— มุมมองของเทียนฟาง —
หลังจากการต่อสู้จบลง ข้ากับพี่เสี่ยวหวงก็เข้ามาในป้อมปราการทางเหนือ
พี่ชายกับองค์รัชทายาทหลางเหยียนก็มาด้วย
องค์รัชทายาทดูซึมเซา
นั่นก็ไม่แปลก เพราะเขาเพิ่งสูญเสียคนของหน่วยกองหมาป่าไปกว่าครึ่ง
ทหารของพี่ชายก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต
เพราะพวกเขาไหวตัวทันว่าหมอนั่น—เซิงไท่เจี่ย—เป็นศัตรูอันตราย จึงเลือกจะตั้งรับ
ทหารของพี่ชายและกองหมาป่า พากันไล่ล่าเซิงไท่เจี่ยที่บาดเจ็บ
แต่ก็ไม่สามารถจับตัวมันไว้ได้ หมอนั่นใช้แค่แขนซ้ายก็ยังต้านทหารทั้งหมดได้
เป็นตัวละครที่บ้าบอเกินคาดจริงๆ
ท้ายที่สุด กองหมาป่าก็มีคนบาดเจ็บสาหัสหลายราย
ทหารของพี่ชายทำได้แค่เก็บพวกเขากลับมา
หลังจากเข้ามาในป้อม ข้ากับเสี่ยวหวงก็รอการกลับมาของท่านพ่อ
ส่วนพี่ชายก็รีบกลับไปทำงานต่อ
เขารับหน้าที่บัญชาการทหารในฐานะตัวแทนของท่านพ่อที่ออกนำทัพไป
ทหารทั้งหลายมองพี่ชายด้วยสายตาเร่าร้อน
การที่เขาออกรบปกป้ององค์รัชทายาท ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้น
องค์รัชทายาทกลับปิดประตูเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
แม้ทหารจะเอาอาหารมาให้ เขาก็ไม่ยอมเปิดประตู
แต่จานอาหารกลับว่างเปล่าอย่างลึกลับ แสดงว่าเขาก็ยังรับประทานอยู่
ตลอดทางก่อนมาถึงป้อม เขาพูดอยู่ประโยคเดียว…
“…ข้า… ไม่ใช่ ‘รัชทายาทอัปมงคล’ หรอกนะ…”
…“รัชทายาทอัปมงคล” งั้นหรือ? เพิ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก
แม้แต่ใน พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ ก็ไม่เคยมีกล่าวถึง
ข้าอยากถามให้แน่ใจ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่ในสภาพจะสนทนาได้
เลยหันไปถามพี่ชายแทน
“ตอนที่องค์รัชทายาทประสูติ มีดาวอัปมงคลปรากฏบนฟ้า”
พี่ชายเล่าอย่างลังเล
“นักปราชญ์บางคนกล่าวว่า ‘บางทีองค์รัชทายาทอาจถือกำเนิดมาพร้อมดวงดาวอัปมงคล’
‘ในรัชสมัยของพระองค์ แคว้นหลานเหออาจต้องสั่นคลอน’
พระองค์ทรงใส่พระทัยเรื่องนี้มาก”
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พระองค์พยายามลบล้างข่าวลือ
พยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าตนมีความสามารถในการปกครองและปกป้องแคว้นสินะ
ที่เขานำกองหมาป่า มายังป้อมทางเหนือก็คงด้วยเหตุนี้
เพราะอย่างนั้น ข้าจึงอยู่เคียงข้างเขา
แม้จะเป็นคนซื่อๆ แต่เขาคิดถึงแผ่นดินอยู่ตลอดเวลา
ขอให้เทียนฟางเข้าใจในจุดนี้ด้วย—พี่ชายว่าเช่นนั้น
…เข้าใจแล้ว
นี่แหละ ความหมายของ “รัชทายาทอัปมงคล”
ในเกม ช่วงที่หลางเหยียนขึ้นเป็นกษัตริย์ แคว้นหลานเหอก็ล่มสลาย
คงเพราะแบบนั้น โลกนี้จึงมีลางร้ายปรากฏขึ้นจริง
และกลายเป็นแรงกดดันต่อองค์รัชทายาท… น่าสงสารอยู่เหมือนกันนะ
แต่เขาก็ทำตัวบ้าบิ่นเกินไป
การออกหน้าสู้กับเซิงไท่เจี่ย ไม่ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทต้องทำเลย
การกระทำนั้นทำให้กำลังพลกระจัดกระจาย
พี่ชายต้องคอยปกป้องทั้งองค์รัชทายาทและชาวบ้าน
หากเลือกตั้งรับเพียงอย่างเดียว
ต่อให้ไม่สามารถจัดการเซิงไท่เจี่ยได้ ก็ยังสามารถขับไล่พวกสมุนของมันได้
ถ้ามันเหลือตัวคนเดียว เซิงไท่เจี่ยก็ไม่มีทางเลือกนอกจากถอนทัพ
แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะองค์รัชทายาทเลือกออกหน้า
จึงมีผู้เสียสละในหมู่กองหมาป่า
…สักวัน ข้าหวังว่าจะได้คุยกับองค์รัชทายาท
ไม่ต้องพูดเรื่องเกิดใหม่หรืออะไรทั้งนั้น
แค่คุยถึงอนาคตของแคว้นหลานเหอ… ถ้ามีโอกาสแบบนั้นได้ก็คงดี
“พอท่านพ่อกลับมาเมื่อไร จะส่งองค์รัชทายาทกลับไปที่เป่ยหลินทันที”
พี่ชายกล่าวหลังจากพูดคุยเรื่ององค์รัชทายาท
สุดท้าย เราก็ตัดสินใจปล่อยให้เขาได้พักสงบใจสักระยะ
หลังจากเข้ามาในป้อม ข้ากับเสี่ยวหวงก็แทบไม่ได้ออกจากห้อง
เพราะถ้าออกไปเมื่อไร คนก็จะแห่กันเข้ามาจนวุ่นวาย
เรื่องที่เราขับไล่เซิงไท่เจี่ยได้แพร่กระจายไปทั่วในหมู่ทหาร
ศัตรูผู้นั้นบุกเข้ามาในแคว้นหลานเหอหลายครั้งด้วยกำลังน้อยนิด แต่ก็สร้างความเสียหายมหาศาล
การที่พวกเราขับไล่มันไปได้ แถมยังจับทหารศัตรูกับเอี้ยนกุ้ยกลับมาได้ด้วย ทำให้ชื่อเสียงกระฉ่อนไปหมด
แต่ข้าไม่อยากโดดเด่นมาก
ถ้าเด่นเกินไป อาจเข้าสู่ “ฉากจบหายนะของหวงเทียนฟาง” ก็ได้
การสู้กับเซิงไท่เจี่ยเป็นแค่ทางหนีฉุกเฉินเพื่อช่วยพี่ชาย
เมื่อจบเรื่องแล้ว ข้าก็แค่อยากใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ
เป้าหมายของข้าคือการใช้ชีวิตเรียบง่ายในท้องถิ่นไปจนกว่ากลียุคจะจบลง
“ข้าก็ไม่อยากเป็นจุดสนใจเท่าไรเหมือนกัน”
เสี่ยวหวงว่าเช่นนั้นขณะที่อยู่ในห้องของข้า
“ช่วงนี้ข้าเริ่มดูเหมือนผู้หญิงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าออกไปต่อหน้าคนมากๆ อาจโดนจับได้ก็ได้
เพราะงั้น ข้าจะอยู่ข้างๆ เทียนฟาง”
“ก็คงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วล่ะขอรับ”
อย่างน้อย เราก็ทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว
เราได้รับจดหมายที่เหลียวหยวนฝากไว้ และส่งสำเนาไปให้ท่านพ่อด้วยนกพิราบของซิงเล่ย หลังจากท่านพ่อกลับมา ก็คงจะมอบต้นฉบับให้
นอกจากนี้ เสี่ยวหวงยังช่วยชีวิตองค์รัชทายาทไว้ได้ด้วย
ความชอบตรงนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย
แม่ของนางต้องได้กลับไปแคว้นโซมะแน่นอน
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ท่านพ่อก็กลับมาที่ป้อมพอดี
“ลำบากกันมามากแล้วสินะ…ไห่เหลียง, เทียนฟาง และ…เอ่อ คนที่เป็นศิษย์พี่ของเทียนฟางงั้นสินะ”
“ข้าชื่อชุ่ยฮวาหยาง ขอรับ ท่านแม่ทัพพยัคฆ์เวหา หวงอิ๋งเซิน”
ข้า พี่เสี่ยวหวง และพี่ชาย ถูกเรียกตัวมารวมกันในห้องทำงานของท่านพ่อ
“งั้นก็รายงานมาเถอะ ไห่เหลียง”
“ขอรับ ข้าหวงไห่เหลียง ขอรายงานต่อท่านแม่ทัพพยัคฆ์เวหา──”
จากนั้นพี่ใหญ่ก็เริ่มต้นการรายงาน
“──ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ จำนวนเชลยศึกของเผ่าจิ่นจิ้งประมาณสิบกว่าคน นอกจากนี้ยังมีผู้หนึ่งชื่อ ‘เอี้ยนกุ้ย’ อยู่ด้วย”
“ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวซิงเล่ยนั่นเองสินะ?”
ท่านพ่อหันมามองข้า
ข้าประสานมือคำนับก่อนจะตอบว่า
“ใช่ขอรับ ข้าเดาว่าครอบครัวสกุลหลิวอาจถูกจู่โจมโดยเผ่าจิ่นจิ้งเพราะมีคนส่งข่าวให้พวกมันก็ได้ และเจ้าคนนั้นก็รู้ด้วยว่าองค์รัชทายาทอยู่ทางเหนือ”
“ก็พอมีเหตุผลอยู่ การจะได้ข้อมูลขององค์รัชทายาท…ก็คงไม่ใช่เรื่องยากนัก”
ท่านพ่อลูบเคราแล้วว่า
“องค์รัชทายาทโปรดปรานความโอ่อ่า ตอนเสด็จออกจากเป่ยหลินก็มีทหารส่งเสด็จมากมายเชียวล่ะ”
…ก็เข้าใจได้นะ เพราะนี่เป็นการออกศึกครั้งแรกของรัชทายาท คงอยากให้ดูยิ่งใหญ่ไว้ก่อน
และไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าเผ่าจิ่นจิ้งจะเจาะจงเล่นงานองค์รัชทายาทได้ขนาดนั้น
เพราะมีเซิงไท่เจี่ยอยู่แผนนั้นจึงสำเร็จได้ต่างหาก
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้องค์รัชทายาทก็ปลอดภัยแล้ว เราเองก็สามารถขับไล่เผ่าจิ่นจิ้งออกไปได้ ดินแดนทางเหนือคงสงบสุขไปอีกระยะ ไห่เหลี่ยง, เทียนฟาง, แล้วก็ชุ่ยฮวาหยาง ขอขอบใจพวกเจ้ามาก!”
““ขอรับ ท่านพ่อ!””
“ขอบพระคุณมากขอรับ ท่านแม่ทัพพยัคฆ์เวหา”
“องค์รัชทายาทจะถูกส่งกลับเป่ยหลินในทันที แน่นอนว่าจะมีองครักษ์คุ้มกันไปด้วย พวกเทียนฟางก็ไปด้วยเถอะ”
“ขอรับ”
“ส่วนไห่เหลียง เจ้าพักผ่อนไปก่อนเถอะ คงฝืนมากเพื่อปกป้ององค์รัชทายาทใช่ไหม”
“ไม่ถึงกับขนาดนั้นหรอกขอรับ อีกอย่าง──”
พี่ใหญ่หันมามองข้าแล้วยิ้มน้อยๆ อย่างเหนื่อยล้า
“นี่เป็นชีวิตที่เทียนฟางช่วยไว้ ข้าจะทำให้สูญเปล่าไม่ได้”
“เพราะมันเป็นชีวิตที่สำคัญ ข้าถึงได้ทุ่มสุดตัวไปช่วยไว้ขอรับ”
ข้าตอบกลับไป
“ขอให้พี่ใหญ่ถนอมตนไว้ด้วย ท่านเป็นคนที่แคว้นหลานเหอขาดไม่ได้”
“ฮะๆ ข้ารู้ตัวดี”
“…น่าอิจฉาจังนะ”
เสียงเอ่ยเบาๆ จากเสี่ยวหวง
“ได้เห็นพี่น้องรักใคร่กันอย่างนี้ น่าอิจฉาจริงๆ”
“ศิษย์พี่?”
“อะ…ขะ ขอโทษขอรับ!”
เสี่ยวหวงรีบประสานมือคำนับท่านพ่อด้วยความลนลาน
ท่านพ่อหัวเราะเบาๆ แล้วว่า
“ไม่เป็นไรหรอก เอาล่ะ ไห่เหลียง เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ส่วนข้าจะคุยกับเทียนฟางกับท่านชุ่ยฮวาหยางต่อ”
“รับทราบ เช่นนั้นข้าขอลาท่านพ่อก่อน”
พี่ชายคำนับแล้วออกจากห้องไป
ภายในห้องเหลือเพียงข้า พี่เสี่ยวหวง และท่านพ่อสามคน
“ก่อนจะออกจากเป่ยหลิน ท่านเหลยกวงฝากของบางอย่างไว้กับข้า อย่างแรกคือจดหมายถึงท่านชุ่ยฮวาหยาง”
“ขะ…ขอบพระคุณขอรับ”
เสี่ยวหวงรับจดหมายมา
นางเปิดอ่านอยู่ครู่หนึ่ง แล้ว──
“ท่านเหลียวหยวนจัดการให้ท่านแม่ของข้ากลับแคว้นโซมะไว้แล้ว…เหรอขอรับ? แล้วข้าเองก็จะได้กลับไปบ้านเกิดด้วยสักครั้ง?”
“ท่านเหลยกวงกล่าวว่า ‘การที่ชุ่ยฮวาหยางออกไปทำหน้าที่เสี่ยงอันตรายเพื่อแคว้นหลานเหอ ท่านเหลียวหยวนให้ความชื่นชมเป็นอย่างมากเลยล่ะ'”
“…ท่านอาจารย์…”
เสี่ยวหวงกอดจดหมายนั้น น้ำตาคลอเบ้า
สมแล้วที่เป็นท่านอาจารย์และท่านเหลียวหยวน
รีบจัดการให้แม่ของพี่เสี่ยวหวงสามารถเดินทางกลับบ้านได้ทันที
“ท่านเหลียวหยวนและท่านเหลยกวงกล่าวว่า อยากให้เทียนฟางเดินทางไปแคว้นโซมะในฐานะผู้ติดตามด้วย ข้าเองก็เห็นด้วย เจ้าจะว่ายังไง เทียนฟาง”
“ข้าไปกับศิษย์พี่ด้วยหรือขอรับ?”
ข้าตกใจไม่น้อย
เสี่ยวหวงกับแม่จะกลับแคว้นโซมะ อันนั้นข้าเข้าใจได้
แต่ข้าต้องไปด้วยนี่สิ…ไม่เคยคิดมาก่อนเลย
“……อื้ม ถ้าเทียนฟางไปด้วย ข้าคงดีใจมาก”
เสี่ยวหวงกอดจดหมายแน่น
“ข้าอยากให้เทียนฟางได้เห็นบ้านเกิดของข้าด้วย”
“…เข้าใจแล้วขอรับ”
ข้าพยักหน้า
“หากได้รับอนุญาตจากท่านพ่อ ข้าก็ยินดีเดินทางไปแคว้นโซมะด้วย”
“ดี นี่คือของที่ฝากไว้ให้เจ้าด้วย”
ท่านพ่อหยิบของอีกสองชิ้นออกมา เป็นจดหมาย และกล่องไม้ทรงยาว
“การเดินทางไปแคว้นโซมะครั้งนี้ ถือเป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการจากท่านเหลียวหยวน กล่องนี้คือรางวัลตอบแทน ส่วนจดหมายนั้น…ให้เจ้าอ่านคนเดียวเท่านั้น”
“ในกล่องคืออะไรหรือขอรับ?”
“เปิดดูสิ”
ข้าเอื้อมไปรับกล่องจากมือท่านพ่อ
มันเป็นกล่องไม้เก่าๆ ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ
ข้าแง้มกล่องออก──
“นี่มัน…กระบี่?”
“รายละเอียดอยู่ในจดหมายนั่น อ่านทีหลังก็แล้วกัน”
ท่านพ่อวางมือบนไหล่ข้า
“อย่างไรก็ตาม เทียนฟาง เจ้าคือผู้ที่ช่วยชีวิตข้ากับไห่เหลียงไว้ หากองค์รัชทายาทเป็นอะไรไป…ข้าคงต้องเอาชีวิตชดใช้ความผิดนั้น เจ้าหยุดเรื่องนั้นไว้ได้”
“ไม่ใช่เพราะข้าคนเดียวหรอกขอรับ มีศิษย์พี่อยู่ด้วยต่างหาก”
“อืม ท่านชุ่ยฮวาหยางก็ทำได้ดีมากเช่นกัน!”
“ขอบพระคุณขอรับ ท่านแม่ทัพพยัคฆ์เวหา”
“ตระกูลหวงเป็นหนี้บุญคุณท่านชุ่ยฮวาหยางแล้ว ข้าในฐานะนักรบ ขอสัญญาว่าจะตอบแทนอย่างแน่นอน”
ท่านพ่อพยักหน้า
“หากมีสิ่งใดที่ข้าพอช่วยได้ ก็ขอให้พูดออกมาเถอะ ข้าจะทำให้เต็มที่”
“……ขอแค่ ‘เต็มที่เท่าที่จะทำได้’ จริงหรือขอรับ?”
“อ-อืม ก็ใช่น่ะนะ ข้าเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนักหรอก”
“……เช่นนั้น ขอเวลา…ให้ข้าได้กลับไปพูดคุยกับท่านพ่อของข้าก่อนเถอะนะขอรับ”
เสี่ยวหวงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ไม่เป็นไรเลย เวลา…ยังมีอีกมากนัก”
“ขอบพระคุณขอรับ”
เสี่ยวหวงคุกเข่าลงทำความเคารพ
จากนั้นเราต่างก็กลับไปยังห้องของตน
เสี่ยวหวงกอดจดหมายไว้ ส่วนข้ากอดทั้งจดหมายและกล่องดาบกลับมาด้วย
…ท่านอาจารย์เหลยกวง ทำไมถึงมอบของแบบนี้ให้ข้านะ
แล้วยังเขียนไว้ด้วยว่าให้เปิดอ่านตอนอยู่คนเดียวอีก
ทั้งที่ข้าคิดว่ามีเสี่ยวหวงอยู่ด้วยก็ไม่น่าเป็นไรแท้ๆ
คิดเช่นนั้นพลาง ข้าก็กลับมาที่ห้อง แล้วเปิดจดหมายออกอ่าน
MANGA DISCUSSION