“อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย! ข้าพนันชีวิตไว้กับเจ้าแล้วนะ เจ้าชายเอ๊ย!!”
เสียงดังจากข้างหลัง
ศัตรูที่หลุดรอดจากพวกพี่ชายของเรา กำลังพุ่งเข้ามา มันกระตุกบังเหียนม้าแล้วกระโจนขึ้น
เสียงนี้…ใช่มันแน่ นักฆ่ามีดสั้นนามว่า เอี้ยนกุ้ย
“ศิษย์พี่!”
“เทียนฟาง!!”
ข้ากับพี่เสี่ยวหวงหันกลับไปพร้อมกัน แล้วสะบัดกระบี่เข้าใส่
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!?”
กระบี่ของเราทั้งสองข้าง ผ่าเรียวขาทั้งสองของเอี้ยนกุ้ยออกเป็นทางยาว เลือดทะลักพลุ่งพรั่ง เขาร่วงลงพื้นอย่างไม่อาจประคองตัวได้
แต่──
“ขอบใจมาก เอี้ยนกุ้ย”
เพียงเสี้ยวพริบตาแห่งความเผลอเรอ เซิงไทเจี่ย ก็อาศัยจังหวะนั้นหลบหนีไป
ข้ากับพี่เสี่ยวหวงกำลังจะไล่ตาม ทว่า──ก็มีมีดสั้นพุ่งมาจากข้างหลัง
ฉันปัดมันทิ้งและหันกลับไป──บนพื้นดิน เอี้ยนกุ้ยที่แนบตัวกับพื้นกำลังจ้องมองพวกเราด้วยแววตาเคียดแค้น
หมอนี่เองที่ปามีดนั้นมา
ยอมทิ้งตัวเองเพื่อช่วยให้เซิงไทเจี่ยหนีไปได้…เป็นมารร้ายที่มีน้ำใจไม่น้อย
“ไม่จริง…ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ได้…อาณาจักรหลานเหอต้องล่มสลายสิ…”
เขากัดฟันแน่น พึมพำทั้งที่มือยังกดขาไว้แน่น
“มันต้องล่มสลายสิ อาณาเขตของหลานเหอทั้งหมด ควรตกเป็นของชนเผ่าจิ่นจิ้ง พวกแกจะได้ซึ้งถึงความน่าสะพรึงเมื่อหันหลังให้เรา…”
“หลานเหอจะล่มสลายงั้นเหรอ?”
ข้าชี้กระบี่ไปยังเอี้ยนกุ้ยแล้วถาม
“เรื่องนั้นแกได้ยินมาจากไหน? ร่วมมือกับชนเผ่าจิ่นจิ้งเพราะไปเชื่อเรื่องไร้สาระพรรค์นี้งั้นเหรอ?”
เอี้ยนกุ้ยไม่ตอบ
เขาแค่จ้องข้าด้วยสายตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“คุณชายแห่งตระกูลหวง…ข้าควรจะฆ่าแกตั้งแต่ตอนนั้น!”
“ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับจิ่นจิ้ง ข้าก็คงยอมตายเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นเหมือนกัน”
ถ้าครอบครัวของซิงเล่ยถูกโจมตีโดยพวกจิ่นจิ้ง แล้วเอี้ยนกุ้ยเป็นพวกเดียวกันกับพวกมัน งั้นเขาเองก็คงมีส่วนร่วมในความตายของครอบครัวซิงเล่ยเช่นกัน
“พูดออกมาซะ รู้เรื่องอะไรบ้าง บอกมาทั้งหมด”
“………”
เอี้ยนกุ้ยเงียบสนิท ไม่ยอมปริปากอีก
ขาถูกฟันจนสาหัส วิชาตัวเบาที่ถนัดก็ใช้ไม่ได้อีกแล้ว
แม้เซิงไท่เจี่ยจะหนีไปได้ แต่เขาก็เสียแขนข้างถนัดไป
เขาไม่อาจสู้ได้เหมือนก่อนแน่นอน
เส้นทางจากนี้จึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปจาก พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ เราได้เบี่ยงออกจากเนื้อเรื่องเดิมแล้ว
“เทียนฟาง! เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า──!?”
เมื่อหันกลับไปก็เห็นพี่ชายกำลังมาถึง
เหล่าทหารของพี่ชายและกองหมาป่า กำลังควบม้าตามล่าเซิงไท่เจี่ยอยู่ อาจเพื่อปลิดชีพเขา หรืออาจจะเพื่อหาฐานบัญชาการของศัตรูก็เป็นได้
เซิงไท่เจี่ยบาดเจ็บสาหัส ถ้ารุมกันหลายคนก็คงจับได้แน่…น่าจะนะ
“อย่าหุนหันพลันแล่นนัก แต่ข้าขอบใจเจ้ามาก เทียนฟาง”
“ข้าไม่เป็นไรครับ…แต่ขอความกรุณารักษาเอี้ยนกุ้ยด้วย เขายังต้องให้ข้อมูลอีกมาก”
เมื่อข้าเอ่ย พี่ชายก็รีบเรียกหมอสนามมาทันที
ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องสืบจากเอี้ยนกุ้ย
พวกศัตรุลุกลามมาถึงไหนแล้ว ฐานอยู่ที่ใด เหตุใดพวกมันจึงรู้ว่ารัชทายาทอยู่ที่นี่ เอี้ยนกุ้ยร่วมมือกับพวกจิ่นจิ้งตั้งแต่เมื่อใด หรือมีองค์กรใดอยู่เบื้องหลังอีกหรือไม่
เรื่องสอบสวนขอฝากไว้กับพี่ชายก็แล้วกัน
“อีกอย่าง ข้าอยากยืนยันเรื่องหนึ่ง นั่นใช่นกพิราบของซิงเล่ยหรือเปล่า?”
ข้าชี้ไปยังทหารที่เป็นองครักษ์ขบวนพ่อค้า
ในกลุ่มนั้นมีคนหนึ่งถือกรงนก ที่ข้างในมีนกพิราบสีขาวอยู่
“เจ้ารู้ได้อย่างไร เทียนฟาง”
“ซิงเล่ยฝากนกตัวนั้นไว้กับพี่ชายใช่ไหมขอรับ? ที่ขามีท่อส่งเอกสารอยู่ด้วย คงเอาไว้ใช้ส่งข้อความยามฉุกเฉินสินะ?”
“ใช่ มันได้รับการฝึกมาอย่างดี จึงฝากไว้ให้ใช้ในยามคับขัน”
“ถ้าอย่างนั้น ข้ามีเรื่องขอร้อง…ในฐานะตัวแทนของ แม่ทัพพยัคฆ์เวหา ขออนุญาตใช้งานมันได้ไหมขอรับ?”
ข้าอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้พี่ชายฟัง
พี่ชายก็อนุญาตทันที
ข้ารีบยืมกระดาษกับหมึก แล้วเขียนจดหมายถึงแม่ทัพพยัคฆ์เวหา
จากนั้นจึงหันไปพูดกับนกพิราบของซิงเล่ย แล้วปล่อยมันออกจากกรง
…ขอให้ข้อมูลนี้ส่งถึงท่านพ่อด้วยเถอะ
“แค่นี้ภารกิจของพวกเราก็เสร็จสิ้นแล้วนะ”
“ใช่…แต่ร่างกายร้อนชะมัดเลย”
ข้ากับพี่เสี่ยวหวงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น
เราสองคนหมดแรงจนเหงื่อโชกเต็มตัว
“ข้าเคยได้ยินจากอาจารย์…ว่าเทียนฟางมีพรสวรรค์ทางยุทธสูงมาก”
“หา?”
“เทียนฟางแทบไม่มีพลังปราณเลย หมายความว่าเจ้าสร้างพลังภายในขึ้นมาใหม่จากสภาพว่างเปล่าด้วยวิชาสัตตเทวชักนำพลัง และเพราะเคล็ดนั้นเป็นวิธีรวบรวมพลังปราณบริสุทธิ์ พลังภายในของเจ้าจึงมีความบริสุทธิ์สูงมาก”
“……ศิษย์พี่ขอรับ”
“หืม?”
“ข้าเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเลยนะขอรับ”
“ก็ไม่ได้บอกไว้นี่นา”
“ทำไมไม่บอกข้าล่ะขอรับ?”
“ก็กลัวน่ะสิ…กลัวว่าเทียนฟางจะไม่ยอมฝึกชักนำพลังกับข้าอีก ถ้ารู้ว่าข้ามีพลังภายในแปลกประหลาดไป”
พี่เสี่ยวหวงพูดเสียงแผ่ว
“ก็เทียนฟางใจดีนี่นา ถ้าเจ้ารู้ว่าวิชานั้นจะมีผลต่อข้า เจ้าคงไม่ยอมทำด้วยแน่ แล้วข้าก็คงจะเหงามาก…เลยไม่กล้าพูดออกมาจนถึงตอนนี้”
“อย่างนี้นี่เอง…”
“แต่เทียนฟางเก่งจริงๆ เลยนะ เอาชนะคนที่ปราบรัชทายาทได้ซะด้วย”
“ก็เพราะมีศิษย์พี่อยู่ข้างๆ ไงขอรับ”
“อืม ข้าก็เพราะมีเทียนฟางอยู่ด้วย ถึงได้กล้าสู้เหมือนกัน แล้วก็…เอ่อ…”
อยู่ดีๆ พี่เสี่ยวหวงก็หน้าแดง แล้วพูดว่า
“ตอนที่สู้เคียงข้างเทียนฟางน่ะ มัน…รู้สึกดีมากเลย”
“งั้นเหรอขอรับ?”
“อื้ม เหมือนข้ากับเทียนฟางหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน ไม่มีขอบเขตแบ่งแยกเลย ร่างกายร้อนผ่าว…หัวใจก็เต้นแรงไปหมด”
“ไว้ไปปรึกษาอาจารย์กันเถอะขอรับ ท่านอาจารย์อาจจะรู้สาเหตุ”
“จริงด้วย แต่เทียนฟางนี่น่าแปลกใจตลอดเลยนะ”
พี่เสี่ยวหวงหัวเราะอย่างอ่อนโยน
“พลังภายในของข้าก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก แล้วก็…ร่างกายก็เปลี่ยนไปหน่อยนึงด้วย”
“เปลี่ยนยังไงเหรอขอรับ?”
“เอ่อ…”
พี่เสี่ยวหวงกระซิบข้างหูข้าเบาๆ
“ตั้งแต่เริ่มฝึกชักนำพลังกับเทียนฟาง หน้าอกของข้าก็เริ่มโตขึ้นน่ะ…”
“…เอ๋?”
“ตอนที่เทียนฟางมาเยี่ยมบ้าน ข้าโดนท่านแม่ดุใช่ไหมล่ะ? ก็เพราะหน้าอกข้าโตขึ้น แล้วรูปร่างก็เริ่มเหมือนผู้หญิงมากขึ้น ท่านแม่เลยกลัวน่ะสิ ลองดูดีๆ สิ ข้าตอนนี้กับตอนเจอกันครั้งแรกน่ะ…ว่าไงเทียนฟาง? ฟังอยู่หรือเปล่า?”
“ฟังอยู่ขอรับ ฟังอยู่”
“งั้นก็มองหน้ากันแล้วคุยกันสิ เราเป็นสหายกัน ก็อย่าปิดบังกันสิ จริงไหม?”
แล้วพี่เสี่ยวหวงก็มาซบตัวแนบข้า
และนั่นก็ทำให้ข้าต้องนั่งฟัง ‘รายละเอียดที่ลึกซึ้ง’ ของการเปลี่ยนแปลงร่างกายของพี่เสี่ยวหวง ด้วยคติ ‘สหายย่อมไม่ปิดบังต่อกัน’…
MANGA DISCUSSION