ข้าก็ใช้โอกาสนั้นเสนอให้ช่วยเขียนชื่อสินค้าบนพื้น
โลกนี้ยังมีคนมากมายที่อ่านออกแต่เขียนไม่ได้ พ่อค้าคนนั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น
ข้าจึงก้มลงใช้กิ่งไม้เขียนชื่อสินค้าที่เรียงรายบนพื้น แล้วกล่าวกับเขาว่า—
“หากเขียนรายชื่อสินค้าไว้ข้าง ๆ ผู้คนก็จะรู้ว่าท่านขายอะไร ยอดขายย่อมดีขึ้น ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
สุดท้ายพ่อค้าก็ตอบตกลง และลดราคาสินค้าลงจนข้าสามารถซื้อได้ทั้งสองอย่าง
…นับว่าเป็นโชคดี ที่ข้ามีลายมือสวย
ปิ่นปักผมนั้น ข้าฝากไป๋เย่ให้ไปส่งถึงมือของซิงเล่ยแล้ว
แม้ข้าจะไม่คาดหวังว่านางจะยอมรับข้าในทันที แต่ก็หวังให้ของขวัญชิ้นนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ต่อจากนี้ไป ข้าต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้ได้มากที่สุด
“เหมียว… เหมียว~”
แต่ให้ตายเถอะ! ทำไมวิชานี้ต้องทำให้ข้าเลียนแบบแมวขนาดนี้! น่าอายจริง ๆ!
ข้าดีใจที่ได้ตำรามาจนเริ่มฝึกเลยก็จริง แต่ควรจะเลือกเวลาฝึกให้ดีกว่านี้!
คราวหน้าข้าจะฝึกเฉพาะตอนดึกหรือตอนเช้ามืดเท่านั้น เพื่อไม่ให้มีใครเห็น โดยเฉพาะซิงเล่ย ถ้านางเห็นล่ะก็—
“เหมียว! เหมียว~”
“…ท่านเทียนฟาง?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตู ข้าเบิกตากว้างและหันไปดู ขณะยังอยู่ในท่าฝึก ซิงเล่ยยืนอยู่ตรงนั้น
นางจ้องข้าด้วยแววตาตกตะลึง
เส้นผมสีเงินของเธอถูกรวบไว้ด้วยปิ่นที่ข้าให้
ดีใจที่นางยอมใส่มันจัง
แต่ปัญหาคือ…
น้องสาวบุญธรรมของข้าเห็นข้ากำลังทำตัวเหมือนแมว…!? ถ้านางรับไม่ได้แล้วออกจากบ้านสกุลหวงไปล่ะ!? ทำยังไงดี!?
“อะ…เอ่อ ซิงเหลียน นี่มัน…”
“…ท่านเทียนฟาง คล้ายเฮยเม่ามากเลย…”
“หา?”
“น่ารักจัง”
…ว่าไงนะ?
ทำไมแววตาของนางดูเปล่งประกายเช่นนั้น?
ที่แท้มือนางสั่นเพราะกำลังอดกลั้นความอยากจะเข้ามาข้างในนี่เอง—
“เหมียว…. เฮยเม่า… ท่านเทียนฟาง…”
“ซิงเล่ย? เฮยเม่านี่คืออะไรเหรอ?”
“แมวของข้า… เป็นแมวที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้า…”
…อ้อ นางรักสัตว์นี่นะ เพราะข้าทำท่าทางเหมือนแมว นางเลยนึกถึงสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
“ท่านเทียนฟาง ข้า… ขอเข้าไปได้หรือไม่?”
“…เข้ามาสิ”
“อื้ม!”
ซิงเล่ยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เหมือนนางอดใจไม่อยู่แล้ว นางพุ่งตัวเข้ามาในห้อง ดวงตาทอประกาย
ข้าที่ยังอยู่ในท่าแมว ได้แต่มองนางด้วยความสงสัย
“เชิญทำต่อเถิด”
“…หา?”
“ข้าอยากดูต่อ”
“ซิงเล่ย…?”
“เหมียว~ เหมียว!”
…เดี๋ยวก่อน!? ทำไมนางถึงเลียนแบบแมวใส่ข้า? ทำไมถึงขยับมือไปมาเหมือนอุ้งมือแมวด้วย?
…จะให้ข้าฝึกท่าแมวต่อหน้าซิงเล่ยต่อนี่มันก็….
แต่ก็เอาเถอะ… ช่วยไม่ได้!
“เหมียว เหมียว เหมียว!”
“ว้าว!”
ซิงเล่ยหัวเราะอย่างเริงร่า
ในเรื่อง พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ หลิวซิงเล่ย ถูกพรรณนาว่าเป็น “หญิงงามผู้ไม่เคยยิ้ม”
แต่ถ้าการฝึกวิชานี้ทำให้นางยิ้มได้ ข้าก็ยอมรับชะตากรรมนี้ก็แล้วกัน…
“เหมียว เหมียว เหมียว!”
ข้าเปลี่ยนเป็นท่า แมวไล่ตะครุบ ใน สัตตเทวชักนำพลัง แล้วตะครุบใส่หมอนเหมือนเป็นดั่งลูกไหมพรม
แล้ว──
“เฮยเม่า….”
นางวางมือบนหลังข้า
“…อือ ไม่สิ ท่านเทียนฟาง… ขอบคุณค่ะ”
“ซิงเล่ย…?”
“ขอบคุณที่ใส่ใจข้ายามรับประทานอาหาร ขอบคุณที่นำชา ขนม และหนังสือมาให้ ขอบคุณสำหรับปิ่นปักผม… ขอบคุณที่แสร้งทำเป็นแมว… ขอบคุณที่คิดถึงข้าถึงเพียงนี้”
“คือว่า… นี่เป็นเพียงกระบวนท่าฝึกพลั—”
“ถึงอย่างนั้น… ข้าก็ยังรู้สึกดีใจ”
ซิงเล่ยกล่าวพลางลูบหลังข้า เส้นผมสีเงินพลิ้วไหวเล็กน้อย ปิ่นปักผมลวดลาย ‘เซวี่ยเหยียนฮวา’ สีชมพูอ่อนยิ่งขับให้นางดูงดงามยิ่งขึ้น
นางเผยรอยยิ้มปนหยาดน้ำตา ขณะที่ยังคงลูบแผ่นหลังข้าอย่างแผ่วเบา
“…ข้า… อยากเป็นครอบครัวของท่าน… เทียนฟาง”
“อืม ก็ซิงเล่ยคือ ‘น้องสาว’ ของข้านี่”
“…ขอบคุณค่ะ”
“ว่าแต่”
“…อะไรเหรอคะ?”
“จะให้อยู่ในท่าทางเช่นแมวมาตลอดเช่นนี้ ข้าก็มีแต่จะรู้สึกเขินอาย”
“…ข้าขอดูต่ออีกสักหน่อยไม่ได้เหรอคะ?”
“…ถ้าให้ข้าเป็นฝ่ายเดียวที่รู้สึกอาย เช่นนั้นมันก็ไม่ยุติธรรม”
ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“ซิงเล่ย เจ้าสนใจลองฝึกกระบวนท่าฝึกพลังปราณรูปแบบแมวดูหรือไม่?”
“ท่านจะสอนข้าเหรอคะ?”
“หากเป็นความต้องการของน้องสาว ข้าย่อมสอนให้แน่นอน”
“ค่ะ ข้าขอฝากตัวด้วย”
ข้ากับซิงหลิงสบตากันก่อนจะยิ้ม แล้วเริ่มฝึกสัตตเทวชักนำพลังร่วมกัน
— หลังจากนั้น มุมมองของไป๋เย่ ผู้ติดตาม—
“นายหญิง ขอรบกวนสักครู่ค่ะ”
“หืม ไป๋เย่? มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“เป็นเรื่องของคุณชายฟางและคุณหนูซิงเล่ยค่ะ”
“เทียนฟางกับซิงเล่ยงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ขณะนี้คุณหนูซิงเล่ยอยู่ที่ห้องของคุณชายฟาง…”
“นางอยู่ที่นั่นเหรอ? เช่นนั้นแสดงว่าทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันแล้วสินะ?”
“ชะ… ใช่เจ้าค่ะ พวกเขากำลัง… สนิทสนมกันอยู่”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว พวกเขาทำอะไรอยู่เหรอ?”
“พวกเขากำลังขดตัวอยู่บนพื้น… และร้อง ‘เหมียว~ เหมียว~’ กันค่ะ”
“…ข้าคงฟังผิดไปเสียละมั้ง?”
“ทั้งสองขดตัวอยู่บนพื้นและร้องเหมียว ๆ อยู่ค่ะ”
“…ไม่ใช่ว่าเจ้าหูฝาดไปเหรอ?”
“เหมียว ๆ ค่ะ”
“เหมียว ๆ เหรอ?”
ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างไป๋เย่และฮูหยินอวี้ซื่อ
ก่อนหน้านี้ นางได้เห็นซิงเล่ยรีบร้อนออกจากห้องและมุ่งไปยังห้องของเทียนฟาง นางจึงแอบติดตามไป
แต่เมื่อนางแอบมองผ่านช่องประตู นางกลับพบว่า… เทียนฟางและซิงเล่ยกำลังเลียนแบบท่าทางของแมว และตีหมอนราวกับเป็นลูกไหมพรม
“…มิใช่เพียงแค่นั้นค่ะ”
“ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ?”
“คุณชายฟางและคุณหนูซิงเล่ย… พวกเขายังเลียนแบบไก่กันอีกด้วยค่ะ”
“…กุ๊ก ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
“กุ๊ก ๆ ค่ะ”
“เรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
“คุณชายฟางได้เสาะหาคัมภีร์ฝึกฝนพลังปราณในตลาดมาหลายวัน ข้าคาดว่าคงเกี่ยวข้องกันกับเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้น… ลูกขุนพลผู้ยิ่งใหญ่กับบุตรบุญธรรมของสกุลหวง กลับกำลังเลียนแบบแมวและไก่อยู่ร่วมกัน… มันช่างน่าพิศวงยิ่งนัก”
ไป๋เย่จ้องมองไปยังฮูหยินอวี้ซื่อก่อนเอ่ยถามว่า
“นายหญิง… จะให้ข้าทำอย่างไรดีคะ?”
“พวกเขาสนิทสนมกันแล้วสินะ?”
“สนิทสนมกันถึงขั้นร้องเหมียว ๆ กุ๊ก ๆ ไปพร้อมกันแล้วค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วมิใช่เหรอ?”
ฮูหยินอวี้ซื่อยิ้มขณะยังคงถักทอไหมในมือ
“เทียนฟางได้เปิดประตูภายในใจของซิงเล่ยแล้ว ปล่อยให้เด็กสองคนนั้นจัดการกันเองเถอะ”
“ปล่อยไปเช่นนั้นไม่เป็นไรแน่เหรอคะ?”
“ข้าเคยได้ยินมาว่า ซิงเล่ยไม่เคยมีเพื่อนวัยเดียวกันเลยที่เมืองเก่าของนาง”
ซิงเล่ยถูกมองว่าแตกต่าง ทำให้ผู้คนเมินเฉย แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังเป็นเช่นนั้น
การที่เด็กคนหนึ่งต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวตั้งแต่เล็ก ย่อมสามารถคาดเดาได้ว่าผู้คนรอบตัวจะปฏิบัติต่อนางเช่นไร
“และตอนนี้ นางได้เปิดใจให้เทียนฟางแล้ว เราไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย”
“หากเป็นเช่นนั้น…”
“เทียนฟางนี่ช่างเก่งกาจนัก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นค่ะ”
“เจ้าหนูนั่นยอมใช้เงินเก็บของตนเองเพื่อซื้อปิ่นปักผมให้ซิงเล่ย กระทั่งคัมภีร์ฝึกพลังก็เช่นกัน… แม้จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อตัวเขาก็จริง แต่เขาก็เชื่อมั่นและลงมือทำทันที มันช่างเป็นความกล้าหาญที่หาได้ยากนัก”
“คุณชายฟางยังต่อรองราคากับพ่อค้าเพื่อให้ได้ทั้งปิ่นปักผมและคัมภีร์ในราคาที่เขาจ่ายไหวด้วยค่ะ”
“ปิ่นปักผมนั้นมีราคาเท่าไหร่กันเหรอ ไป๋เย่?”
ฮูหยินอวี้ซื่อยิ้มพลางกล่าวว่า
“ข้าจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง ยังไงข้าก็เป็นคนขอให้เทียนฟางดูแลซิงเล่ยทั้งที”
“ข้าจะไปแจ้งคุณชายฟางให้ค่ะ”
“อีกอย่าง นำชาและขนมไปให้พวกเขาด้วย”
การฝึกฝนพลังปราณนั้นไม่ต่างจากการฝึกวิชายุทธ์ หากทำอย่างจริงจังย่อมเหนื่อยล้าและทำให้ท้องหิวได้
“เทียนฟางและซิงเล่ยล้วนพยายามอย่างหนัก นำของกินที่ช่วยให้อิ่มท้องไปให้พวกเขาด้วยเถอะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ นายหญิง”
หลังจากออกจากห้องของฮูหยินอวี้ซื่อ ไป๋เย่จึงตรงไปยังห้องครัว นำขนมอบและชา ก่อนมุ่งหน้าไปยังห้องของเทียนฟาง
เมื่อนางเรียกพวกเขาแล้วไม่มีเสียงตอบ ไบ๋เย่จึงเปิดประตูเข้าไป และพบว่า—
“…อ่า…”
เทียนฟางและซิงเล่ยงกำลังนอนอยู่บนพื้น
ไป๋เย่ตั้งใจจะพาพวกเขาขึ้นไปนอนบนเตียง แต่เมื่อเห็นทั้งสองจับมือกันแน่น นางก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเอ็นดู
หลังจากห่มผ้าให้พวกเขาแล้ว เธอจึงออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ เพื่อไม่ให้รบกวนการหลับของทั้งสอง
MANGA DISCUSSION