── มุมมองของเทียนฟาง ──
ในวันที่มีการจัดงานเลี้ยงในพระราชวัง
ข้าเตรียมตัวเสร็จอย่างรวดเร็ว
เพื่อจะไปยังพระราชวัง ก็จำเป็นต้องแต่งกายให้เหมาะสม
เมื่อให้ไปค้นหาชุดที่เหมาะกับข้า ปรากฏว่าชุดเก่าของพี่ชายไห่เหลี่ยงถูกหยิบขึ้นมา
พี่ไห่เหลี่ยงเป็นคนเก่งมาตั้งแต่เด็ก
ตอนอายุเท่าข้า เขาเคยเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทหลางเหยียนมาแล้ว
และชุดที่ใส่ในครั้งนั้นก็ยังถูกเก็บไว้อย่างดี
ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงไม่ต้องซื้อชุดใหม่ให้สิ้นเปลือง ก็สามารถเตรียมตัวได้เรียบร้อย
หลังจากเปลี่ยนชุด ข้าก็รออยู่ในห้องจนกว่าซิงเล่ยจะเตรียมตัวเสร็จ
ด้วยความเบื่อ ข้าจึงเริ่มฝึกท่าของ ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน
เช่นเดียวกับที่สัตตเทวชักนำพลังสามารถใช้เป็นวิชาป้องกันตัวได้
ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดินก็น่าจะมีวิธีใช้ประโยชน์อื่นเช่นกัน
วิธีใช้ที่เหมาะกับนก วานร และต้นไม้… เช่นว่า──
“คุณชายฟางคะ คุณหนูซิงเล่ยแต่งตัวเสร็จแล้วค่ะ”
── ขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องนั้น ไป๋เย่ก็มาเรียกข้า
พอเดินไปกับนางยังห้องโถง──
“ป-ปะ…เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ?”
“คุณหนูซิงเล่ย ท่านงดงามมากเลยค่ะ!”
ซิงเล่ยที่เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยเดินเข้ามา
นางสวมชุดออกงานที่เคยใส่ให้ข้าดูก่อนหน้านี้
สีสว่างสดใสเข้ากันได้ดีกับเส้นผมสีเงินของนาง
ปิ่นประดับผมดอก “เซวี่ยหยวนฮวา” ที่ข้ามอบให้ก่อนหน้านี้ ในตอนเลือกเครื่องประดับสำหรับงานเฉลิมฉลอง นางก็หยิบสิ่งนี้ขึ้นมาโดยไม่ลังเล
“สวยจริงๆ เลยนะ ซิงเล่ย”
ท่านแม่เบิกตาเป็นประกาย
“ช่างงดงามจริงๆ…ข้าอยากให้คนของสกุลหลิวได้เห็นเจ้าตอนนี้เหลือเกิน”
“…ท่านแม่อวี่ซื่อ…”
“ขอโทษจ้ะ ก็ซิงเล่ยงามเหลือเกิน ข้าอดไม่ได้จริงๆ”
ท่านแม่ว่าแล้วก็เช็ดน้ำตา
“ข้ามั่นใจแล้วว่าเจ้าเหมาะสมจะรับหน้าที่ทางสังคมของตระกูลหวง จงยืดอกให้ภูมิใจ แล้วเดินทางไปยังวังหลวงเถิด”
“ขะ-เข้าใจแล้วค่ะ ท่านแม่!”
“เทียนฟาง เจ้าเองก็ด้วย จงปฏิบัติหน้าที่ในนามบุตรแห่งสกุลหวงให้ดี”
“ขอรับ ท่านแม่”
“อีกอย่างนะ เทียนฟาง”
“ขอรับ?”
“เจ้ามิได้กล่าวความเห็นเกี่ยวกับซิงเล่ยสักคำเลยนี่นา”
ท่านแม่วางมือเท้าเอวแล้วจ้องมาทางข้า
“ซิงเล่ยแต่งองค์ทรงเครื่องสวยขนาดนี้ เจ้าควรกล่าวคำชมให้นางได้ยินเสียบ้าง คำพูดจากคนใกล้ตัวสามารถมอบความมั่นใจให้หญิงสาวได้นะ”
“ข-ขอรับ เอ่อ…”
ข้าก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าซิงเล่ย
ใช่แล้ว…ซิงเล่ยดูงดงามจริงๆ
อาจเพราะผลของการชักนำพลัง ผิวของนางดูเนียนใสเปล่งปลั่ง
เส้นผมสีเงินราวกับเปล่งประกายจากภายใน
รอบตัวนางมีแมวดำ และนกพิราบส่งสาร
ภาพของซิงเล่ยที่มีสัตว์ล้อมรอบช่างลึกลับ…ราวกับเป็นนางเซียนในโลกนี้
“อื้ม…งดงามมากเลย ซิงเล่ย”
“…พี่ชาย…”
“พูดตรงๆ เลยนะ ตอนนี้ข้าไม่อยากให้ใครนอกครอบครัวเห็นเจ้าเลย”
“พี่ชาย!?”
“ในห้องรับรองคงไม่มีเชื้อพระวงศ์เข้ามา แต่ก็ระวังไว้เถิด เจ้าคงรู้จากท่านแม่แล้ว หากมีเชื้อพระวงศ์มา จงหมอบกราบให้เรียบร้อย และก่อนข้าจะมา อย่าเพิ่งเผยโฉมงดงามนี้ให้ใครเห็นเชียวนะ”
“ขะ…เข้าใจแล้วค่ะ พี่ชาย…”
“จริงๆ นะ ซิงเล่ย เจ้าสวยราวกับดวงดาวเลย ต้องระวังตัวล่ะ”
“พูดถึงชื่อ ‘ซิงเล่ย’ แล้วล่ะก็ เป็นชื่อที่มารดาของเจ้าตั้งให้ใช่หรือไม่?”
มารดากล่าวพลางหวีผมให้ซิงเล่ย
“ข้าเคยได้ยินมาก่อน ตอนเจ้ากำลังอยู่ในครรภ์ มารดาของเจ้าฝันว่าตนกลืนดาวเข้าไป จึงตั้งชื่อเจ้าเช่นนี้”
“เรื่องนั้น…เป็นเรื่องจริงหรือคะ?”
ซิงเล่ยพึมพำเบาๆ ด้วยสีหน้าเขินอาย พลางกุมหน้าอกตนเอง
“ท่านแม่เคยบอกว่า ‘เจ้าคือเด็กที่ได้รับพรจากดวงดาว จึงมีผมสีเงินสว่างไสว’ ข้าคิดว่าเป็นแค่คำปลอบโยนเท่านั้น…”
“เป็นเรื่องจริงแน่นอน”
ท่านแม่จับมือของซิงเล่ยไว้
“มารดาของเจ้าเป็นเพื่อนรักของข้า ข้ายืนยันได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ ท่านแม่อวี่ซื่อ…”
ซิงเล่ยยิ้มเขินแตะปลายผมที่ถูกรวบไว้อย่างบรรจง
“ที่ข้าได้มาอยู่บ้านหลังนี้ ทำให้ข้าไม่รู้สึกรังเกียจผมสีเงินกับดวงตาสีแดงของตัวเองอีกแล้ว ข้าว่า…คงเป็นเพราะทุกคนในตระกูลหวงนี่แหละ”
“จริงหรือ?”
“ค่ะ ข้าเข้าใจแล้วว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า”
“…โอ้…”
“ตอนอยู่เมืองเหนือ ข้าเคยโดนเด็กแถวนั้นล้อเรื่องรูปลักษณ์ ข้าจึงตั้งใจว่า เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็นคนสำคัญ เข้มแข็ง และงดงามราวดวงดาว เพื่อให้ทุกคนหันมามองข้าใหม่อีกครั้ง…”
ซิงเล่ยพึมพำราวกับคำอธิษฐาน
“แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ตอนนี้…เพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างคนที่เปล่งแสงอบอุ่น ได้รับความอบอุ่นจากแสงนั้น ข้าก็พอใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้วว่า ‘ซิงเล่ย’ มิใช่ดวงดาวที่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
“…ซิงเล่ย…”
ท่านแม่ยื่นมือไปกอดซิงเล่ย
จากนั้นก็ลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน โดยไม่ให้ทรงผมเสียทรง
“เจ้าคือบุตรีอันน่าภูมิใจของข้า ซิงเล่ย”
“ท่านแม่…อวี่ซื่อ…”
“เจ้าผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ และยังอุตส่าห์ทุ่มเทให้ตระกูลหวง ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ”
“…ท่านแม่…ค่ะ…”
“ไม่ได้การเลย เส้นผมกับเสื้อผ้าที่ไป๋เย่จัดให้นั้น ล้วนดีเลิศแท้ๆ”
ท่านแม่ว่าพลางละมือจากซิงเล่ยด้วยความเสียดาย
“เทียนฟาง ไป๋เย่ ฝากดูแลซิงเล่ยด้วย”
“ขอรับ ท่านแม่”
“ถึงยอมเสียชีวิต ข้าก็จะปกป้องให้ได้ค่ะ”
“เทียนฟาง พ่อของเจ้า…ท่านเซิน ฝากฝังทุกอย่างไว้กับเจ้าผ่านจดหมายแล้ว บางครั้งเจ้าอาจรู้สึกประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สูงศักดิ์ แต่จงอย่าทำให้ความไว้วางใจของท่านเซินต้องเสียเปล่า”
“ขอรับ ท่านแม่”
ข้าคำนับ แล้วถามขึ้นว่า
“ว่าแต่ พี่ชายเคยกล่าวอะไรไว้หรือเปล่าขอรับ?”
“เขาบอกว่า ‘เทียนฟางคงไม่เป็นไรหรอก’ และ──”
“และ?”
“เขาเป็นห่วงองค์รัชทายาท เพราะไม่ได้รับจดหมายตอบกลับเลย”
“ไม่ได้รับจดหมายตอบกลับ…?”
พี่ไห่เหลียงที่ประจำการอยู่ป้อมแดนเหนือ เคยส่งจดหมายหลายฉบับถึงองค์รัชทายาท
บางฉบับข้าเขียนแทน บางฉบับเขาเขียนเอง
แต่ถ้าองค์รัชทายาทหลางเหยียนไม่ตอบกลับเลยล่ะก็…
มันก็น่าสงสัยอยู่
พี่ชายกับองค์รัชทายาทเป็นเพื่อนสนิทกัน
องค์รัชทายาทเคยเรียกพี่ว่า “สหายของข้า”
การที่เขาเสด็จไปยังดินแดนเหนือก็เพราะพี่ไห่เหลียงอยู่ที่นั่น
ถ้าเป็นจดหมายจากพี่ชาย น่าจะตอบกลับบ้างสิ
“เขาเขียนไว้ว่า ‘ข้าอาจทำให้ท่านเสื่อมศรัทธาเพราะความผิดพลาดที่แดนเหนือ…แม้จะรู้สึกเศร้าใจ แต่คงช่วยไม่ได้’…”
“พี่ชายเขียนแบบนั้น…”
“หากเขากลับมาที่เป่ยหลิน คงมีโอกาสได้สนทนากับองค์รัชทายาท”
ท่านแม่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าจะให้เขามุ่งสมาธิกับภารกิจ การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วง จะช่วยเรียกศรัทธาจากองค์รัชทายาทกลับคืนได้”
“ขอรับ ข้าจะเขียนจดหมายหาพี่ชายเช่นกัน”
“ดีแล้ว หากเจ้าเล่าเรื่องงานเลี้ยงให้เขาฟัง เขาคงยินดีแน่”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ข้าคำนับอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า
“ข้าจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนตระกูลหวงให้ดีที่สุด”
งานเลี้ยงครั้งนี้จะมีขุนนางและชนชั้นสูงแห่งแคว้นหลายเหอเข้าร่วม
ในหมู่พวกเขา ย่อมมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับกลียุคในอีกสิบปีข้างหน้าปะปนอยู่ด้วย
เราต้องรู้ให้ได้ว่า ใครไว้ใจได้ ใครควรระวัง
โอกาสเช่นนี้…ข้าจะปล่อยให้หลุดมือไม่ได้
ข้าจะปกป้องซิงเล่ยไปด้วย และเฝ้าสังเกตพวกเขาอย่างละเอียด
“……รู้สึกตื่นเต้นเหลือเกินค่ะ”
ซิงเล่ยสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้ง
“ในสถานที่ที่ข้าไป จะเต็มไปด้วยครอบครัวและข้ารับใช้ของเหล่าคนใหญ่คนโต…ข้ากังวลว่า หากโดนจับจ้องแล้วจะพูดคุยได้ดีหรือไม่…”
“ซิงเล่ย ข้าขอเสนอวิธีหนึ่งให้เจ้า”
“วิธีหรือคะ?”
“ใช่ ข้าอยากสอนวิธีลบตัวตนให้เจ้า ถ้าสามารถลบกลิ่นอายหรือการมีตัวตนลงได้เวลาเครียด ก็จะไม่เป็นจุดสนใจ”
“ม-หมายความว่าอย่างนั้นหรือคะ?”
“ใช่แล้ว หากอยู่ในสภาพนั้นสักพักจนใจเย็น ก็ค่อยคืนการปรากฏตัวขึ้นใหม่”
“แ-แต่ว่า แบบนั้นทำได้จริงหรือคะ?”
“ซิงเล่ย…”
ข้าโน้มหน้าเข้าไปใกล้หูของซิงเล่ย
“……’ต้นไม้ไร้ชื่อข้างทาง’ ไม่มีใครมาสนใจหรอก จริงไหม?”
“……อ๊ะ”
เมื่อข้ากระซิบ นางก็เบิกตาเป็นประกาย
“ข้าเข้าใจแล้ว! เป็นการใช้วิชาชักนำพลังที่พี่เคยใช้หลบหนีผู้ร้าย!”
“ถูกต้อง ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ทำได้”
“เจ้าค่ะ ข้าจะลองดู แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวคนจับจ้อง และยังสามารถสังเกตคนอื่นได้ละเอียดด้วย”
“ถ้ามีคนระดับสูงมาถึง ก็ใช้วิชานี้ได้เลย”
มันยังเป็นทางช่วยเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างซิงเล่ยกับเชื้อพระวงศ์ได้อีกด้วย
หากซิงเล่ยอยากมีบทบาทในงานสังคมของตระกูลหวง ข้าก็จะเคารพความตั้งใจนั้น
ในเมื่อนางเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา ข้าคงไม่อาจขังนางไว้ในบ้านอีกต่อไป
เพราะข้าเป็นพี่ชายของนาง ยังไงก็อยากช่วยเติมเต็มความปรารถนาเล็กๆ ของน้องสาว
แต่ก็อยากให้นางเลี่ยงอันตรายเท่าที่จะทำได้
เพื่อให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและอิสระ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าคิดค้นวิชาประยุกต์จากชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดินขึ้นมา
“……พี่ชายช่วยข้าอยู่เสมอเลยนะคะ”
ซิงเล่ยโน้มตัวพิงไหล่ข้าอย่างแผ่วเบา
“ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อพี่ชาย…ไม่สิ เพื่อตระกูลหวง”
“อื้ม ข้าเองก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเช่นกัน”
หลังจากพูดจบ เราทั้งคู่ก็ขึ้นรถม้า
ข้าคำนับลาท่านแม่อีกครั้ง
“ไปก่อนนะขอรับ ท่านแม่”
“ขอลาค่ะ ท่านแม่อวี่ซื่อ”
“ข้าจะปกป้องทั้งสองไว้เองค่ะ” ไป๋เย่กล่าว
และแล้ว ข้า ซิงเล่ย และไป๋เย่ ก็ออกเดินทางสู่พระราชวัง
MANGA DISCUSSION