หลังจากกลับมาที่เมืองเป่ยหลิน การเตรียมตัวเดินทางก็ยังคงดำเนินต่อไป
สิ่งของที่จำเป็นในการเดินทาง ล้วนเป็นท่านเหลียวหยวนที่จัดหาไว้ให้
คณะทูตที่พาแม่ของเสี่ยวหวงกลับบ้าน เป็นตัวแทนทางการของแคว้นโซมะ
ด้วยเหตุนี้ คนสนิทของท่านเหลียวหยวนจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตหลัก
ส่วนข้าก็อยู่ในฐานะผู้ติดตามของเขา
เสี่ยวหวง แม่ของเสี่ยวหวง และข้าด้วย ล้วนไปกล่าวลาแก่ท่านเหลียวหยวน
แม่ของเสี่ยวหวงที่รู้ว่าจะได้กลับบ้านถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ที่พักของอาจารย์เหลยกวงกลายเป็นที่ร้างไร้ผู้คน
แต่สัมภาระและตำราต่างๆ ยังคงอยู่ครบ จึงเชื่อว่าอาจารย์ยังตั้งใจจะกลับมาเป่ยหลิน
ข้าตัดสินใจจะเชื่อใจอาจารย์และรออยู่ที่นี่
ส่วนซิงเล่ยก็ยังคงฝึกวิชานำปราณร่างอสูรต่อไป
ข้าถามถึงเรื่องที่นางเคยพูดไว้ก่อนหน้า เรื่อง “การชักนำพลังสัตว์เทพในสภาพที่ใกล้เคียงกับสัตว์” นางกล่าวว่า “ต้องรอให้พี่ชายกลับมาก่อน แล้วค่อยเตรียมตัวให้พร้อม”
พวกเราจึงฝึกวิชานี้กันต่อไปตามเดิม… แต่ในระหว่างฝึก ข้าก็เริ่มรู้สึกว่า ระยะห่างระหว่างเราสั้นลงมาก จนไหล่แนบชิด ลมหายใจกระทบกัน
ซิงเล่ยบอกว่า “ทำแบบนี้แล้วรู้สึกว่าพลังภายในไหลเวียนดีขึ้น”
…ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก
หลังจากฝึกเสร็จ ซิงเล่ยก็พูดเพียงน้อยคำก่อนจะกลับเข้าห้อง
นางกอดอก ใบหน้าแดงระเรื่อ
แม้อย่างนั้น พอเช้ามา นางก็กลับมาหาข้าและฝึกด้วยกันอีกครั้ง
…เรื่องของเด็กสาวในวัยนี้ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ป้อมทิศเหนือก็คลี่คลายลงแล้ว
เผ่าจิ่นจิ้งก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลยนับตั้งแต่นั้น
จดหมายจากท่านพ่อและท่านพี่ส่งมาสม่ำเสมอ พวกเราทุกคน—ข้า ซิงเล่ย ท่านแม่อวี่ซื่อ และไป๋เย่ชอบอ่านด้วยกันเสมอ
วันเวลาผ่านไปอย่างสงบ…
และในการเตรียมตัวเดินทางสู่แคว้นโซมะ วันหนึ่ง—
——ข้าฝัน
“หยุดนะ ซิงเล่ย! อย่าเปิดประตูนั้น!!”
เมืองเป่ยหลินกำลังลุกไหม้
รอบพระราชวัง เต็มไปด้วยเสียงตะโกนของเหล่าวีรบุรุษ
“สังหารฮ่องเต้ชั่ว หลางเหยียน!!”
“ตัดหัวขุนนางอุบาทว์ หวงเทียนฟาง!!”
“เพื่อประชาราษฎร์แห่งใต้หล้า! และจบความทุกข์แคว้นหลานเหอเสียที!!”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากทั่วสารทิศ
แต่พวกเขาไม่รู้เรื่องเลย
ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชักใย
ไม่รู้แม้แต่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้แคว้นหลานเหอล่มสลาย
“ฝ่าบาท! แม้จะออกศึกตอนนี้ก็ไร้ความหมายแล้ว! โปรดหลบหนีเถิด!”
ฮ่องเต่้หลางเหยียนแห่งแคว้นหลานเหอ สวมเกราะสีแดงเข้ม กำลังจะก้าวออกจากพระราชวัง
ทำไมเพิ่งจะเคลื่อนไหวตอนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีโอกาสมากมาย
ฮ่องเต้ผู้หวาดกลัวเผ่าจิ่นจิ้งจนปิดบังรายงานจากแดนเหนือมาตลอด ทำไมถึงเพิ่งลุกขึ้นยืนในตอนนี้
“ภรรยาของข้า หวาดผวาอย่างหนัก”
หลางเหยียนหันมามองข้า
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่พระองค์มีสายตาเย็นชาเช่นนี้
ในวัยหนุ่ม พระองค์เคยมีแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง แม้จะมีนิสัยใจร้อนก็ตาม
“พวกมันคือคนเลวทรามที่ทำให้ภรรยาข้าหวาดกลัว ข้าจำต้องกำจัดพวกมัน”
“ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วขอรับ! ขอทรงหนีออกไป ตั้งหลักใหม่เถิด!”
“ข้าขอถาม! หากข้าหลบหนี จะมีเหล่าทหารติดตามไปกี่คนกัน!?”
“นั่นมัน…”
อาจไม่ถึงยี่สิบคนที่พร้อมจะตามเสด็จหลบหนี
แถมยังมีบางคนอาจคิดทรยศ หวังตัดหัวราชาเพื่อแลกกับรางวัลจากศัตรู
พวกเขาก็รู้อยู่เต็มอก
(──ข้าผิดพลาดที่ใดกันแน่)
มีผู้ปลุกปั่นมวลชน
สิ่งนั้นเองที่เรียกหาการก่อกบฏและการรุกรานจากเผ่าจิ่นจิ้ง
ทางเดียวที่เหลือคือการกำราบด้วยกำลัง
แต่ผู้อยู่เบื้องหลังกลับไม่เคยถูกจับได้ ความโกรธแค้นของราษฎรก็ยิ่งเพิ่มพูน
ข้าพยายามขอความร่วมมือจากแคว้นโซมะ แต่ก็สายไปแล้ว
กษัตริย์โซมะโกรธแค้นต่อการเสียมารยาทซ้ำซากของกษัตริย์หลานเหอ
จึงปฏิเสธคำขอ
ไม่สิ… สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างพังพินาศ น่าจะเป็นพระมเหสี ‘หลิวซิงเล่ย’ ต่างหาก
หากนางไม่บิดเบี้ยวไปเสียก่อน ราชาก็คงไม่หลงทางเช่นนี้
“อีกไม่นาน ทวีปนี้จะถูกสี่อสูรกลืนกินจนหมดสิ้น”
ราชาหลางเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา
“ในโลกเช่นนั้น ต่อให้รอดชีวิตไป ก็ไร้ความหมาย”
“โปรดลืมเรื่อง ‘สี่อสูร’ เถิด! ตอนนี้ต้องรีบหลบหนี—”
“เจ้าทำดีแล้ว”
น้ำเสียงเขาอ่อนโยนเหลือเชื่อ
แม้กำลังจะมุ่งหน้าเข้าสู่แดนมรณะ ก็ยังคงสงบนิ่ง
“วายร้ายแห่งใต้หล้า เจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมได้อีกต่อไป หวังใดๆ ก็ไม่เหลือ”
“……พลังของข้า ยังไม่พอจริงๆ”
“ข้าอยากให้เจ้าหนีไป… แต่คงเป็นไปไม่ได้ ชะตากรรมนั้นมาถึงเสียแล้ว”
เสียงการต่อสู้ใกล้เข้ามา
ศัตรูคงบุกเข้ามาถึงพระราชวังแล้ว
ประตูห้องบัลลังก์ถูกถีบเปิดออก เหล่าผู้ถือดาบเปื้อนเลือดก้าวเข้ามา พวกเขาคือ ‘วีรบุรุษ’ ที่รวมพลผู้คนและนำหายนะมาสู่แคว้นหลานเหอ
“เจอแล้ว! ราชาชั่ว! และวายร้ายอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า!!”
ชายผมสีเทาตะโกน
เสียงโห่ร้องจากภายนอกดังกระหึ่ม
วีรบุรุษเหล่านั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ผู้นำของกลุ่มคือชายหนุ่มผมสีเทาถือดาบ
ข้างกายเขาคือชายรูปร่างผอมบาง ผู้เป็นมือขวาคู่ใจ
พวกเขาคือหัวหน้ากองทัพ ‘วีรบุรุษ’
“องค์ราชา! ขอทรงหลบหนีเถิด!!”
ชายคนนั้น… ยกมีดสั้นขึ้น ปกป้องราชา
ใครบางคนจำต้องรอด เพื่อถ่ายทอดความจริงว่ามีใครอยู่เบื้องหลังการล่มสลายของแคว้นนี้
เขาไม่มีวิทยายุทธ์ ไม่มีพลังภายใน
แต่ในฐานะผู้ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนี้ได้ เขาต้องรับผิดชอบ
ตอนนี้ มีเพียงใช้ร่างกายขวางศัตรู เพื่อซื้อเวลา
เขาพุ่งออกไป มีดสั้นในมือมุ่งหน้าใส่เหล่าวีรบุรุษ
“ยังกลัวตายอีกหรือ! รู้ไหมว่ามีประชาชนเท่าไรที่ต้องทนทุกข์เพราะเจ้า!!”
ข้ารู้ดี ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
…หากจะหยุดความหายนะนี้ได้…
“เจ้ามันไร้ค่ายิ่งกว่าขยะ!!”
แรงกระแทกสาดเข้ามา
มีดสั้นร่วงจากมือ ร่างทรุดลง สติเลือนราง
แล้วสิ่งสุดท้ายที่ได้ยิน คือ——
“หวงเทียนฟาง! เจ้าจะต้องรับโทษทัณฑ์ต่อหน้าประชาชน!!”
——เสียงโห่ร้องยินดีของวีรบุรุษ ที่จับผู้ร้ายอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าได้สำเร็จ
“…ฝันเหรอ”
เมื่อข้าลืมตา ก็พบว่าตนอยู่ในห้องของตนเอง
ข้ารีบลูบร่างเพื่อแน่ใจว่าตนยังมีชีวิตอยู่
“…เมื่อครู่นี้ มันคือฝัน…ใช่ไหม”
สมจริงมาก
เหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง
ในฝัน ข้าอยู่ในพระราชวัง
เห็นเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ และแผ่นหลังของซิงเล่ยที่ห่างออกไปเรื่อยๆ
จากนั้น วีรบุรุษก็พังประตูเข้ามา—พร้อมกับราชาหลานเหอ—และ ‘หวงเทียนฟาง’ ผู้ร้ายอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า—
“…แค่ก!?”
คลื่นในอกพุ่งขึ้นมาจนต้องเอามือปิดปาก
ฉากนั้น ข้าจำได้
มันคือฉากสุดท้ายของ พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ ตอนที่วีรบุรุษบุกพระราชวังเป่ยหลิน
ในเกม ข้าเคยเห็นฉากนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพราะอย่างนั้นหรือ ข้าถึงฝันมันออกมา?
…แน่ใจหรือ?
“แต่ว่า… หวงเทียนฟางในฝันนั้น…”
เขาไม่เหมือนคนเลวเลย
แม้จะทำทุกทางแล้วแต่ก็ไม่อาจปกป้องแคว้นไว้ได้ เขาเจ็บปวดกับสิ่งนั้น
แม้ไม่มีน้ำตา แต่ดูเหมือนจะร้องไห้กู่ก้องอยู่ภายใน
…ข้าไม่แน่ใจอีกแล้ว
หวงเทียนฟางใน พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ เป็นคนเลวจริงๆ หรือ?
แล้ว ‘สี่อสูร’ ที่ราชาหลานเหอกล่าวถึงนั้น คืออะไรกันแน่?
ข้ารู้ว่าในตำนานจีนมีเทพที่ชื่อว่า ‘สี่อสูร’ จริง
แต่ในเกมนั้นไม่เคยมีสิ่งนี้เลย
หรือหมายถึงภัยธรรมชาติ ความอดอยาก อะไรแบบนั้น?
…หรือบางที อาจมี ‘สี่อสูร’ อยู่จริงๆ?
“…แค่เป็นความฝัน…ก็คงจะดี”
ข้าหลับตาลงอีกครั้ง ทว่าความง่วงกลับไม่มาเยือน
สุดท้าย ข้าก็ไม่ได้นอนแม้แต่ชั่วยามเดียว จนกระทั่งเช้าก็มาเยือน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนึ่งเดือนถัดมา
ข้าและเสี่ยวหวงก็ออกเดินทางสู่แคว้นโซมะ
ระยะทางสู่เมืองหลวงใช้เวลาร่วมสิบกว่าวัน
เป็นการเดินทางแบบสบายๆ แวะพักตามโรงเตี๊ยมตลอดทาง
ระหว่างเดินทาง ข้ากับเสี่ยวหวงแทบไม่ได้พูดอะไรกัน
เพราะแม่ของนาง อยากใช้เวลาร่วมกับลูกสาว
แม่ของเสี่ยวหวงมีสีหน้าร่าเริงมาก
ดูเหมือนจะดีใจมากที่ได้กลับบ้าน
นางมองทุกสิ่งด้วยแววตาเป็นประกาย และพูดคุยกับเสี่ยวหวงอย่างสนุกสนาน
เสี่ยวหวงเองก็ดูมีความสุข
แต่พอตะวันตกดิน เสี่ยวหวงก็มาหาข้าที่ห้อง และปรึกษาเรื่องแม่ของนาง
ดูเหมือนว่านางจะเป็นห่วงว่า แม่ของนางจะได้รับการปฏิบัติแบบไหนเมื่อกลับถึงบ้าน
เสี่ยวหวงจากแคว้นโซมะมานานกว่า 1 ปี
และกษัตริย์โซมะก็มีสนมอื่นอีกมาก
นางจึงกลัวว่าแม่ของนางจะถูกปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสม
“ข้าก็รู้นะว่าคงไม่มีอะไรหรอก ก็ในเมื่อท่านราชาแห่งหลานเหอกับท่านเหลียวหยวนส่งหนังสือขอบคุณไปให้แล้ว”
จดหมายนั้นกล่าวชัดว่า ‘เสี่ยวหวงฮวาแห่งแคว้นโซมะ ได้สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ในช่วงที่พำนักอยู่ที่แคว้นหลานเหอ’
ตามที่เขียน เสี่ยวหวงช่วยชีวิตองค์ชายรัชทายาทหลางเหยียนไว้
แคว้นหลานเหอเป็นมหาอำนาจ
การได้รับจดหมายขอบคุณจากทั้งกษัตริย์และพระอนุชา มีความหมายอย่างยิ่ง
มันช่วยให้แคว้นโซมะมีพันธมิตรอย่างแคว้นหลานเหอ
จะให้ปฏิบัติต่อผู้ที่เป็นสาเหตุของพันธมิตรเช่นนั้นอย่างดูแคลนย่อมไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ของนาง
“ข้าก็รู้แหละ แต่ก็อดไม่ได้นี่นา ขอโทษนะ เทียนฟาง”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็ทำได้แค่รับฟังเท่านั้น”
“บางครั้ง… แค่นั้นก็สำคัญแล้วล่ะ”
หลังจากพูดคุยกัน เสี่ยวหวงก็ฝึกชักนำพลังกับข้า แล้วจึงกลับห้องของนางไป
——การเดินทางของเรายังดำเนินต่อไป…
____________________
จบบทที่ 1 ครับ
MANGA DISCUSSION