“ใช่แล้ว ตรงนี้ล่ะ ต้องพูดว่า ‘เมี้ยว~’ ด้วยขอรับ ศิษย์พี่!”
“…เมี๊ยว…?”
“ไม่พอ ต้องให้ดูเหมือนแมวจริง ๆ เข้าไว้ ลืมไปเลยว่าเป็นมนุษย์น่ะ!”
“ใช่ขอรับ ศิษย์พี่! งั้นต่อไปกลิ้งลงพื้นแล้วพูดว่า ‘เมี้ยว เมี้ยว~’ ด้วยนะขอรับ!”
“…เมี๊ยว เมี๊ยว… ไม่สิ ข้าไม่ได้มาศึกษาต่อต่างแดนเพื่อจะเป็นแมวสักหน่อย…”
“ศิษย์พี่! ตั้งใจหน่อยขอรับ!”
“ศิษย์พี่! สู้เขาขอรับ!”
“โอ๊ยยย! เมี๊ยว เมี๊ยวววววว~!!!”
ข้ากับศิษย์พี่ ยืนเคียงกันฝึกท่าสัตตเทวชักนำพลัง ท่าร่างแบบแมวซ้ำไปซ้ำมา
ศิษย์พี่ท่าทางมีพรสวรรค์นะ แต่ขยับตัวแข็งไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าไม่ชินกับการเป็นแมว
“──พอแค่นั้นแหละ”
เสียงปรบมือดัง แปะ จากอาจารย์เหลยกวง
อาจารย์ให้ข้ากับศิษย์พี่ลุกขึ้น แล้ววางนิ้วลงที่มือกับต้นคอ ตรวจดูจุดลมปราณและการไหลเวียนของพลังทั่วร่างกาย
จากนั้นอาจารย์ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“อืม สภาพพลังภายในดูดีทีเดียว สมกับเป็นวิชาชี้นำลมปราณที่อาจารย์ของข้าเคยทิ้งไว้ เทียนฟางเองก็เรียนรู้ได้ดี การเคลื่อนไหวแต่ละท่าดูมั่นคงดี ข้าถึงเข้าใจเลยว่าเจ้าต้านพวกโจรได้เพราะวิชานี้”
“ขอบพระคุณครับ อาจารย์”
“แล้วฮวาหยางล่ะ รู้สึกยังไงบ้าง?”
“…เหมือนร่างกาย…อุ่นขึ้นน่ะขอรับ”
อืม ดูก็รู้แหละ
ผิวพรรณของศิษย์พี่ฮวาหยาง ตอนนี้เหมือนพึ่งอาบน้ำเสร็จเลย
ตอนข้ากับซิงเล่ย เริ่มฝึกใหม่ ๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ร่างกายอุ่นขึ้น รู้สึกสบาย ๆ จนเผลอหลับกลางวันไปเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรเลยขอรับ กลับรู้สึกว่าพลังลมปราณทั่วร่างมันกระตุ้นขึ้นด้วยซ้ำ”
“ดีมาก งั้นหลังจากนี้ก็ฝึกกับฮวาหยางต่อไปนะ”
“ขอรับ อาจารย์”
“หากต้องการ ข้าจะให้ยืมตำราสัตตเทวชักนำพลังก็ได้นะขอรับ”
ข้าท่องตำราได้หมดแล้ว ต่อให้อยู่ห่างตำราก็ไม่เป็นไร
“แบบนี้ศิษย์พี่ก็จะได้ฝึกเองที่บ้านได้ไงล่ะ ว่ายังไงขอรับ?”
“ไม่ล่ะ ฝึกคนเดียวไม่ดีหรอก”
ทันใดนั้น อาจารย์เหลยกวงก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฮวาหยาง เจ้าจะฝึกวิชานี้ได้เฉพาะตอนที่อยู่กับเทียนฟางเท่านั้น นี่คือคำสั่งในฐานะอาจารย์”
“ขะ ขอรับ! เข้าใจแล้วขอรับ แต่ว่า…”
“เจ้าคงจะบอกว่าเทียนฟาง ยังฝึกเองที่บ้านอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
“…ครับ”
“แต่เทียนฟางฝึกกับน้องสาวของเขา ซิงเล่ย เขาทั้งคู่เริ่มฝึกพร้อมกัน วิชานี้ทรงพลังมาก บางครั้งพลังภายในจะปะทุเกินควบคุม แต่ถ้าฝึกเป็นคู่ อย่างน้อยก็จะช่วยสงบพลังให้กันได้ไงล่ะ”
อาจารย์วางมือบนไหล่ของศิษย์พี่ฮวาหยาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เพราะงั้น อย่าฝึกคนเดียวนะ เข้าใจไหม?”
“ขอรับ! ข้าจะปฏิบัติตามคำของอาจารย์!”
“ดีมาก ฮวาหยางเป็นคนว่าง่าย น่าชื่นชม”
“…เอ่อ อาจารย์ขอรับ”
“มีอะไรล่ะ เทียนฟาง?”
“ข้าเองก็ควรจะฝึกวิชานี้เฉพาะตอนอยู่กับศิษย์พี่เหมือนกันไหมขอรับ?”
“ไม่ล่ะ เจ้ายังต้องฝึกกับน้องสาวต่อไปที่บ้านด้วย”
“อย่างนั้นเหรอขอรับ?”
“ใช่ เจ้าต้องฝึกกับซิงเล่ยต่อไป เข้าใจนะ?”
“ขะ ขอรับ อาจารย์”
“ดีมาก เด็กดีจริง ๆ ให้ข้าลูบหัวทั้งคู่เลยดีกว่า”
ว่าแล้วอาจารย์เหลยกวงก็ลูบหัวผมกับศิษย์พี่ฮวาหยางอย่างเอ็นดู
…ว่าแต่ ทำไมอาจารย์ถึงให้ความสำคัญกับวิชาสัตตเทวชักนำพลังขนาดนี้นะ
ในเกม มันเป็นแค่วิชาที่มีไว้ให้คนที่พลังภายในน้อยใช้เท่านั้น เพิ่มค่าสถานะนิดเดียวเอง
หรือว่าที่นี่ มันมีผลลัพธ์ต่างจากในเกม?
เอาเถอะ เรื่องการฝึก ข้าสัญญาไว้แล้วว่าจะทำตามอาจารย์นี่นา
“เอาล่ะ ฮวาหยาง จากวันนี้ไป เจ้าจะเริ่มฝึก ‘สิบหกกระบี่สัตว์เทพ’ แห่ง ‘กระบี่สี่สัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์’”
“สิบหกกระบี่สัตว์เทพ!? กับข้าน่ะเหรอขอรับ!?”
“…สิบหกกระบี่สัตว์เทพ?”
ผมเอียงคอสงสัย ก่อนที่ศิษย์พี่ฮวาหยางจะตกใจจนตาโต
“ไม่รู้จักเหรอ!? สิบหกกระบี่สัตว์เทพคือวิชากระบี่ที่มีแต่อาจารย์เท่านั้นใช้ได้! ท่านเคยสัญญาไว้ว่าจะสอนให้ข้าเมื่อพลังภายในเพิ่มขึ้นไง!”
“หรือว่า เป็นวิชาที่ตอนใช้แล้วมีมังกรกับเสือพุ่งออกมาจากข้างหลังน่ะ?”
“กระบี่แบบไหนน่ะนั่น…?”
…ก็ในเกมมันเป็นแบบนั้นน่ะสิ
“‘สี่กระบี่มังกรเขียว’ ‘สี่กระบี่พยัคฆ์ขาว’ ‘สี่กระบี่หงษ์แดง’ ‘สี่กระบี่เต่าดำ’──ทั้งสี่นี้รวมกันเรียกว่า ‘สิบหกกระบี่สัตว์เทพ’ ล่ะ แม้จะไม่ได้มีมังกรหรือเสือพุ่งออกมาจริง แต่แต่ละท่าก็จำลองจากสัตว์เทพเหล่านั้นทั้งนั้น”
อาจารย์เหลยกวงหยิบกระบี่ไม้ที่แขวนอยู่บนผนัง ถือไว้ในมืออย่างเบา ๆ แล้วหันหน้าไปทางต้นไม้ในลาน
“งั้นข้าจะแสดงให้ดู กระบวนท่ามังกรเขียว──‘ราชามังกรเร้นฟ้า แหงนมองสวรรค์’!!”
อาจารย์เหลยกวงสะบัดผมยาว ฟาดกระบี่ไม้ขึ้นสูง
ไม่มีเสียงตึงตัง ไม่มีเอฟเฟกต์
แต่ข้ารู้สึกเหมือนเห็นภาพมังกรพุ่งทะยานจากเบื้องหลังอาจารย์เลยทีเดียว
ท่า “ราชามังกรเร้นฟ้า แหงนมองสวรรค์” ไม่มีใน พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ หรอก
หรือพูดให้ถูก นี่คือ “การโจมตีธรรมดา” ของอาจารย์เหลยกวงในเกม
เพราะเป็นตัวละครระดับสุดยอดแบบนั้น ในเกมแค่ฟันธรรมดาก็มีเอฟเฟกต์ติดมาด้วย
แต่พอเห็นจริง ๆ ต่อหน้า…
ท่านั้นเร็วเกินไป ข้าแทบมองไม่ทันเลย
สิ่งที่ข้ามองเห็นคือ กิ่งไม้ใหญ่ที่ถูกฟันขาด──
──แล้วใบไม้จำนวนมากที่ปลิวว่อนจากแรงลมพลังปราณของอาจารย์
ราวกับเกิดพายุขึ้นชั่วพริบตา
ลำต้นของต้นไม้ส่ายไปมา
กิ่งไม้ที่ทนแรงกดดันของพลังปราณไม่ไหว หักร่วงลงมา
…สุดยอด นี่แหละคือกระบี่ของอาจารย์เหลยกวง
กับตอนที่เห็นในเกม ความรู้สึกมันต่างกันคนละโลกเลย
ในเกม อาจารย์ใช้กระบี่หรือดาบระดับสุดยอด แต่ตอนนี้ ท่านแค่ใช้กระบี่ไม้ฝึกซ้อม
ทั้งที่เป็นแค่กระบี่ไม้ อาจารย์ก็ยังฟันกิ่งไม้ที่หนาเท่าขาของผมขาดได้
ถ้าเป็นแค่การทุบจนหักยังว่าไปอย่าง
แต่นี่อาจารย์ “ฟัน” มันขาดเลยนะ
แน่นอนว่า กระบี่ไม้ไม่มีแม้แต่รอยร้าว
ไม่มีแม้แต่รอยเบี้ยวหรือความเสียหายเล็กน้อยเลย
พอได้เห็นกับตา… มันช่างสุดยอดจริง ๆ
นี่แหละคือกระบี่ของอาจารย์เหลยกวง…
“สุ…สุดยอดเลย เทียนฟาง!? เห็นรึเปล่า!? นี่แหละคือ ‘สิบหกกระบี่สัตว์เทพ’ของท่านอาจารย์ น่ะ!”
“ขะ…ขอรับ เห็นแล้วขอรับ”
“‘สิบหกกระบี่สัตว์เทพ’ เป็นวิชากระบี่ก็จริง แต่ถึงไม่มีอาวุธก็ใช้ได้เหมือนกันนะ ถ้าแบบนั้นจะกลายเป็น ‘ท่าสิบหกฝ่ามือ’ หรือไม่ก็ ‘ท่าสิบหกลูกเตะ’ แทน”
“น่าทึ่งมากเลยขอรับ เป็นวิชาที่สารพัดประโยชน์จริง ๆ”
“ใช่แล้ว นี่แหละอาจารย์ของพวกเรา ช่างสุดยอดอะไรอย่างนี้…”
เสียงของศิษย์พี่ฮวาหยางสั่นเครือ
เขาจ้องมองวิชาของอาจารย์อย่างตื่นตาตื่นใจ ดวงตากลมโตเป็นประกาย
…ศิษย์พี่เคารพนับถือท่านอาจารย์เหลยกวงจากใจจริงเลยสินะ…
…อืม คงไม่ควรรบกวนศิษย์พี่ในตอนนี้
ตรงกันข้าม เราควรช่วยให้เขาเรียนรู้เคล็ดวิชาของอาจารย์ได้ง่ายขึ้นต่างหาก
ศิษย์พี่ฮวาหยางเป็นคนดี
ทั้งที่น่าจะอยากอยู่กับอาจารย์เพียงลำพังแท้ ๆ แต่ก็ยังยอมรับข้าเป็นศิษย์น้อง
ต่อให้ยุทธภพต่อจากนี้จะวุ่นวายแค่ไหน… คนอย่างศิษย์พี่ก็ควรได้รับความสุขบ้าง
ใบไม้เล็ก ๆ ลอยคว้างดุจกลีบดอกไม้ในสายลม
ท่านอาจารย์เหลยกวง—บางทีคงเห็นว่าไม่ควรฟันต้นไม้ในสวนให้ราบเป็นหน้ากลอง จึงแสดงเพียงกระบวนท่า ‘สี่กระบี่มังกรเขียว’ ซ้ำไปซ้ำมา
พอจบแล้วก็โบกมือเรียกศิษย์พี่ฮวาหยางให้เข้าไปหา
ศิษย์พี่จึงก้าวออกมาพร้อมกับถือดาบไม้ในมือ
ข้ามองดูภาพนั้นพลางคิดในใจว่า “ช่างเท่เสียจริง”
แล้วทันใดนั้นเอง—
“มัวยืนทำอะไรอยู่ล่ะ เทียนฟาง มานี่สิ”
“เอ๊ะ? แต่ข้าไม่มีพื้นฐานกระบวนท่าดาบเลยนะขอรับ…”
“แค่ฝึกท่าพื้นฐานก็น่าจะพอไหวนี่นา จริงไหมล่ะขอรับอาจารย์?”
อาจารย์เหลยกวงพยักหน้ารับคำของศิษย์พี่
เอ่อ…เมื่อกี้ยังตั้งใจว่าจะไม่รบกวนศิษย์พี่แท้ ๆ เลยนะ…
“เทียนฟาง เจ้าเองก็สัญญาแล้วว่าจะทำตามแนวทางของอาจารย์ใช่ไหมล่ะ?”
“…ก็จริงขอรับ”
“รีบมาเถอะ ยืนจ้องแบบนั้นมันทำให้ไม่เป็นตัวเองเลยนะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ได้”
ข้าหยิบกระบี่ไม้ที่แขวนอยู่ข้างฝา เดินไปหาศิษย์พี่ฮวาหยาง
แล้วก็เริ่มฝึกกระบวนท่าพื้นฐานภายใต้คำแนะนำของอาจารย์เหลยกวง
ข้าแทบไม่เคยจับกระบี่มาก่อนเลย
เพราะไม่มีพลังภายใน เลยไม่เคยคิดจะเรียนกระบี่เลยสักครั้ง
ท่าทางฝึกของข้าจึงออกจะเก้ ๆ กัง ๆ มากทีเดียว
กระบวนท่าถูกหยุดซ้ำ ๆ เพราะต้องรอคำแนะนำจากอาจารย์
แต่แม้จะเป็นแบบนั้น—พอฝึกครบหนึ่งรอบแล้ว…
“เทียนฟาง ข้าเห็นแล้วล่ะว่าให้เจ้าร่วมฝึกด้วยมันดีกว่าจริง ๆ”
ศิษย์พี่ฮวาหยางพูดพลางเช็ดเหงื่อ
“พอข้ามองดูการเคลื่อนไหวของเจ้า ข้าก็เข้าใจได้เลยว่าคนเริ่มต้นจะติดขัดตรงไหนบ้าง แล้วพอรู้จุดนั้น ข้าก็สามารถเรียนรู้กระบวนท่าของอาจารย์ได้ดีขึ้น พรุ่งนี้ก็มาฝึกด้วยกันอีกนะ”
“ข้าช่วยศิษย์พี่ได้จริง ๆ เหรอขอรับ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเจ้าข้าคงแย่”
“…ถ้าไม่มีข้า?”
“ม-ไม่ใช่ในความหมายนั้นนะ! อย่าเข้าใจผิดล่ะ!?”
“ร-รับทราบขอรับ!”
“ข้าหมายถึงให้เรามาแข่งขันกันไปด้วยน่ะ”
ศิษย์พี่กระแอมเบา ๆ หนึ่งที
“เจ้าก็สัญญากับอาจารย์แล้วว่าจะทำตามแนวทางของอาจารย์ใช่ไหม? ท่านอาจารย์ก็เห็นด้วยที่ให้เราสองคนฝึกด้วยกันนะ”
“……..เข้าใจแล้วขอรับ”
“ดีมาก นี่แหละคือศิษย์น้องของข้า”
ศิษย์พี่ว่าพลางยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่อบอุ่น
เป็นคนดีจริง ๆ เลย
ถ้าในเกมที่ข้าเคยเล่น เทียนฟางคนนั้นมีคนแบบศิษย์พี่ฮวาหยางอยู่ข้าง ๆ บ้างก็คงดี
บางที เขาอาจจะไม่ต้องทำร้ายใคร หรือไม่ต้องใช้อำนาจกดขี่คนอื่นเลยก็ได้
ข้ามองรอยยิ้มของศิษย์พี่พลางคิดแบบนั้นอยู่ในใจ
หลังจากนั้น เราทั้งสองก็ได้รับการฝึก ‘วิชาสี่จตุรเทพก้าวพริบตา’
ว่ากันว่า วิชานี้ก็คล้าย ‘สิบหกกระบี่สัตว์เทพ’ คือประกอบด้วยท่าก้าวย่างของมังกรเขียว พยัคฆ์ขาว หงษ์แดง เต่าดำ—นุ่มนวลดุจมังกรเขียวที่โยกร่างยาวเหยียด วิจิตรตระการตาดังหงษ์แดงกางปีก คมกริบดั่งกรงเล็บของพยัคฆ์ขาว และลี้ลับดุจเต่าดำ
“ต่อจากนี้ ข้าจะวิ่งหลบไปทั่วสวน พวกเจ้าสองคนต้องช่วยกันจับข้าให้ได้ ถ้ากระบี่ไม้หรือมือเท้าโดนเสื้อข้าก็ถือว่าชนะ”
พออาจารย์พูดจบ ข้ากับศิษย์พี่ก็พุ่งตามไปทันที—แต่…
“…ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แม้แต่เงาของอาจารย์ยังแตะไม่ได้เลยนะขอรับ”
“…แฮ่ก แฮ่ก…”
ไม่กี่สิบนาทีให้หลัง
ข้ายืนอึ้งอยู่ ส่วนศิษย์พี่นั่งแผ่หราลงบนพื้น หอบหายใจอย่างหนัก ก่อนยอมแพ้
อาจารย์พูดว่า “เก่งกว่าที่คิดไว้นะ”…แต่ก็คงแค่ปลอบใจพวกเราเท่านั้น
ลานในขนาดครึ่งห้องเรียนโรงเรียนธรรมดาเอง ไม่ได้กว้างขนาดนั้น
ทั้งที่พื้นที่แค่นั้น พวกเรากลับจับแม้แต่เงาของอาจารย์ไม่ได้เลย
“การทำให้ศัตรูอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวไม่ออกได้ ก็คือจุดเด่นของวิชานี้เหมือนกันนะ”
อาจารย์วิ่งซ้ายขวาหน้าหลังแบบไม่มีท่วงท่าล่วงหน้าให้จับทาง
พวกเราต้องวิ่งถึงห้าก้าว ถึงจะตามทันระยะเพียงก้าวเดียวของอาจารย์
ที่สำคัญ การเคลื่อนไหวของอาจารย์ก็กะทัดรัดจนเหลือเชื่อ
แม้จะดูเหมือนยืนเฉย ๆ แต่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย เผลอแป๊บเดียวก็ออกห่างไปแล้ว
“…นี่แหละ ‘วิชาสี่จตุรเทพก้าวพริบตา’”
เป็นวิชาที่สุดยอดมาก ถ้ามีวิชานี้ ต่อให้โดนลากเข้าสถานการณ์เสี่ยงตายแบบในเกมก็น่าจะหนีรอดได้แน่นอน…
“ข้าเองก็จะฝึกให้ได้แบบอาจารย์ให้ได้…จะไหวไหมขอรับ?”
“ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองนั่นแหละ งั้นเริ่มจากท่าพื้นฐานก่อนเลยดีไหม”
“รบกวนด้วยขอรับ!!”
“แล้วฮวาหยางล่ะ จะพักต่ออีกหน่อยไหม?”
“…ไม่ครับ ข้าจะฝึกต่อ”
ศิษย์พี่ฮวาหยางลุกขึ้นยืน พลางหายใจให้เป็นจังหวะ
“ข้าเป็นศิษย์พี่ของเทียนฟาง จะให้ศิษย์น้องเห็นสภาพน่าอายไม่ได้”
“ไม่หรอกขอรับ ข้าเคารพศิษย์พี่มากนะขอรับ กระบวนท่ากระบี่ของศิษย์พี่เมื่อครู่ก็งดงามมากจนข้าตะลึงไปเลย แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าศิษย์พี่รักและเคารพอาจารย์แค่ไหน ต่อให้เห็นศิษย์พี่ในสภาพแบบไหน ข้าก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องน่าอายเลยขอรับ!”
“ก็เพราะเจ้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาไงเล่า!?”
“เอ๋!?”
“ฮะ ๆ เข้ากันได้ดีจังเลยนะ ข้าดีใจจริง ๆ ที่มีพวกเจ้าเป็นศิษย์”
ใต้สายตาอันอบอุ่นของอาจารย์ ข้ากับศิษย์พี่ก็เริ่มฝึกฝนกันต่อไปอีกครั้ง
MANGA DISCUSSION