หากต้องการหลีกเลี่ยง ‘จุดจบหายนะของหวงเทียนฟาง’ ข้าจำเป็นต้องสร้างความสนิทสนมกับซิงเล่ยให้ได้
เพียงทำให้ซิงเล่ยเติบโตขึ้นอย่างปกติสุข ก็น่าจะช่วยป้องกันไม่ให้นางกลายเป็นปีศาจร้าย…ไม่สิ เป็นหญิงงามอำมหิตได้
เพื่อบรรลุเป้าหมาย ข้าจึงต้องเรียนรู้นิสัยใจคอของซิงเล่ยให้มากขึ้น
หากข้าสามารถทำให้จวนสกุลหวงกลายเป็นที่ที่นางรู้สึกสบายใจได้ ซิงเล่ยก็คงไม่คิดหาทางเข้าสู่ตำหนักในของจักรพรรดิแน่นอน
ทว่า…ข้าควรทำเช่นไร จึงจะสนิทสนมกับเด็กหญิงวัยสิบสามปีได้?
ในชาติก่อน ข้าไม่มีน้องชายหรือน้องสาว และในชาตินี้ก็เช่นกัน
ดังนั้น—
“ข้ามีเรื่องอยากถาม เจ้าช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ ไป๋เย่…ข้าควรทำอย่างไรจึงจะสนิทสนมกับสตรีได้?”
“เรื่องเช่นนี้มาถามบ่าวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณชาย”
ผู้ที่ตอบข้าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งคือไป๋เย่ สาวใช้ข้างกายของข้า
สกุลไป๋เป็นข้ารับใช้ของสกุลหวงมาแต่ครั้งโบราณ นางจึงรับหน้าที่เป็นทั้งองครักษ์และเพื่อนเล่นของข้าตั้งแต่ยังเล็ก
กระทั่งบัดนี้ นางยังเป็นศิษย์ร่วมโต๊ะเรียนของข้า เพื่อบ่มเพาะให้นางเป็นกำลังสำคัญของตระกูลตามเจตจำนงของท่านพ่อ
ไป๋เย่มีอายุมากกว่าข้า ส่วนซิงเล่ยอ่อนกว่าข้า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากข้ารู้ว่านางใช้วิธีใดสร้างความสนิทสนมกับข้า ข้าก็น่าจะใช้วิธีเดียวกันเพื่อทำให้ซิงเล่ยเปิดใจได้
ข้าจึงตัดสินใจถามดู ทว่า—
“คุณชายในวัยเยาว์นั้นกล้าหาญไม่หวาดกลัวผู้ใด จึงทำความคุ้นเคยได้ไม่ยากเจ้าค่ะ”
ไป๋เย่กล่าวด้วยสีหน้ารำลึกความหลัง
“ท่านมักจะเดินตามบ่าวไปทั่ว แม้บางคราจะหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าว แต่หากบ่าวเรียก ท่านก็จะกลับมาหาเสมอ”
…ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย
ที่สำคัญ เด็กชายในอดีตก็คงจะไร้เดียงสาจนน่าขันเสียเหลือเกิน
“เช่นนั้น…เจ้าพอจะทราบวิธีสนิทสนมกับสตรีที่มีนิสัยเก็บตัวหรือไม่?”
“มิจำเป็นต้องคิดให้ซับซ้อนหรอกเจ้าค่ะ”
ไป๋เย่ส่งยิ้มบางก่อนกล่าวต่อ
“แค่รับประทานอาหารร่วมกัน เล่นสนุกด้วยกัน หรืออ่านตำราด้วยกัน ก็เพียงพอแล้ว”
“ฟังดูเป็นวิธีที่เรียบง่ายไปหน่อยนะ”
“แต่สิ่งธรรมดานี่แหละที่สำคัญที่สุดเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ?”
“เพราะคุณชายปฏิบัติต่อบ่าวเยี่ยงคนธรรมดาเช่นกัน บ่าวจึงสามารถปรับตัวเข้ากับจวนสกุลหวงได้โดยง่าย ข้าคิดว่า…ความรู้สึกมั่นคงเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญเจ้าค่ะ”
“…ขอบใจ เจ้านี่ช่างน่าเชื่อถือจริง ๆ”
เข้าใจแล้ว
หากทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น รับประทานอาหารหรือเล่นสนุก ก็อาจทำให้ซิงเล่ยเปิดใจได้
เอาล่ะ เริ่มจากเรื่องง่าย ๆ ก่อนแล้วกัน!
เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าเดินไปยังเรือนพักของซิงเล่ย
ยืนสงบใจอยู่หน้าประตูสักครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ซิงเล่ย ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง บานประตูจึงเปิดออกเผยให้เห็นร่างของซิงเล่ย
เส้นผมสีเงินของนางถูกเกล้าเป็นมวยต่ำก่อนคลุมด้วยผ้าโพกศีรษะสีอ่อน
“ข้า…ขออภัยด้วยสำหรับเมื่อวาน หากข้าทำให้เจ้าตกใจ”
“…มิเป็นไร ท่านมีธุระอันใดหรือ?”
“ข้ามีของว่างมาให้ เจ้ายินดีจะรับประทานด้วยกันหรือไม่?”
ข้าเปิดฝาหม้อชาให้ดู ภายในบรรจุน้ำชาผสมขิงอ่อน ๆ อุณหภูมิกำลังเหมาะสำหรับผู้ที่ลิ้นไวต่อความร้อน
ส่วนบนจานเป็นแผ่นขนมทอดราดน้ำผึ้งหอมหวาน
ข้าให้ห้องเครื่องเตรียมของว่างชุดนี้ขึ้นเป็นพิเศษ
แผนการขั้นแรกของข้า คือเริ่มจากการรับประทานอาหารร่วมกัน
“…ขอบคุณ”
ซิงเล่ยโค้งศีรษะให้ข้า
“แต่ว่า…ตอนนี้ ข้ายังมิได้รู้สึกหิว…จึงไม่อาจรับไว้ได้”
“เช่นนั้นหรือ?”
“……ค่ะ”
โกหกแน่ ๆ
เมื่อเช้านางแทบไม่ได้แตะต้องอาหารเลย
ย่อมต้องหิวเป็นแน่แท้!
“…เช่นนั้น ข้าจะฝากไว้ที่ห้องเครื่อง หากเจ้าหิวเมื่อใด—”
“คุณชาย…โปรดรับประทานเองเถิดค่ะ”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนก้มศีรษะให้ข้าอีกครั้ง
“ข้าขอขอบคุณ…ที่ท่านอุตส่าห์หวังดีต่อข้า”
“…อืม”
ข้ายืนมองบานประตูที่ค่อย ๆ ปิดลง
ซิงเล่ยแทบไม่แตะต้องอาหารเลย
อาจเป็นเพราะนางเพิ่งสูญเสียบุพการี อาหารจึงฝืดคอจนไม่อาจกลืนลงไปได้
เมื่อวาน นางแทบไม่ได้แตะต้องอาหารเย็น
เช้านี้ก็เช่นกัน
เช่นนั้นแล้ว… ขนมทอดน้ำผึ้งที่ข้านำมาให้ คงหนักเกินไปสำหรับนาง
—ข้าพลาดแล้ว
คิดให้ดีสิ เรื่องเช่นนี้สมควรรู้แต่แรกแท้ ๆ
“ข้าควรไปขอโทษห้องเครื่องแล้ว”
“และมื้อกลางวัน…ให้พวกเขาทำโจ๊กให้ดีกว่า”
อาหารอ่อนเช่นนั้น น่าจะกลืนง่ายกว่า
ที่สำคัญ ต้องปล่อยให้เย็นลงเล็กน้อยด้วย มิฉะนั้น ซิงเล่ยอาจลำบากใจกับความร้อนอีก
เมื่อคิดเช่นนั้น ข้าก็ผละจากหน้าห้องของซิงเล่ย
การสร้างสายสัมพันธ์กับซิงเล่ย ต้องใช้เวลา
นางเพิ่งสูญเสียครอบครัว
เพิ่งถูกพามาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
คงยากที่ข้าจะชวนให้นางเล่นหรืออ่านตำราได้ในตอนนี้
สิ่งที่ข้าต้องทำคือ—เรียนรู้เกี่ยวกับตัวนาง
หากข้ารู้ว่านางเคยมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร
ข้าอาจหาอะไรบางอย่างที่ช่วยให้ซิงเล่ยรู้สึกสบายใจขึ้นได้
วันต่อมา ข้าเลือกช่วงเวลาที่ท่านแม่รู้สึกดีขึ้น ก่อนเข้าไปพบและถามไถ่
“ท่านแม่ ข้าอยากทราบเรื่องเกี่ยวกับเมืองที่ซิงเล่ยเคยอาศัยอยู่”
ข้าต้องการรู้เรื่องเมืองของนาง
ต้องการรู้ถึงลักษณะของสถานที่นั้น
และต้องการรู้ว่าตระกูลหลิวเคยใช้ชีวิตเช่นไร
หากเข้าใจสิ่งเหล่านี้ บางทีข้าอาจหา ‘ของ’ ที่ช่วยให้นางยิ้มได้
“เมืองที่ซิงเล่ยอาศัยอยู่ คือเมืองถานเยว่ทางเหนือ”
ท่านแม่กล่าว ก่อนเล่าต่อ
“เมืองนั้นตั้งอยู่ใกล้ป้อมปราการที่ใช้ป้องกันเผ่าต่างแดน อีกทั้งยังเป็นจุดพักเสบียงสำหรับส่งไปยังแนวหน้า”
“ป้อมปราการทางเหนือหรือ… ป้อมที่ใช้ป้องกันเผ่าต่างแดนสินะ”
“ใช่ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เมืองถานเยว่ก็งดงามมากเช่นกัน”
“ยามเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หิมะจะค่อย ๆ ละลาย ดอกไม้สีชมพูอ่อนจะผลิบานเต็มผืนแผ่นดิน”
“ซิงเล่ยเองก็ชื่นชอบดอกไม้นั้นมาก”
ท่านแม่บอกว่าดอกไม้นั้นมีชื่อว่า—
‘เซวี่ยหยวนฮวา’ (雪縁花) ดอกไม้แห่งหิมะและสายสัมพันธ์
เมื่อดอกเซวี่ยหยวนฮวาบาน เมืองถานเยว่จะจัดงานเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิ
บุรุษจะบรรเลงดนตรี
สตรีจะใช้ดอกเซวี่ยหยวนฮวาปักประดับเรือนผม ก่อนร่ายรำตลอดค่ำคืน
ท่านแม่เคยเข้าร่วมเทศกาลนี้เมื่อหลายปีก่อน
ซิงเล่ยเองก็เคยใช้ดอกไม้นี้ปักเรือนผม และร่ายรำด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนั้นเป็นครั้งเดียวที่แม่เคยเห็นซิงเล่ยยิ้มอย่างแท้จริง”
ข้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม
“แล้วที่ถานเยว่… ซิงเล่ยเคยใช้ชีวิตเช่นไรหรือ?”
“นางถูกผู้คนรอบข้างกีดกันออกห่าง”
ท่านแม่ถอนหายใจยาว ก่อนอธิบายต่อ
“ถานเยว่อยู่ใกล้แนวป้องกันเผ่าต่างแดน คนในเมืองจึงหวาดกลัวศัตรูเป็นทุนเดิม”
“เมื่อเห็นเด็กหญิงผู้มีเส้นผมสีเงินและดวงตาสีแดง นางจึงถูกมองเป็นสิ่งแปลกแยก ถูกหวาดระแวง และถูกขับไล่”
“นางจึงแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดเลย”
“แทนที่จะเล่นกับเด็กในวัยเดียวกัน นางจึงเลือกใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์แทน”
“แม่ยังจำได้…ว่านางมักกอดแมวอยู่เสมอ”
ข้าเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง
“ขอบคุณมาก ท่านแม่”
‘เซวี่ยหยวนฮวา’ สินะ…
บางที ถ้าหาข้ามาได้ อาจช่วยให้นางรู้สึกดีขึ้นได้
แต่ดอกไม้นี้ขึ้นเฉพาะที่ถานเยว่ กว่าจะนำมาได้ คงต้องใช้เวลาไม่น้อย
ส่วนสัตว์เลี้ยง… ต่อให้ข้าหามาได้ ซิงเล่ยก็คงมีรสนิยมเฉพาะ มิใช่จะนำอะไรมามอบให้นางก็ได้
…กล่าวโดยสรุป ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถหา ‘ของ’ ที่ทำให้ซิงเล่ยสบายใจได้
ทางเดียวที่ทำได้ คือค่อย ๆ ใช้เวลาเพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับนาง
เช่นนั้นแล้ว
—ก่อนอื่น ควรเร่งเสริมสร้างพลังภายในของตัวข้าเองเสียก่อน
ข้าหวนคิดไปถึง ‘จุดจบของหวงเทียนฟาง’
หากข้ามีวรยุทธ์ หากข้าพัฒนาพลังภายในให้แข็งแกร่งขึ้น เมื่อถึงคราวคับขัน ข้าจะได้มีหนทางเอาตัวรอด
ข้าตัดสินใจแน่วแน่ ก่อนเอ่ยกับท่านแม่
“ท่านแม่ ข้าขอออกไปเดินตลาดได้หรือไม่?”
“แน่นอน เจ้ามีสิ่งใดที่อยากได้หรือ?”
“ข้าอยากหาสิ่งของที่มีเฉพาะที่เป่ยหลิน จึงอยากรีบไปหามาเก็บไว้”
“เช่นนั้นก็ได้ จงพาไป๋เย่ไปเป็นองครักษ์ติดตามด้วยล่ะ”
“ขอบพระคุณขอรับ ท่านแม่”
ข้ากล่าวคารวะ ก่อนเดินออกจากห้องไป
สิ่งที่ข้าต้องการคือ ‘คัมภีร์วิชายุทธ์’
ใน ‘พงศาวดารตำนานจอมกระบี่’ มีไอเทมพิเศษที่เรียกว่า ‘คัมภีร์วิชายุทธ์’
หากติดตั้ง จะช่วยเพิ่มพูนคุณสมบัติต่าง ๆ ของตัวละครได้
และหนึ่งในนั้น มีคัมภีร์ที่ช่วยเพิ่มพลังภายในอยู่
จากข้อมูลในเกม คัมภีร์เล่มนั้นสามารถพบได้ในเมืองเป่ยหลิน
…หากข้าค้นหาให้ดี บางทีอาจพบเจอเข้าก็ได้
หากมีมัน ต่อให้ข้าที่ไร้ซึ่งพลังภายในแต่กำเนิด
ก็คงพอมีโอกาสก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้!
MANGA DISCUSSION