──มุมมองของหวงไห่เหลียง──
“เป็นอะไรไป สหาย ทำไมสีหน้าดูหม่นหมองเช่นนั้น?”
องค์ชายหลางเหยียนที่ควบม้าคู่กันมา เอ่ยถามหวงไห่เหลียงด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
“หรือว่ายังห่วงเรื่องโจรอยู่? วางใจเถอะ พวกกระจอกพรรค์นั้น ข้าจะกวาดให้เรียบเอง”
“ขอบพระทัยในความห่วงใยขอรับ องค์ชาย”
หวงไห่เหลียงตอบ ก่อนจะสะบัดศีรษะเบาๆ อย่างแนบเนียนไม่ให้อีกฝ่ายเห็น
สิ่งที่เขาห่วงไม่ใช่เรื่องโจร… แต่เป็นตัวองค์ชายต่างหาก
หวงไห่เหลียงหันไปมองข้างหลัง เห็นเหล่าทหารม้าสังกัด “กองหมาป่า” ที่ขึ้นตรงต่อองค์ชายคอยติดตามมาไม่ห่าง หากเกิดการต่อสู้ขึ้น คนเหล่านี้ต้องเป็นกำลังหลักในการคุ้มกันองค์ชาย
หน้าที่หลักของกองคุ้มกันครั้งนี้ คือพาประชาชนอพยพไปยังเมืองทางเหนือให้ปลอดภัย ดังนั้น ทางการได้กำชับให้หลีกเลี่ยงการปะทะหากไม่จำเป็น
เรื่องนี้ พ่อของเขาก็ได้กำชับไปยังองค์ชายหลางเหยียนโดยตรงแล้ว ทว่าขวัญกำลังใจขององค์ชายและกองหมาป่านั้นสูงส่งนัก ราวกับพร้อมจะตะลุยโจรทุกเมื่อ
(ขอให้องค์ชายทรงปฏิบัติตามคำสั่งของท่านพ่อทีเถอะ…)
หวงไห่เหลียงถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้
(แต่แรก ท่านพ่อก็ไม่ได้คาดคิดว่าองค์ชายจะเสด็จมาเยือนป้อมทางเหนือเลยแท้ๆ… แต่แล้ว──)
หวงไห่เหลียงและคณะเดินทางมาถึงป้อมเมื่อราวสิบวันก่อน ระหว่างเดินทาง บิดาของเขาได้ยินชาวเมืองร้องทุกข์ ว่ามีโจรชุกชุมบนเส้นทางหลวง
ดังนั้นทันทีที่มาถึง พ่อเขาจึงเร่งจัดกองกำลังขึ้นเพื่อคุ้มครองประชาชน แต่เดิมตั้งใจให้เป็นหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา
ทว่าไม่นานนัก องค์ชายหลางเหยียนก็เสด็จมาเยือนพร้อมโองการจากพระราชา ใจความว่า “ให้พาองค์ชายไปเห็นสภาพความเป็นจริงของดินแดนเหนือ”
องค์ชายหลางเหยียนทรงเป็นคนมีความสามารถ แม้ด้านฝีมือจะด้อยกว่าหวงไห่เหลียงอยู่เล็กน้อย แต่ความรู้และสำนึกรับผิดชอบในฐานะรัชทายาทล้วนพร้อมสรรพ มีเพียงประสบการณ์ที่ยังน้อย
พระราชาคงต้องการให้พระองค์ได้ประสบการณ์ตรงในสนามจริง
(……แต่ฝ่าบาท ทรงไม่เข้าใจนิสัยขององค์ชายเลย)
องค์ชายหลางเหยียนไม่มีทางพอใจแค่การอยู่เฉยๆ ในป้อมแน่นอน พอได้ยินว่าจะมีการส่งกองกำลังไปคุ้มกันประชาชน พระองค์ก็กล่าวทันทีว่า “ข้าจะไปด้วย” และเมื่ออ้างพระราชโองการ ก็ยากที่ใครจะขัดขืน
เหล่าทหารม้ากองหมาป่าที่ติดตามมาก็เห็นด้วยกับองค์ชาย หากใครคิดห้าม พวกเขาพร้อมจะตามองค์ชายออกจากป้อมทันที
สุดท้าย พ่อของหวงไห่เหลียงจึงต้องยอมตามพระประสงค์ พร้อมส่งหวงไห่เหลียงและทหารคนสนิทคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
(องค์ชาย… จะทรงฟังคำท้วงของข้าหรือไม่นะ…)
หวงไห่เหลียงถอนหายใจอีกครั้ง
(ทั้งท่านพ่อและข้า ต่างก็ถวายสัตย์จงรักภักดีต่อพระราชา จะให้ข้าไปคัดค้านองค์ชายโดยตรงนั้น… นับว่ายากยิ่งนัก มีสักกี่คนกัน ที่กล้าเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาต่อพระองค์──)
พลันนั้น เขานึกถึงน้องชาย เทียนฟาง ผู้กล้าพูดโต้แย้งองค์ชายโดยไม่เกรงกลัวอะไร เมื่อนึกเปรียบเทียบตัวเองแล้ว หวงไห่เหลียงได้แต่ส่ายศีรษะ
“ส่งทหารม้าไม่กี่นายล่วงหน้าไปสำรวจเส้นทาง หากพบสิ่งผิดปกติให้ส่งสัญญาณทันที ส่วนทหารราบ คอยระวังรอบทิศ! อย่าประมาทจนกว่าจะถึงเมืองตันเยว่!”
“รับทราบขอรับ!”
เหล่าทหารรับคำพร้อมเพรียง
“สหายหวงไห่เหลียง หากเป็นเรื่องระวังภัย ปล่อยให้กองหมาป่าจัดการเถิด”
องค์ชายหลางเหยียนที่อยู่ข้างกายเสนอขึ้น
“ได้ยินว่าโจรพวกนั้นเห็นทหารแล้วจะรีบหนี แต่กองหมาป่าของเรา ล้วนเป็นยอดฝีมือในการขี่ม้า จะตามไปจับหรือกำราบพวกมันได้แน่นอน”
“เป้าหมายของเราคือคุ้มกันประชาชนไปยังเมืองตันเยว่โดยปลอดภัยขอรับ”
หวงไห่เหลียงตอบ
“หน้าที่กวาดล้างโจรนั้น มีหน่วยอื่นรับผิดชอบอยู่แล้ว เราจะตอบโต้ก็ต่อเมื่อถูกโจมตี และถ้าได้ตัวเป็นๆ มาก็อาจสอบสวนจนรู้รังโจร แต่เหนือสิ่งอื่นใด การปกป้องประชาชนต้องมาก่อน”
“แต่หากเรากำจัดโจรไปเสีย ก็จะทำให้เส้นทางปลอดภัยไม่ใช่หรือ?”
“ต้องคำนึงด้วยว่าอาจมีกันหลายกลุ่ม และอีกอย่าง… มีข่าวลือแปลกๆ ด้วย ว่าพฤติกรรมของพวกโจรผิดปกติ อาจเกี่ยวข้องกับชนเผ่าจิ่นจิ้ง”
“ถ้าอย่างนั้นยิ่งดี จะได้สั่งสอนพวกมันให้รู้สำนึก”
องค์ชายหลางเหยียนแสยะยิ้มอย่างน่าเกรงขาม
“แม่ทัพพยัคฆ์เวหาน่ะ อ่อนเกินไป หากข้าเป็นแม่ทัพ จะรวบรวมทัพใหญ่กวาดล้างพวกจิ่นจิ้งเสียให้สิ้น”
“แต่ชนเผ่าจิ่นจิ้งอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขา ลำบากสำหรับกองทัพใหญ่ อีกทั้งยังมีชนเผ่าอื่นในดินแดนเหนือ หากเราบุกไปตรงๆ อาจทำให้พวกเขารวมตัวกันเป็นศัตรู เราจึงต้องแยกพวกเขาออก แล้วบุกตีเดี่ยวทีละเผ่าขอรับ”
“แต่ใช้วิธีนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไรกัน?”
“องค์ชาย…”
“ก่อนข้าขึ้นครองราชย์ ปัญหาทางเหนือควรได้รับการสะสาง หากแม่ทัพพยัคฆ์เวหาทำสำเร็จไม่ได้ ก็มีแต่ข้านี่แหละ ที่ต้องลงมือเอง”
“องค์ชาย! ขอย้ำอีกครั้ง เป้าหมายของเราคือการคุ้มกันประชาชน ขอทรงอย่าทรงลืม!!”
“ข้ารู้ ข้ารู้ สหาย อย่าได้ห่วงไป”
องค์ชายหลางเหยียนหัวเราะ พลางแหงนหน้าขึ้นฟ้า เหล่าทหารกองหมาป่าก็หัวเราะตาม
(…เราจะสามารถสนับสนุนพระองค์ได้จริงหรือ)
ความลังเลพลันผุดขึ้นในใจหวงไห่เหลียง
(บางที… คนที่ควรอยู่เคียงข้างองค์ชาย อาจไม่ใช่ข้า แต่ต้องเป็นผู้ที่กล้าท้วงติงอย่างตรงไปตรงมา ข้ามข้อจำกัดด้านชนชั้นได้ มิใช่หรือ…)
หวงไห่เหลียงรีบสะบัดความคิดนั้นทิ้ง ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีสมาธิ
จนถึงตอนนี้ ขบวนอพยพยังเป็นระเบียบดี พ่อค้าและองครักษ์ที่ร่วมขบวนก็เชื่อฟังคำสั่งดี
พื้นที่สองข้างทางเป็นเนินเขา ลาดเนินไม่กว้าง มองไกลลำบาก แต่เขาก็ส่งหน่วยลาดตระเวนออกอย่างสม่ำเสมอ หากมีศัตรูเคลื่อนไหว ก็จะรู้ได้ทันที
“องค์ชาย อีกหนึ่งชั่วยามข้างหน้าจะถึงที่ราบเปิดโล่ง ขอให้หยุดพักที่นั่นสักครู่”
“อืม จะได้ให้อาหารนกของเด็กนั่นด้วยสินะ?”
องค์ชายหลางเหยียนหัวเราะแห้งๆ พลางชี้ไปทางทหารคนหนึ่งที่แบกกรงนกมา ภายในมีนกพิราบสีขาวตัวหนึ่ง
“พกสัตว์เลี้ยงของเด็กนั่นมาด้วย นี่เจ้าช่างมีรสนิยมประหลาดจริงๆ นะสหาย”
“ซิงเล่ยคือน้องสาวบุญธรรมของข้า และนกตัวนี้ก็ได้รับการฝึกมาอย่างดี”
เป็นความจริง หวงไห่เหลียงเคยเห็นซิงเล่ยควบคุมสัตว์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่ป้อมทางเหนือ
เธอบอกว่าทุกอย่างเป็น “เพราะพี่เทียนฟางสอนมา” แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจนัก
ตอนที่เขาออกเดินทาง ซิงเล่ยอ้อนวอนขอให้พานกพิราบตัวนี้ไปด้วย ใช้สำหรับส่งข่าวฉุกเฉิน
ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ของเธอ หวงไห่เหลียงจึงรับไว้
“น้องชายและน้องสาวบุญธรรมของข้า ล้วนมีพรสวรรค์ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งจะรับใช้ชาติได้”
“ข้าไม่ชอบพึ่งพาคนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก”
องค์ชายหลางเหยียนยักไหล่
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าก่อนถึงจุดพัก ข้าจะออกลาดตระเวนด้วยตัวเอง เพราะช่วงก่อนพักนี่แหละที่ผู้คนมักจะเผลอเรอ หากข้าลงมือเอง จะช่วยกระตุ้นขวัญกำลังใจ”
“ไม่จำเป็น ข้าได้ส่งหน่วยลาดตระเวนออกไปพอแล้ว”
หวงไห่เหลียงปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครประมาทได้หรอก เพราะเมื่อไม่นานมานี้ กองลำเลียงเสบียงก็ถูกซุ่มโจมตีใกล้เมืองตันเยว่ ครอบครัวของน้องสาวข้าก็เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น ทหารทุกคนยังจดจำมันได้ดี”
“…อืม”
“แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ซาบซึ้งในพระเมตตาขององค์ชาย”
หวงไห่เหลียงค้อมตัวคำนับอย่างนอบน้อม
“ในนามท่านพ่อ ข้าขอขอบพระทัย”
“อืม เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
องค์ชายหลางเหยียนหันกลับไปมองข้างหน้า หวงไห่เหลียงพลันโล่งอก
แต่แล้ว──
“──รายงาน! รายงาน! พบกองทหารม้าศัตรูข้างหน้า!!”
ทหารลาดตระเวนรีบกลับมา รายงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมชี้นิ้วไปข้างหน้า
“พวกมันมีสิบกว่าคน สวมเกราะเก่าๆ และถือหอก ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มโจรที่ได้ยินในรายงาน!”
──นั่นคือสิ่งที่หวงไห่เหลียงและองค์ชายหลางเหยียนได้รับรู้ตรงหน้า
MANGA DISCUSSION