“…ที่นี่คือวังหลวงสินะ”
“อาคารใหญ่จังเลยนะคะ…”
.
ข้ากับซิงเล่ยเดินทางมายังวังหลวงด้วยรถม้า
วังหลวงแห่งแคว้นหลานเหอ มีประตูอยู่สามชั้น
คือประตูชั้นนอก ชั้นกลาง และประตูชั้นในซึ่งนำไปสู่เขตสำคัญของวัง
เมื่อผ่านประตูชั้นนอกมาแล้ว ข้ากับซิงเล่ยก็ลงจากรถม้า
จอดไว้ในจุดที่จัดเตรียมไว้ แล้วเริ่มเดินไปตามทางหินกรุ
เมื่อเดินขึ้นบันไดหินยาวเบื้องหน้าไป จะเจอกับประตูชั้นกลางที่มีทหารคอยเฝ้าอยู่
สถานที่จัดงานในวันนี้อยู่เลยประตูชั้นกลางเข้าไปเพียงเล็กน้อย
ส่วนประตูชั้นในนั้น ยังไม่ใช่ที่ที่เราจะไปในครั้งนี้
เพราะหลังประตูนั้นคือใจกลางของวังหลวง
มีทั้งท้องพระโรง ที่ประทับของกษัตริย์ และเขตตำหนักใน
…ที่ซึ่งข้าไม่จำเป็นต้องไป และถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากข้องแวะด้วยตลอดไป
.
เราเดินตามข้าราชการพลเรือน ไปตามทางเดินที่ขนาบด้วยสวน
เดินไปไม่นานก็เห็นอาคารหลังใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ที่นั่นเป็นอาคารสำหรับครอบครัวและผู้ติดตามค่ะ” ไป๋เย่เอ่ยบอก
นางเคยมาวังหลวงในฐานะผู้ติดตามของท่านพ่อมาก่อน
“…งั้นไว้เจอกันนะ พี่ชาย”
“เรื่องของคุณหนูซิงเล่ย โปรดมอบไว้ให้ข้าดูแลเถิด”
ที่หน้าห้องรับรองของครอบครัวและผู้ติดตาม ข้าแยกกับทั้งสองคน
จากตรงนี้ไป ข้าต้องเดินคนเดียว
ข้าเดินตามข้าราชการไปตามทางเดินเชื่อมอาคาร
.
หวงเทียนฟางแห่ง พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ ก็คงเคยมายังสถานที่นี้เช่นกัน
ระหว่างเดินผ่านทางเดินที่รายล้อมด้วยหมู่บุปผา เขาคิดอะไรอยู่กันนะ
…เขาคิดถึงอำนาจ? หรือว่าคิดถึงแผ่นดิน?
อีกสิบปีให้หลัง สวนแห่งนี้จะถูกเหยียบย่ำโดยเหล่าวีรชน
ในเกม ข้าเองก็เคยนำพาวีรชน บุกเข้าวังหลวงจากประตูชั้นนอก
เริ่มจากการบุกทะลวงประตูชั้นนอก ชิงประตูชั้นกลาง
ผ่านประตูชั้นใน แล้วเข้าถึงตัววังหลวง
…เป็นไคลแม็กซ์ของเกมเลยล่ะ
.
ตอนที่หวงเทียนฟางในเกมถูกเหล่าวีรชนจับกุม เขาพูดบางอย่างออกมา
แต่บทพูดไม่ได้แสดงขึ้นมาเลย
มีเพียงประโยคเดียวที่ปรากฏ…
“…พวกกบฏ”
ถ้อยคำที่เคยปรากฏในความฝันของข้า ไม่ได้แสดงขึ้นในเกมเลย
ถ้า…หวงเทียนฟางในเกมไม่ใช่คนเลวอย่างที่ใครว่า
หากเขามีเหตุผลเบื้องหลังในการใช้อำนาจนั้น…มันคืออะไรกันแน่?
ถ้าข้าเข้าใจเหตุผลนั้นได้ การหลีกเลี่ยง “ฉากจบหายนะของหวงเทียนฟาง”
ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
.
“──หวงเทียนฟาง เชิญท่านทางนี้”
ข้าราชการพลเรือนกล่าวขึ้นหน้าอาคารหลังใหญ่
เสาที่นี่ย้อมด้วยชาด พร้อมประดับลวดลายทอง
เพดานสูงหลายเมตร ด้านบนมีหน้าต่างรับแสง
ขึ้นบันไดเพียงไม่กี่ขั้น ก็เข้าสู่ห้องโถงใหญ่
ภายในจัดเตรียมงานเลี้ยงไว้เรียบร้อยแล้ว
เก้าอี้แทบทุกตัวมีคนจับจอง
ขุนนางในชุดคลุมเต็มยศนั่งกันเรียงราย
…แต่ข้าไม่เห็นใครที่จำได้เลยสักคน
ถึงอย่างนั้นก็ไม่แปลกหรอก
เพราะภาพคนที่ข้าจำได้คือรูปลักษณ์จาก พงศาวดารตำนานจอมกระบี่
เป็นแยบสิบปีให้หลัง แถมหลายคนก็มีสภาพทรุดโทรมเพราะราชวงศ์ใกล้ล่มสลาย
จะให้ข้าจำได้จากรูปลักษณ์ตอนนี้ก็ยากอยู่
.
“ท่านหวงเทียนฟาง บุตรแห่งแม่ทัพพยัคฆ์เวหา เชิญทางนี้”
“…หา?”
ข้าถูกนำไปยังที่นั่งด้านในสุดของห้องโถง
มีทางเดินแบ่งตรงกลาง ซ้ายขวามีที่นั่งเรียงราย
ด้านหน้าสุดของทางเดินยกระดับขึ้นเล็กน้อย
มีเก้าอี้ประดับทองวางอยู่ตรงนั้น
…นั่นคงเป็นที่ขององค์รัชทายาท หลางเหยียน
และที่นั่งของข้าก็อยู่ใกล้ที่นั่น
จากหลังสุดนับขึ้นมาเพียงไม่กี่ที่
หากพูดตามตำแหน่งที่นั่งก็ถือว่า ใกล้หัวโต๊ะมาก
“นี่ไม่ผิดพลาดเหรอขอรับ?”
ข้าหันไปถามข้าราชการ
“ข้าเป็นเพียงคนไร้ตำแหน่ง จะให้นั่งใกล้ท่านรัชทายาทแบบนี้…”
“ไม่ผิดพลาดแน่นอนขอรับ”
ข้าราชการโค้งศีรษะเล็กน้อย
“นี่เป็นพระบัญชาจากองค์รัชทายาทเอง ให้เชิญท่านมานั่ง ณ ที่แห่งนี้”
“จาก…องค์รัชทายาท?”
“ท่านหวงเทียนฟางมาที่นี่ในฐานะตัวแทนของท่านหวงอิ๋งเซิน แม่ทัพพยัคฆ์เวหา และท่านหวงไห่เหลียง สหายขององค์รัชทายาท การจัดหาที่นั่งที่เหมาะสมก็ย่อมเป็นธรรมดา”
“…งั้นหรือขอรับ”
ถ้าเป็นเช่นนั้น การปฏิเสธต่อไปก็คงเสียมารยาท
ข้าจึงตัดสินใจนั่งลง
.
ข้านั่งลงและจิบชา ฟังเสียงสนทนาโดยรอบ
เรื่องในแคว้น เรื่องชายแดนเหนือ เรื่องผลผลิตปีนี้
ตำแหน่งขุนนาง เรื่องต่างแคว้น และองค์รัชทายาทที่ยังมาไม่ถึง
บรรยากาศโดยรวมสงบนิ่ง
ไม่มีวี่แววของภัยพิบัติ หรือความวุ่นวายใดๆ
…โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
บางครั้งก็ได้ยินเสียงคนพูดถึงข้าบ้าง
…ก็แน่ล่ะ ที่นั่งของข้ามันโดดเด่นเสียขนาดนี้
ระหว่างที่ข้ากำลังตั้งใจฟังอยู่นั้น──
“──องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหลานเหอ องค์ชายหลางเหยียน เสด็จมาถึงแล้ว”
เสียงประกาศก้องกังวาน
ผู้คนหันไปตามเสียงและส่งเสียงทักทายกันทั่ว
องค์ชายหลางเหยียนมาด้วยฉลองพระองค์เต็มยศรัชทายาท
ชุดคลุมปักลวดลายซับซ้อน สวมมงกุฎ และประดับหยกที่เอว
ทุกคนลุกขึ้นพร้อมเพรียงและคำนับ
ข้าก็ลุกขึ้นตาม
เงยหน้าขึ้นมาอีกที เราก็สบตากัน
…สีหน้าขององค์ชายหลางเหยียนในยามนี้
ไม่ใช่ท่าทีมั่นใจแบบก่อนหน้า
แต่ดูเก้อเขินและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
…ทั้งที่เป็นคนเชิญข้ามากับมือแท้ ๆ
.
เคียงข้างองค์รัชทายาท มีชายรูปร่างสูงสง่า ดูอายุราวยี่สิบ
ข้าจำหน้าเขาได้
เขาคือตัวละครจากต้นเกมใน พงศาวดารตำนานจอมกระบี่
ชื่อว่า จ้าวเซ็กหมิง แม่ทัพที่คุมกองทัพขององค์ชายหลางเหยียน
มีความสามารถเหนือกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย
อยู่ฝ่ายราชสำนักที่คอยต้านทานเหล่าวีรชนในช่วงเริ่มเกม
ถ้าจำไม่ผิด…เขาเป็นน้องชายของมารดาองค์รัชทายาท
หรือก็คือ “ญาติฝ่ายภรรยา” ที่มีอิทธิพลในราชสำนัก
ดังนั้นจึงอยู่เคียงข้างองค์ชายตั้งแต่สิบปีก่อนเกมเริ่ม
.
“ขอให้องค์ชายทรงพระเกษมสำราญ”
เมื่อองค์ชายหลางเหยียนประทับนั่ง งานเลี้ยงจึงเริ่มต้น
เหล่าขุนนางเริ่มทยอยถวายคำนับ
…แน่นอนว่าข้าไม่สามารถถวายคำนับตรงๆ ได้
ได้แต่ก้มหน้าอยู่เงียบๆ
แม้ว่าข้ามาที่นี่ในฐานะตัวแทนของท่านพ่อ
แต่ก็ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีราชการ
เป็นเพียงบุตรของแม่ทัพพยัคฆ์เวหา
และศิษย์ของแขกบ้านแขกเมืององค์อนุชาเหลียวหยวนเท่านั้น
ไม่มีสิทธิ์ยืนเบื้องหน้ารัชทายาทในงานพิธีแบบนี้
ข้าจึงไม่คิดว่าตัวเองจะถูกเรียกชื่อ…แต่──
“──หวงเทียนฟาง บุตรแห่งแม่ทัพพยัคฆ์เวหา ขอเชิญข้างหน้า”
…โดยไม่ทันตั้งตัว ข้าราชการก็เรียกชื่อข้าขึ้นมา
ข้าเงยหน้าขึ้น ก็เห็นองค์ชายหลางเหยียนจ้องมองข้าอยู่
ข้ารีบก้มศีรษะ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? ข้าเรียกเจ้าอยู่นะ มาเถิด”
เมื่อข้ายังคงก้มหน้า เสียงขององค์ชายก็ดังขึ้น
“ขออภัยอย่างสูงขอรับ”
ข้ายังไม่เงยหน้า ตอบกลับไปว่า
“ข้าเป็นเพียงผู้ไร้ตำแหน่ง ไม่อาจถวายบังคมได้…”
“ไม่เป็นไร มาเถิด”
“ข้ารู้จักประมาณตน”
“อย่าได้ปฏิเสธมากไปกว่านี้เลย นั่นถือว่าเสียมารยาท”
“…ทรงพระกรุณา”
ข้าจึงเดินออกไปข้างหน้า
เบื้องหน้าคือองค์ชายหลางเหยียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
ข้างๆ คือจ้าวเซ็กหมิง
ข้าทำความเคารพตามธรรมเนียม ก่อนจะคุกเข่าลง
“แม่ทัพขี่อาชา จ้าวเซ็กหมิง ขอแจ้งต่อหวงเทียนฟาง”
…แม่ทัพขี่อาชา
แสดงว่าช่วงเวลานี้จ้าวเซ็กหมิงดำรงตำแหน่งแม่ทัพจริง
“ท่านได้ร่วมกับองค์ชายต่อสู้ ณ ดินแดนทางเหนือ
ขับไล่พวกเผ่าต่างแดนออกไป ถือเป็นความชอบยิ่ง”
“…”
คำกล่าวของเขาทำให้องค์ชายหลางเหยียนหลบสายตาอย่างเก้อเขิน
…เข้าใจแล้ว
สิ่งที่จ้าวเซ็กหมิงกล่าวคือการประกาศอย่างเป็นทางการของแคว้นหลานเหอ
ว่าข้ากับองค์ชายหลางเหยียนร่วมมือกันปราบศัตรูต่างเผ่า เซิงไท่เจี่ย
เหตุผลที่ข้าถูกเชิญมาคงเพื่อประกาศ “ท่าทีนี้” ให้เหล่าขุนนางได้รับทราบ
…ก็ไม่เลวนี่
แม้จะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ข้าก็ไม่คิดจะขัดขวาง
เพราะข้าไม่ได้อยากดัง หรืออยากมีตำแหน่งอะไรอยู่แล้ว
การที่พี่ไห่เหลียงไม่ตาย องค์ชายหลางเหยียนยังปลอดภัย
และด้วยความช่วยเหลือของเสี่ยวหวง เราก็สามารถทำร้ายเซิงไท่เจี่ยได้
…ทั้งหมดนี้น่าจะช่วยหลีกเลี่ยงฉากจบหายนะของข้าได้แน่
ข้าตอบกลับด้วยท่าทีนอบน้อม
“ขอบพระทัยในคำชมอย่างสูง”
“อย่างไรก็ดี มิใช่เพียงข้าผู้เดียวที่ต่อสู้อยู่เคียงข้างองค์ชาย ศิษย์พี่ของข้า ชุ่ยฮวาหยาง ก็ร่วมสู้ด้วย
ความสำเร็จในการขจัดศัตรูครั้งนี้ ย่อมเป็นผลแห่งความสามารถของเขาเช่นกัน”
“ข้ารับทราบรายงานเรื่องนั้นแล้ว”
เสียงของจ้าวเซ็กหมิงดังขึ้น
“ด้วยเหตุนี้ แคว้นของเราจึงยอมรับข้อเสนอจากพระอนุชาของกษัตริย์ และตัดสินใจส่งความช่วยเหลือไปยังแคว้นโซมะ ข้าคิดว่าผลงานของศิษย์พี่เจ้าก็ได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสมแล้ว”
“ขอบพระทัยยิ่งนัก”
ข้าก้มศีรษะลงต่ำยิ่งกว่าเดิม
“หากข้าพูดจาล่วงเกิน ขออภัยด้วย”
“แม้เป็นผู้ไร้ตำแหน่ง ก็พึงสำรวมวาจาให้เหมาะสม”
จ้าวเซ็กหมิงกล่าวเช่นนั้น
“จบเพียงเท่านี้ เจ้ากลับไปได้──”
“เดี๋ยวก่อน, หวงเทียนฟาง”
ก่อนเขาจะพูดจบ องค์ชายหลางเหยียนก็แทรกขึ้นมา
จ้าวเซ็กหมิงสะดุ้งเบาๆ
แล้วองค์ชายก็กล่าวต่ออย่างสุขุม
“เงยหน้าขึ้นเถิด หวงเทียนฟาง ข้ายอมให้เจ้ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา…เพราะข้าอยากพูดคุยกับเจ้า”
เขากล่าวเช่นนั้นต่อหน้าทุกผู้คน
MANGA DISCUSSION