“ก่อนออกเดินทาง ข้ามีเรื่องอยากขอร้องเจ้าสักอย่าง ไป๋เย่”
“เรื่องใดหรือคะ คุณชายฟาง?”
“ช่วยประลองพลังภายในกับข้าสักครั้งได้หรือไม่?”
ก่อนจะได้คัมภีร์วิชายุทธ์ ข้าต้องรู้สถานะของตนเองเสียก่อน
ไป๋เย่เป็นองครักษ์ของข้า นางได้รับการฝึกฝนวิทยายุทธ์มาอย่างดี
ย่อมต้องมีพลังลมปราณอยู่ในระดับหนึ่ง
เมื่อเทียบกับข้าในตอนนี้ ไป๋เย่ถือเป็นคู่ประลองที่เหมาะสมที่สุด
เพราะหากเป็นท่านพ่อหรือท่านพี่ ข้าคงได้ปลิวกระเด็นไปไกลเป็นแน่
“คุณชายฟาง…ท่านกล่าวได้แปลกนัก”
“เหตุใดจึงว่าเช่นนั้น?”
“ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ คุณชายดูเหมือนจะไม่ชอบประลองพลังภายในสักเท่าใด”
“…นั่นสินะ”
บางทีคงเป็นเพราะข้าเคยพบกับความจริงที่ว่า—ตนเองไร้ซึ่งพลังภายใน
เด็กในโลกนี้เริ่มฝึกฝนลมปราณมาตั้งแต่เยาว์วัย
ทุกวันต้องฝึก ‘เคล็ดชักนำพลังปราณ’ อย่างสม่ำเสมอ
ดึงพลังจากฟ้าดินเข้าสู่ร่างกาย แล้วค่อย ๆ สั่งสมเป็นลมปราณภายใน
ข้าเองก็ฝึกฝนตามนั้นมาตั้งแต่ยังเล็ก
แต่ผลลัพธ์คือ ข้าไม่เคยมีพลังลมปราณปรากฎออกมาเลยแม้แต่น้อย
ข้าไม่อยากยอมรับความจริงนั้น จึงหลีกเลี่ยงการประลองกับไป๋เย่มาตลอด
ทว่าตอนนี้ ข้าได้รู้ถึงจุดจบของหวงเทียนฟางแล้ว คงไม่อาจหลบเลี่ยงมันได้อีกต่อไป
“ข้าไม่มีสิทธิ์จะเบือนหน้าหนีจากความอ่อนแอของตนเองอีกแล้ว”
ข้ามองไป๋เย่อย่างแน่วแน่ แล้วกล่าวต่อ
“ดังนั้น ขอร้องล่ะ ลองส่งถ่ายพลังเข้าสู่ไหล่ข้าดูก่อน”
“บ่าวรับคำ ขออภัยที่ล่วงเกินค่ะ”
ไป๋เย่ตั้งท่า
นางลดช่วงตัวลง งอเข่าเล็กน้อย ก่อนจะกำหมัดแล้วค่อย ๆ พุ่งเข้าหาข้า
“──ฮึ่ย!”
“───อึก!”
หมัดของไป๋เย่แตะลงบนไหล่ข้าเพียงแผ่วเบา
แต่แรงกระแทกกลับพุ่งเข้าใส่ร่างข้าราวกับถูกซัดกระเด็น
นี่คือพลังภายในของไป๋เย่… ‘พลังลมปราณ’
ในโลกนี้ ผู้คนใช้ลมปราณเพื่อเสริมพละกำลังของร่างกาย
บางคนบีบอัดพลังลงในอาวุธเพื่อเพิ่มอานุภาพ หรือกระทั่งส่งพลังเข้าโจมตีโดยตรง
หากเป็นยอดยุทธ์ระดับสูง ก็อาจควบคุมปรากฏการณ์ธรรมชาติได้เลยทีเดียว
“คุณชาย! ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นไร…คราวนี้ มาเทียบพลังปราณกันบ้าง”
ข้าตั้งหลัก แล้วแบมือออกไปข้างหน้า
ไป๋เย่พยักหน้าแน่วแน่ ก่อนจะวางมือของนางลงบนฝ่ามือข้า
หากต้องการรับมือกับการโจมตีจากลมปราณ ก็ต้องใช้ลมปราณตอบโต้
เหตุที่ข้าถูกกระแทกเมื่อครู่ เป็นเพราะข้าไร้ซึ่งพลังลมปราณโดยสิ้นเชิง
พูดตามตรง…มันหนักหนาสาหัสไม่น้อย
แต่ข้าจำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองอ่อนแอเพียงใด
หากมิอาจตระหนักถึงจุดอ่อน ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชะตาของหวงเทียนฟางได้
“ช่วยส่งพลังมาที ข้าจะลองต้านดู”
“คุณชายแน่ใจหรือคะ?”
“อืม”
“เช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า”
ตุบ!
เพียงแค่มือไป๋เย่แนบลง ฝ่ามือนางก็คล้ายหนักขึ้นหลายเท่าตัว
แม้นางจะส่งพลังมาเพียงเล็กน้อย แต่ข้ากลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
การประลองพลังภายใน คือการเผชิญหน้าของ ‘พลังลมปราณ’
ฝ่ายที่พลังกล้าแกร่งกว่า สามารถสร้างแรงกดดันมหาศาลแก่ฝ่ายที่อ่อนแอกว่าได้
ชาวยุทธ์มักใช้วิธีนี้วัดระดับพลังของกันและกัน
“…อย่างที่คาด ข้าต้านทานไม่ไหวเลยสินะ”
หากให้จัดอันดับพลังลมปราณจาก 100
ท่านพ่อที่เป็นแม่ทัพ น่าจะอยู่ที่ 80 ขึ้นไป
พี่ชายที่เป็นทายาท คงราว ๆ 60
ส่วนไป๋เย่ น่าจะอยู่ที่ 20 ถึง 30
แต่ข้า—หวงเทียนฟาง ไม่อาจต้านพลังของนางได้เลย นั่นหมายความว่า ข้ามีพลังลมปราณเป็นศูนย์
“พอเถอะ ไป๋เย่”
ไป๋เย่รีบปล่อยมือข้าออกด้วยความตกใจ
“คุณชาย! ท่านยังไหวอยู่หรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นไร…แค่นี้ยังต้องอดทนให้ได้”
คนที่ไม่มีลมปราณ ไม่มีทางสู้กับผู้ที่มีพลังเหนือกว่าได้
บางที…ปมด้อยนี้อาจเป็นเหตุผลที่หวงเทียนฟางกลายเป็นคนชั่วในเกม
สำหรับคนอ่อนแอเช่นเขา อำนาจคือสิ่งเดียวที่สามารถใช้ปกป้องตนเองได้
“ไปกันเถอะ”
“ค่ะ ท่านฟางจะไปซื้อสิ่งใดหรือ?”
“คัมภีร์—เป็นคัมภีร์วิชายุทธ์ประเภทหนึ่ง”
“วิชายุทธ์หรือ? คัมภีร์เล่มใดกัน?”
“มันชื่อว่า ‘สัตตเทวชักนำพลัง’ คัมภีร์นี้ควรจะมีอยู่ที่แคว้นเป่ยหลิน”
คัมภีร์ ‘สัตตเทวชักนำพลัง’ เป็นไอเท็มหนึ่งในเกม
เมื่อใช้แล้ว ค่าสถานะพลังลมปราณจะเพิ่มขึ้น 10 หน่วย
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์นี้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่มีพลังลมปราณต่ำสุดเท่านั้น
ในแง่ของเกม มันเป็นไอเท็มไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง
แต่สำหรับข้าในตอนนี้—มันจำเป็นอย่างยิ่ง
หากข้าหลุดพ้นจากสภาวะไร้ลมปราณ ก็พอจะฝึกยุทธ์ได้บ้าง
ต่อให้ต้องต่อสู้ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสตอบโต้หรือหลบหนี
ที่สำคัญที่สุด—
เกมนี้มีวิชาตัวเบาสายพิเศษที่เรียนรู้ได้เฉพาะผู้ฝึก ‘สัตตเทวชักนำพลัง’ อยู่
มันมีนามว่า ‘จตุรเทพก้าวพริบตา’
เมื่อใช้แล้ว ความเร็วในการเคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และจะไม่มีวันถูกจับกุมได้
หากข้ามีพลังเพียงพอสำหรับการใช้ ‘จตุรเทพก้าวพริบตา’
ต่อให้สิบปีให้หลัง อาณาจักรนี้จะล่มสลาย ข้าก็จะพาซิงเล่ยหนีไปได้
ข้าจะหลีกเลี่ยงจุดจบอันเลวร้ายของหวงเทียนฟาง และปกป้องซิงเล่ยได้
“แต่คุณชาย คัมภีร์มีราคาแพงนัก ท่านจะมีเงินพอหรือไม่?”
ไป๋เย่กล่าว แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า—
“จริงสิ…คุณชายช่วยงานใต้เท้าอยู่มิใช่หรือ”
“ใช่ ข้าเป็น ‘อาลักษณ์’ ของท่านพ่อ คอยคัดลอกเอกสารให้ท่าน”
ท่านพ่อเป็นคนลายมือห่วยบรม
บางครั้งเขียนเองแล้วยังอ่านไม่ออกเสียด้วยซ้ำ
พี่ชายข้าก็ใช่ย่อย ลายมือของเขาเองก็สุดแสนจะแปลกพิกล
ดังนั้น งานคัดลอกเอกสารจึงตกเป็นของข้า
ท่านพ่อเคยกล่าวว่า ลายมือของข้าประณีตกว่าผู้คัดลอกในกองทัพเสียอีก
เขาจึงให้รางวัลเป็นเงินแก่ข้า ซึ่งข้าก็เก็บหอมรอมริบมาตลอด
“ไปกันเถอะ ไป๋เย่”
“ค่ะ”
ว่าแล้ว ข้ากับไป๋เย่ก็ออกเดินทางสู่ตลาดในแคว้นเป่ยหลิน—
ตลาดเป่ยหลินนับเป็นหนึ่งในสองตลาดใหญ่ของแคว้น
ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลักที่ทอดยาวสู่พระราชวัง พ่อค้าเร่จากแดนไกลปูเสื่อกางแผงขายสินค้า ขณะที่พ่อค้าใหญ่จะเปิดร้านค้า ก่ออิฐถาวร เสาลงรักสีแดงสดตั้งตระหง่านเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า “ร้านนี้เปิดกิจการมายาวนาน เชื่อถือได้”
สิ่งที่ข้าตามหาคือคัมภีร์วิชายุทธ์ “สัตตเทวชักนำพลัง” ตามที่ระบุไว้ใน 《พงศาวดารตำนานจอมกระบี่》 คัมภีร์เล่มนี้สามารถพบได้ทั่วไปที่ตลาดเป่ยหลิน มิใช่ของหายาก สามารถซื้อหาได้จากร้านค้า หรือเก็บได้จากศัตรูที่สังหารไป
ทว่าตอนนี้ยังห่างจากช่วงเวลาเริ่มต้นของเกมถึงสิบปี ข้ากังวลว่ามันอาจจะยังไม่มีขาย แต่—
“ไม่นึกเลยว่าจะมีถึงสี่แบบ”
หลังจากเดินสำรวจร้านค้าหลายแห่งพร้อมกับไป๋เย่ ข้าพบคัมภีร์ที่คล้ายกันอยู่สี่เล่ม เมื่อขอลองอ่านบทแรกของแต่ละเล่ม กลับพบว่าเนื้อหาล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
《เคล็ดจำแลงพลังโดยเลียนแบบอิริยาบถแห่งสัตว์》, 《ศาสตร์ขับเคลื่อนพลังแห่งวิหคทั้งสี่》, 《เคล็ดชักนำพลังเสริมสมรรถนะให้เหนือสามัญ》, และ 《ศาสตร์จำแลงสัตว์เพื่อเสริมพลังปราณ》—แต่ละเล่มล้วนมีชื่อเรียกต่างกัน
《พงศาวดารตำนานจอมกระบี่》เริ่มต้นขึ้นในอีกสิบปีข้างหน้า อาจเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานี้ “สัตตเทวชักนำพลัง” ยังมิได้ถูกบัญญัติขึ้นอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าอาจเป็นเพียงร่างต้นแบบ หรือเป็นตัวทดลองก็เป็นได้
“คุณชายซื้อทั้งหมดไปเลยไม่ได้หรือ?” ไป๋เย่ถามขึ้น
“เงินที่ข้ามี ซื้อได้เพียงสองเล่มเท่านั้น”
เพราะฉะนั้น หากเลือกผิดไปก็แก้ตัวไม่ได้ อีกทั้งยังมิอาจขอคืนเงินได้อีก
เหตุที่พ่อค้าร้านค้าหลายแห่งยอมให้ข้าตรวจดูคัมภีร์โดยไม่ลังเล เป็นเพราะข้ามีสถานะเป็นบุตรชายของ “แม่ทัพพยัคฆ์เวหา” อีกทั้งยังมีไป๋เย่ติดตามอยู่ข้างกาย แต่หากข้ากล่าววิพากษ์วิจารณ์สินค้าโดยไม่ระวัง ก็ย่อมทำให้วงศ์ตระกูลต้องมัวหมอง
หากเลือกผิด ก็คงทำได้เพียงสะสมเงินใหม่ แล้วกลับมาซื้ออีกครั้งเท่านั้น
“ลองสำรวจอีกครั้งแล้วกัน ครานี้เริ่มจากร้านแผงลอยก่อน”
ข้านำไป๋เย่ย้อนกลับไปยังแผงลอยที่แวะไปก่อนหน้านี้
ร้านนี้เป็นของพ่อค้าเร่ที่เดินทางมาจากแดนไกล ของที่วางขายกระจัดกระจายอยู่บนเสื่อ ตั้งแต่หนังสัตว์ เสื้อคลุม เครื่องประดับ ไปจนถึงคัมภีร์ พ่อค้าเจ้าของร้านนั่งพิงสัมภาระขนาดใหญ่ สวมเสื้อคลุมหนาท่าทางเหมือนผู้คนจากแคว้นเหนือ
“ขอเราชมคัมภีร์อีกครั้งหน่อยสิ”
ไป๋เย่กล่าวแทนข้า
พ่อค้าเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย สายตาจับจ้องมาที่ข้า ก่อนจะกล่าวว่า
“เป็นคุณชายเมื่อครู่นี่เอง เชิญตรวจสอบได้เลย แต่เพียงบทนำเท่านั้นนะ เราก็ต้องทำมาหากินเช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว”
เมื่อข้าพยักหน้าตอบรับ พ่อค้าก็พลิกคัมภีร์ออกกางบนเสื่อเบื้องหน้า
『──ศาสตร์จำแลงสัตว์เพื่อเสริมพลังปราณ
เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ดึงพลังจากฟ้าดินเข้าสู่ร่างกาย เปลี่ยนแปลงร่างกายและจิตใจผู้ใช้ให้เป็นเยี่ยงสัตว์…』
ข้ายังอ่านได้เพียงเท่านั้น พ่อค้าก็ปิดคัมภีร์ลงเสียแล้ว
…นี่จะใช่ “สัตตเทวชักนำพลัง” จริงหรือไม่นะ?
คัมภีร์อีกสามเล่มขายอยู่ในร้านค้าที่มั่นคงถาวร ดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ทว่า ของที่ขายอยู่ในร้านใหญ่เหล่านั้นก็อาจเป็นของที่ไม่มีใครต้องการเช่นกัน มิฉะนั้นไยจึงยังขายไม่ออก?
ควรเลือกอย่างไรดี?
“คุณชาย คัมภีร์เป็นของมีค่ามาก ควรซื้อจากร้านที่มีหลักแหล่งจะดีกว่านะ” ไป๋เย่แนะนำ
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
“ร้านนี้ขายของมั่วซั่วสะเปะสะปะ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ คัมภีร์ ล้วนปะปนกันไป สิ่งที่ขายในที่เช่นนี้จะเชื่อถือได้หรือ?”
“…เครื่องประดับ?”
ข้าหันไปมองมุมหนึ่งของเสื่อทันที มีบางสิ่งสะท้อนแสงแดดอยู่ในกองสินค้า—
“นั่นคือปิ่นปักผม ลวดลายเป็นดอกไม้ทางเหนือน่ะ”
พ่อค้าหยิบขึ้นมาให้ข้าดูใกล้ขึ้น
“นี่คือ ‘เซวี่ยหยวนฮวา’ ดอกไม้หายากที่บานเฉพาะในเมืองถานเยว่ของแคว้นเหนือ เมื่อมันผลิบาน ชาวเมืองจะเฉลิมฉลองต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ปิ่นปักผมชิ้นนี้เป็นผลงานของช่างมือเอก มีเพียงชิ้นเดียว ท่านสนใจหรือไม่?”
“ราคาเท่าใดหรือ?”
พ่อค้ากล่าวราคาที่สูงกว่าคัมภีร์ “สัตตเทวชักนำพลัง” เล็กน้อย หากข้าซื้อปิ่นนี้ ก็จะไม่สามารถซื้อคัมภีร์ได้
ไป๋เย่ช่วยตรวจสอบ แล้วบอกว่า “เป็นของดีเกินคาด” มันเป็นของล้ำค่าจริง ๆ สินะ
ปิ่นนี้เหมาะกับ ซิงเล่ย อย่างยิ่ง…
ข้านึกถึงคำของท่านแม่ นางเคยกล่าวว่าเมื่อ ‘เซวี่ยหยวนฮวา’ บานที่ถานเยว่ เมืองทั้งเมืองจะร่วมเฉลิมฉลอง
หากข้ามอบมันให้ซิงเล่ย นางจะดีใจหรือไม่นะ…?
…แต่เงินเก็บของข้ามีไว้เพื่อความอยู่รอด หากข้าล่าช้าในการฝึกฝน ก็เท่ากับลดโอกาสรอดชีวิตของตนเองลง
ข้าจึงตัดสินใจได้
“ข้าจะซื้อของกับเจ้า”
ข้ากล่าวกับพ่อค้า
“แต่ขอข้าเจรจาต่อรองราคาก่อน ท่านเองเป็นพ่อค้าเร่ คงอยากลดสัมภาระให้เบาบางลงบ้างเสีย ข้าจึงมีข้อเสนอแก่เจ้า”
MANGA DISCUSSION