── มุมมองของเทียนฟาง ──
หลังจากได้เห็นวิชา ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน ของท่านตงหลี่ ข้าก็ได้ตระหนักอีกครั้ง
นางคือยอดฝีมือ…ไม่สิ ต้องเรียกว่าเป็น “อัจฉริยะ” แห่งการฝึกฝนวิถีแห่งพลังภายใน
ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน คือการหลอมรวมกายใจเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และผืนปฐพี
ด้วยการจำลองตนเองเป็นสัตว์ที่เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับฟ้า ดินและมนุษย์ จึงสามารถดูดซับ “พลังปราณ” เข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และซึมซับเข้าไปในทุกอณูของตน
ผลที่ตามมาก็คือ สามารถรับรู้สภาวะภายในร่างกายได้ชัดเจน และเข้าใจถึง “พลังภายใน” ของตนเองได้ง่ายขึ้น
ถึงขนาดควบคุม “พลังเทียนหยวน” ได้เลยทีเดียว
ระหว่างฟังคำอธิบายของท่านตงหลี่ ข้ากับตงหลี่ได้แต่ยืนตะลึงงัน
…ก็เพราะตอนที่นางร่ายท่วงท่าดึงพลังนั้น มันงดงามจนเกินบรรยาย ช่างลึกลับราวกับภาพฝัน
“──ทั้งหมดนี้ คือ ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน เราจะจำแลงตนเป็นสัตว์ผู้มาจากฟ้า ใกล้ชิดกับมนุษย์ และกลับคืนสู่ดินค่ะ”
เมื่อสิ้นสุดการร่ายท่า ท่านตงหลี่ก็กล่าวอย่างสงบ
“หากจำแลงเป็นสัตว์แห่งฟากฟ้า จะสามารถดูดซับพลังปราณจากระดับที่สูงยิ่งขึ้นได้ หากจำแลงเป็นสัตว์ที่หลอมรวมกับผืนดิน จะสามารถดึงพลังปราณ จากส่วนลึกของแผ่นดินได้เช่นกัน เอาล่ะ เชิญลองทำตามได้เลยค่ะ”
“……”
“……”
“ท่านเทียนฟาง? ท่านซิงเล่ย? เป็นอะไรกันหรือเปล่าคะ?”
“ม…ไม่ขอรับ”
“ไม…ไม่เป็นไรค่ะ!”
เราตอบช้าไป ก็เพราะมัวแต่จ้องมองท่านตงหลี่นั่นแหละ
ตอนที่นางร่าย ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน นั้น ราวกับเทพธิดาจุติลงมายังโลกมนุษย์
แน่นอน ข้าไม่ลืมหรอกว่านางเป็นมนุษย์
ร่างกายที่มีเพียงผ้าโปร่งบางคลุมไว้ ผิวที่ขึ้นสีด้วยเลือดฝาด เหงื่อที่เกาะพราวบนหน้าผาก เส้นผมยาวที่แนบชิดต้นคอด้วยเหงื่อ ทุกอย่างนั้นช่างเป็นมนุษย์โดยแท้…
…แต่ถึงอย่างนั้น ท่านตงหลี่ในขณะทำวิชานั้นกลับดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์
ราวกับว่านางได้ลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นมนุษย์
มันทำให้ข้านึกถึงตอนที่ได้เห็นกระบวนท่าของท่านอาจารย์เหลยกวงเลย
ยอดฝีมือน่ะ มักจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนธรรมดาอย่างข้ารู้สึกตื่นตะลึง
แต่ทว่า…ชื่อของ “ซวนตงหลี่” ไม่ปรากฏใน พงศาวดารตำนานจอมกระบี่
อาจารย์ชิวเป็น NPC ดังนั้นที่ลูกสาวของนางไม่ปรากฏในเรื่อง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ยังติดอยู่ในใจข้า…ก็คือเรื่องสภาพร่างกายของท่านตงหลี่
อาจารย์ชิวกล่าวว่า “ต้องใช้ ‘พลังเทียนหยวน’ จำนวนมหาศาลเพื่อรักษานาง”
ท่านอาจารย์เหลยกวงก็เคยบันทึกไว้ว่า “มีเพียงข้าผู้เดียวเท่านั้นที่ร่างกายสร้างจาก ‘พลังเทียนหยวน’ ล้วนๆ”
ถ้าอย่างนั้น…ใน พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ ที่ไม่มี ‘ข้าผู้มีพลังภายใน’ ปรากฏอยู่ ท่านตงหลี่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร…?
“ท่านเทียนฟาง เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?”
“พี่?”
รู้ตัวอีกที ท่านตงหลี่กับซิงเล่ยก็มองข้านิ่งๆ อยู่แล้ว
ข้าสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดออก
ตอนนี้กำลังฝึกชักนำพลังอยู่ ต้องมีสมาธิสิ
เรื่องอนาคตของท่านตงหลี่…ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ
แต่ที่แน่ๆ ข้ามีหนี้บุญคุณต่ออาจารย์ชิวและท่านตงหลี่
พวกเขารับปากจะสอนพลังภายในตามที่ข้าขอไว้ ข้าต้องตอบแทนให้ได้
ข้าน่ะ…ไม่ใช่ “หวงเทียนฟาง” ในเกม
ข้าจะไม่กลายเป็นมหาวายร้าย จะตอบแทนทุกบุญคุณ และจะทำให้แน่ใจว่าอีกสิบปีข้างหน้า ท่านตงหลี่จะยังมีชีวิตอยู่…อย่างมีสุขภาพดี
“ขออภัยที่เหม่อลอยไป ท่านตงหลี่”
ข้าค้อมศีรษะให้ แล้วพูดต่อ
“ขอบคุณที่แสดงตัวอย่างให้ดู ขอรบกวนให้สอนต่อด้วยขอรับ”
“ยินดีค่ะ ถ้าเช่นนั้น ท่านเทียนฟาง ท่านซิงเล่ย”
“ขอรับ ท่านตงหลี่”
“ขะ…ค่ะ!”
“ระหว่างที่ข้าหันหลังอยู่ ให้เปลี่ยนเป็นชุดฝึกชักนำพลังให้เรียบร้อยนะคะ เชิญเลยค่ะ”
ท่านตงหลี่กล่าวพร้อมกับตบมือเบาๆ
น้ำเสียงของนางเริ่มจริงจังขึ้น ราวกับครูฝึกแล้ว
ข้ากับซิงเล่ยจึงรีบทำตามคำสั่งแต่โดยดี
“──อันดับแรกคือ ‘ท่าร่างนก’ ค่ะ เป็นท่าที่จำลองภาพนกที่โบยบินจากฟากฟ้าลงสู่ผืนดินเพื่อส่งมอบวิญญาณ”
ท่านตงหลี่ขยับแขนอย่างนุ่มนวล
นางแกว่งแขนที่ส่งพลังปราณไปจนถึงปลายนิ้วขึ้นลง แล้วโน้มตัวลง
ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน—ท่าร่างนก
ท่าร่างที่ท่านตงหลี่แสดงออกมานั้น เหมือนกับนกที่แบกวิญญาณลงสู่ผืนดินจริงๆ
“…สุดยอดเลยขอรับ”
“ท่านซิงเล่ย! กรุณาตั้งสมาธิด้วยค่ะ!”
“คะ-ค่ะ!”
“ตอนหายใจออก ให้ลดแขนซ้ายลงเล็กน้อยจะพอดีเลยค่ะ ใช่ แบบนั้นแหละค่ะ”
แถมยังสอนเก่งอีกต่างหาก
นางแสดงตัวอย่างให้ดูพร้อมกับตรวจดูท่าทางของพวกเราอย่างถี่ถ้วน
ตรงไหนผิดก็ช่วยจับมือจับเท้าแก้ไขให้เลย
เราทั้งสองคนทำตามคำแนะนำของท่านตงหลี่ ฝึกท่าร่างนกซ้ำไปซ้ำมา
สุดท้าย เราจับมือกันในท่า นกบินกลับสวรรค์เคียงคู่ดุจปีกเดียวกัน เป็นการถ่ายทอดพลังปราณให้กันและกัน และปิดท้ายท่าร่างนก
“วิญญาณที่นกส่งลงมาจากฟากฟ้า จะถูกสิ่งมีชีวิตบนโลกมนุษย์รับไว้ค่ะ”
พูดจบ ท่านตงหลี่ก็โน้มตัวลง
นางใช้ปลายนิ้วเรียวๆ ขยุ้มศีรษะของข้ากับซิงเล่ยเบาๆ
“ลำดับต่อไป เราจะเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกที่รับวิญญาณจากนก เป็น ‘ท่าร่างลิง’ ที่พึ่งแสดงให้ดูค่ะ เอ้า พร้อมกันนะคะ ‘อุคกี้!’”
“…อุคกี้”
“………อุคกี้” (TN: หวนคืนสู่วานร อุคกี้ๆ)
“ทั้งสองท่านดูฝืนตัวเกินไปค่ะ เราจะเริ่มจาก ฝูงลิงช่วยกันเกา นะคะ อุคกี้! อุคกี้!”
““อุคกี้!!””
“ใส่ความเป็นสัญชาตญาณลงไปอีกค่ะ! ทำตัวให้เหมือนลิงจริงๆ!”
““อุคกี้!!””
ข้ากับซิงเล่ยเริ่มนั่งยองๆ แล้วเอานิ้วจิ้มหลังกันและกันกับท่านตงหลี่
“อุคกี้!” “อุคกี้!” “อุคกี้อุคกี้!”
ที่นี่คือภูเขาลิง และพวกเราคือลิง
ซิงเล่นเกาะหลังข้าไว้ ซุกหน้าลงตรงต้นคอ
ข้าเดินวนไปวนมาพร้อมแบกซิงเล่ย แล้วใช้มือแตะหลังท่านตงหลี่
ทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน คือท่าที่จำลองจาก ‘ฟ้า-ดิน-มนุษย์’
──สัตว์ที่โบยบินสู่ฟ้า — นก
──สิ่งที่หยั่งรากลึกในผืนดิน — ต้นไม้
──สัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ — ลิง
มนุษย์ถูกแทนที่ด้วยลิงก็เพราะว่า การจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าและดินได้นั้น จำเป็นต้อง ‘ลืมความเป็นมนุษย์’ ซึ่งลิงที่คล้ายมนุษย์จึงถูกนำมาใช้แทน
“เอาล่ะ สุดท้ายเป็นท่าร่างต้นไม้ค่ะ ลิงที่ตายแล้วกลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงต้นไม้ เกิดผลไม้ขึ้นมา แล้วนกก็บินมากินเพื่อนำกลับสู่ฟ้า เริ่มจาก ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งรับฟ้า เลยค่ะ”
“แบบนี้หรือเปล่า”
“แนบหลังกับพี่ชายเลยค่ะ อย่างนี้แหละ!”
“ดีแล้วค่ะ จากนั้นให้ขาและแขนพันกัน เป็นสัญลักษณ์ของรากและกิ่ง พันกันไว้แบบนี้ แล้วเป็นต้นไม้ให้สมจริงนะคะ”
เราหันหลังชนกัน เหยียดแขนเลียนแบบกิ่งไม้
เมื่ออยู่ในท่านี้ จะรู้สึกว่าพลังปราณไหลเข้ามาในตัว
อาจเพราะร่างกายแนบชิดกัน ข้าจึงเห็นพลังปราณภายในซิงเล่ยกับท่านตงหลี่
เป็นพลังที่นุ่มนวล ล่องลอย
──นั่นคงเป็นพลังภายในของทั้งคู่
ข้าเองก็รู้สึกได้ถึงพลังภายในที่เข้มข้นภายในตัวเช่นกัน
เหมือนถูกบีบอัด หรือเคี่ยวจนข้น — เป็นพลังที่หนาแน่นมาก
นี่อาจจะเป็นพลังเทียนหยวนสินะ
รู้สึกว่าอีกนิดเดียวก็คงจะสัมผัสได้แล้ว…แต่ว่า…
ข้าคิดเรื่องนั้นไปด้วย ขณะยังฝึกฝนต่อไป──
“ค่ะ ขอหยุดไว้เพียงเท่านี้”
ท้ายที่สุด ท่านตงหลี่ประกาศว่าการฝึกชักนำพลังสิ้นสุดลง
ข้ากับซิงเล่ยนั่งแหมะลงบนพื้น
เราทั้งคู่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ร่างกายร้อนระอุ
สมแล้วที่เป็นวิชาชักนำพลังลับ
เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านตงหลี่ถึงแนะนำว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ ให้ใส่แค่ชุดชั้นใน’
เสื้อที่เปียกเหงื่อนั้นอึดอัดมาก
ถ้าไม่มีเสื้อผ้าคงเคลื่อนไหวได้ดีกว่านี้
หรือพูดให้ถูกคือ…พอฝึกชักนำพลังไปเรื่อยๆ จะเริ่มรู้สึกว่าการใส่เสื้อผ้านั้นช่างแปลกประหลาด — เป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก
ซิงเล่ยเองก็คงคิดคล้ายกัน นางจึงหยิบคอเสื้อขึ้นมาดู
แต่ก็ใช่ว่าจะฝึกชักนำพลังโดยสวมชุดชั้นในพร้อมกับซิงเล่ยและท่านตงหลี่ได้ง่ายๆ หรอก
“ขอพักสักครู่ จากนั้นจะเริ่ม สัตตเทวชักนำพลัง ค่ะ”
ท่านตงหลี่พูดพลางมองลงมาที่ข้ากับซิงเล่ย
“หลังจาก ชักนำพลังปราณรวมกายฟ้าดิน แล้ว กรุณาทำ สัตตเทวชักนำพลัง ต่อด้วยนะคะ สองท่านี้ถือเป็นหนึ่งเดียวกันค่ะ”
“ขอรับ ท่านตงหลี่”
“เข้าใจแล้วค่ะ!”
“ถ้าเรียกเมื่อไหร่ ข้าจะมาช่วยต่อให้เลยค่ะ”
พูดจบ ท่านตงหลี่ก็เดินไปยังมุมห้อง…แล้วนั่งยองๆ ลงหลังกองเครื่องนอน
นางพูดเสียงแผ่วเบา
“…รู้สึกเขินจังเลยค่ะ”
“เอ๋?”
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนที่ไม่ใช่ครอบครัว…”
ท่านตงหลี่นั่งกอดเข่าด้วยแก้มแดงเถือกไปถึงต้นคอ
“เวลาฝึกชักนำพลัง ตงหลี่จะไม่รู้สึกอายหรือกลัวเลยค่ะ แต่พอจบลง ความรู้สึกเหล่านั้นจะพรวดกลับมา….”
“อย่างนั้นเหรอขอรับ?”
“แ-แล้วก็…ตงหลี่อยู่กับท่านแม่มาตลอด แทบไม่เคยคุยกับคนอื่นเลย…พูดอะไรแปลกๆ ไปหรือเปล่าคะ? ไม่ได้ดูเป็นหญิงประหลาดใช่ไหมคะ?”
“ไม่เลยขอรับ ไม่เป็นไรเลย”
“ท่านตงหลี่สอนพวกเราได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วล่ะค่ะ!”
ข้ากับซิงเล่ยรีบตอบกลับไป
ท่านตงหลี่คงเป็นอัจฉริยะ
ทั้งมีพรสวรรค์ในการชักนำพลัง ทั้งสอนเก่ง พอเริ่มฝึกชักนำพลังก็ลืมทุกอย่างไปหมด
แต่นอกเวลา…นางก็กลับกลายเป็นคนขี้อายที่ไม่ค่อยกล้าคุยกับคนอื่น
“สุดยอดเลยขอรับ ท่านตงหลี่”
คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากข้าโดยไม่รู้ตัว
“ถึงจะเป็นคนขี้อาย แต่ท่านยังกล้าสอนพวกข้ากับซิงเล่ยอย่างจริงจัง พอเริ่มฝึกแล้วทุกอย่างก็มลายหายไป แสดงว่าท่านมีสมาธิสูงมาก มีพรสวรรค์จริงๆ ขอรับ”
การจดจ่อได้ขนาดนั้น มันสุดยอดมากจริงๆ
ข้าน่ะ ทำไม่ได้แบบนางเลย
ตอนฝึกอยู่ก็ยังคิดถึง ‘ฉากจบหายนะของหวงเทียนฟาง’ อยู่ตลอด
แบบนี้คงไม่มีวันเป็นผู้เชี่ยวชาญเหมือนอาจารย์เหลยกวง, อาจารย์ชิว หรือท่านตงหลี่ได้
เพราะแบบนั้น กับคนที่พยายามฝึกฝนจนถึงที่สุดอย่างท่านตงหลี่ ข้าจึงเคารพนางมาก
แม้เป้าหมายของนางจะเป็นการรักษาบาดแผลจากพลังภายใน ข้าก็ยังคิดว่านางสุดยอดอยู่ดี
แถมนางยังเรียนวิชาแพทย์จากอาจารย์ชิวอีก
ทั้งมีความรู้เรื่องการแพทย์ ทั้งสอนชักนำพลังได้ นั่นมันสุดยอดแล้ว
ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากท่านตงหลี่ อาจหลีกเลี่ยงจุดจบของหวงเทียนฟางได้ง่ายขึ้น
แต่เพราะนางมีปัญหาทางร่างกาย ข้าจะฝืนให้เธอช่วยไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าท่านตงหลี่ล้มป่วยจากการฝืนช่วย ข้าก็ต้องกลายเป็นศัตรูกับอาจารย์ชิวอีก — นั่นมันแย่ที่สุด
ที่สำคัญ การใช้งานผู้อื่นเพื่อตัวเอง มันคือวิธีของหวงเทียนฟางใน พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ นั่นล่ะ
ข้าไม่อยากทำตามเขา
แค่ได้ฝึกชักนำพลังกับท่านตงหลี่แบบนี้ ข้าก็พอใจแล้ว
“ข้าเชื่อว่าท่านตงหลี่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมแน่นอนขอรับ”
ข้าพูดออกไป
“ถ้าท่านฝึกฝนต่อไป อาจกลายเป็นยอดฝีมือที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ก็ได้ ข้าหวังให้เป็นแบบนั้นนะขอรับ”
“…ท่านเทียนฟาง”
“ขอรับ?”
“ท่าน…พูดเหมือนท่านหยางอวิ๋นเลย…”
“อ-อ๊ะ เอ่อ งะ งั้นมาเริ่ม สัตตเทวชักนำพลัง กันเถอะนะคะ!”
ทันใดนั้น ซิงเล่ยก็ดึงมือข้าขึ้นมา
“ข้าพร้อมแล้วค่ะ พี่ชายก็เหมือนจะเหงื่อแห้งแล้วด้วย”
ซิงเล่ยลูบแขนข้าเบาๆ ตรวจดูว่าเหงื่อแห้งแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝึกต่อกันเถอะค่ะ เสียเวลาเปล่านะคะ”
“อ-อืม ใช่แล้วล่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ งั้นเริ่มจาก ‘ท่าร่างแมว’──”
ท่านตงหลี่ที่นั่งซุกตัวอยู่มุมห้องค่อยๆ ลุกขึ้น
บนแผ่นหลังที่เปียกเหงื่อของนาง มีรอยแผลอยู่
รอยแผลแดงเหมือนโดนตีด้วยอะไรสักอย่าง
ตอนฝึกชักนำพลังก็เห็นอยู่ แต่ข้าพยายามไม่สนใจ…
“นั่นเป็นแผลเก่าค่ะ ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะคะ”
นางคงสังเกตสายตาของข้า เลยรีบบอกออกมาอย่างร้อนรน
แล้วก็หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ
“ค่ะ งั้น…ท่านเทียนฟาง ท่านซิงเล่ย ขอเชิญฝึกต่อกันเลยนะคะ”
ท่านตงหลี่จับมือข้ากับซิงเล่ยไว้
“การฝึก สัตตเทวชักนำพลัง โดยยังอยู่ในสภาพนี้ จะยิ่งเห็นผลค่ะ พลังเทียนหยวนของทั้งสองก็จะเพิ่มขึ้น วิธีใช้พลังอย่างเหมาะสม เดี๋ยวจะสอนให้อีกครั้งนะคะ”
และแล้วพวกเราก็แปลงร่างเป็นสัตว์…อีกครั้ง
──ผ่านไปกว่าสิบนาที──
“ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยค่ะ คุณชายฟาง คุณหนูซิงเล่ย ท่านซวนตงหลี่ ข้าเตรียมชาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เมื่อเราออกจากห้องหลังฝึกเสร็จ ก็พบกับไป๋เย่ ผู้เป็นสาวใช้ยืนรออยู่ที่ปลายทางเดิน
ดูเหมือนนางจะเฝ้ารอเรามาตลอด
“น้ำร้อนก็ต้มไว้แล้วค่ะ คุณหนูซิงเล่ยกับท่านซวนตงหลี่สามารถไปชำระเหงื่อได้ ตามที่นายหญิงสั่งไว้ได้ค่ะ แต่…คุณชายฟางนั้น──”
“มีอะไรรึ ไป๋เย่?”
“มีหนังสือแจ้งมาจากวังหลวง ส่งถึงสกุลหวงค่ะ อยากให้คุณชายฟางช่วยจัดการเรื่องนี้ค่ะ”
“หนังสือจากวังหลวง?”
“รายละเอียด นายหญิงจะแจ้งให้ทราบด้วยตัวเองค่ะ ขอเชิญที่ห้องค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
ข้ามุ่งหน้าไปยังห้องของท่านแม่
ท่านแม่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง ดูเหมือนวันนี้อาการจะดีขึ้น
“เจ้ายังพยายามไม่หยุดเลยนะ เทียนฟาง ลูกยอดเยี่ยมมากเลย”
ทันทีที่ข้าเดินเข้าห้อง แม่ก็กล่าวเช่นนั้น
“แม่ภูมิใจในตัวลูกมาก ที่ไม่ยอมละความพยายามแม้แต่น้อย”
“ขอบพระคุณขอรับ ท่านแม่”
“ที่ให้เจ้ามาหา ไม่ใช่เรื่องอื่นเลย ตามที่ได้ยินจากไป๋เย่ มีหนังสือจากวังหลวงส่งมาถึงพวกเรา”
ท่านแม่แกะหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะออก
“‘จะมีงานประชุมที่วังหลวง ขอให้ผู้แทนสกุลหวงเข้าร่วม’ เป็นข้อความที่เขียนไว้”
“ประชุม…หรือขอรับ?”
“เป็นงานเลี้ยงประจำปี เพื่ออธิษฐานขอให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ เป็นงานเลี้ยงเหล้าและชาจัดขึ้นทุกปี ปีนี้มีการระบุไว้ว่า องค์รัชทายาทจะเป็นผู้เป็นเจ้าภาพ”
ข้ารู้ว่าเขาจัดงานแบบนี้อยู่ทุกปี
แต่สกุลหวงไม่เคยไปร่วม
ทั้งพ่อและพี่ชายก็ไปประจำการอยู่ป้อมทางเหนือช่วงเวลานี้ทุกปี
ทางราชวงศ์เองก็คงรู้ จึงไม่ส่งบัตรเชิญมาที่บ้านเรา
แต่ปีนี้กลับมีบัตรเชิญส่งมา…
“องค์ชายรัชทายาททรงปรารถนาให้เจ้าเข้าร่วมงานในฐานะตัวแทนแห่งสกุลหวง”
ท่านแม่กล่าวเช่นนั้น
“แน่นอนว่า เจ้าจะปฏิเสธก็ได้ เจ้าก็ยังเยาว์วัยอยู่ ท่ามกลางผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นอาจทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัด แม่จะไม่บังคับอะไรทั้งสิ้น แม่จะเคารพความตั้งใจของเจ้า”
ท่านแม่—หวงอวี่ซื่อ กล่าวพลางแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า
MANGA DISCUSSION