“——หน่วยกองทัพหมาป่างั้นรึ? ว่าไปแล้วก็เคยได้ยินว่าองค์รัชทายาทกำลังจะตั้งกองกำลังอิสระขึ้นมาเหมือนกันนะ”
หลังจากกลับถึงเรือน ข้าก็เข้าเฝ้าท่านพ่อเพื่อสนทนา
ที่ทำให้ข้าใคร่รู้ก็คือคำว่า “หน่วยกองทัพหมาป่าที่มีหลางเหยียนเป็นผู้นำ” ที่องค์รัชทายาทกล่าวขึ้นมานั่นเอง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์รัชทายาทเคยเสด็จมาที่จวนแม่ทัพอยู่หลายครา?”
“ทราบขอรับ วันนั้นที่ข้าไปรับหน้าที่คัดลอกเอกสารก็ได้พบพระองค์เช่นกัน”
“พระองค์เสด็จไปที่นั่นก็เพื่อเสาะหาผู้มีฝีมือเข้าสังกัดหน่วยใหม่ของพระองค์นั่นแหละ เห็นว่าทรงเป็นห่วงเรื่องที่ดินแดนทางเหนือถูกชนเผ่าต่างแดนรุกรานอยู่มิใช่น้อย จึงทรงขอพระราชานุญาตจากองค์กษัตริย์ เพื่อจัดตั้งกองกำลังประจำพระองค์ขึ้นมาโดยเฉพาะ”
ท่านพ่อกล่าวพลางกอดอก ถอนใจออกมาเบา ๆ
“แต่ว่า ชนเผ่าต่างแดนที่ว่านั้น——เผ่าจิ่นจิ้ง ไม่อาจรับมือด้วยวิธีธรรมดาได้ ข้าเห็นว่าควรผลักพวกมันให้ถอยกลับไปนอกพรมแดน แล้วค่อยทำสัญญาสันติไมตรีกันในภายหลังจะดีกว่า”
“นั่นคือแนวทางของท่านพ่อสินะขอรับ”
“แต่รัชทายาทกลับตรัสว่าควรบุกเข้าไปถึงถิ่นของมัน แล้วกวาดล้างเสียให้สิ้นซาก เพื่อขจัดปัญหาที่ชายแดนให้หมดสิ้นเสียที”
“จะทำเช่นนั้นได้จริง ๆ หรือขอรับ?”
“คงไม่ง่ายเลย หากจะทำลายพวกมันให้สิ้น ต้องยกทัพบุกขึ้นเหนือไปไกลนัก ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนทางเหนือยังมีชนเผ่าอื่นอยู่อีกมิใช่น้อย หากเรายกทัพไปตีเผ่าจิ่นจิ้งแล้วกระตุ้นให้พวกมันรู้ตัวเข้า วันใดพวกต่างเผ่าในแดนเหนือรวมตัวกันขึ้นมาภายใต้ธงของจิ่นจิ้งไซร้——อาณาจักรหลานเหอคงได้ศัตรูยักษ์เพิ่มมาอีกหนึ่งแน่แท้”
“นับว่ายุ่งยากไม่น้อยเลยนะขอรับ”
“ใช่แล้ว และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องเสริมกำลังป้องกันทางเหนือให้มั่นคง”
กล่าวจบ ท่านพ่อก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“ว่าแต่ เทียนฟาง…เจ้าได้รับมอบหมาย ‘ภารกิจ’ แล้วสินะ? ข้าได้ยินมาจากเหลียวเหยียนนั่นแหละ”
“ขอรับ นั่นคือเงื่อนไขในการขอฝากตัวเป็นศิษย์”
“อืม ข้าเองก็หาได้ขัดข้องไม่ ตั้งใจทำให้ดีละ”
ท่านพ่อยกมือขึ้นลูบศีรษะข้าเบา ๆ
“เทียนฟาง เจ้าถูกเหลียวเหยียนชื่นชม ยิ่งกว่านั้น ปัญหาด้านพลังภายในที่เคยกังวลก็คลี่คลายแล้ว จากนี้ไปก็จะเริ่มต้นเรียนวรยุทธ์อย่างแท้จริงแล้วสินะ”
“ทั้งนี้ก็ด้วยบุญคุณของท่านพ่อนั่นแหละขอรับ”
“ข้าหาได้ทำสิ่งใดเลย แล้วเจ้าล่ะ ไม่คิดไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูงหรือ? ทั้งที่เจ้ามีความสามารถ แลก็ใฝ่เรียนรู้ยิ่ง แต่กลับคิดจะเป็นแค่ขุนนางฝ่ายบุ๋นงั้นรึ?”
“ถ้าทำได้ ข้าอยากเป็นขุนนางท้องถิ่นเงียบ ๆ น่ะขอรับ”
“ก็ดี หากสร้างผลงานได้ วันหนึ่งเจ้าก็อาจกลับมาอยู่ส่วนกลางได้อีก”
“แต่ข้ามิได้ตั้งใจจะฝืนตนเองไปถึงขนาดนั้นหรอกขอรับ”
“เช่นนั้นรึ?”
“ขอรับ ข้าเพียงอยากอยู่เงียบ ๆ ในท้องถิ่น แล้วเฝ้ามองการดำรงชีวิตของราษฎรเท่านั้น”
“อืม ๆ นั่นก็ถือเป็นแนวทางหนึ่งของชีวิตเช่นกัน ดีละ!”
ท่านพ่อพยักหน้ารับ
——ขอโทษด้วยนะ ท่านพ่อ
สำหรับหวงเทียนฟาง เมืองหลวงมันอันตรายเกินไป
ไม่รู้ว่า ‘ธงแห่งความตาย’ จะโผล่มาตอนไหนด้วยซ้ำ
ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ ที่ต่างเมือง แลก็อยากมีสถานที่ให้ครอบครัวหลบหนีได้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
หากต้องเลือกระหว่างติดร่างแหอยู่กลางการแย่งชิงอำนาจ กับใช้ชีวิตสงบสุขห่างไกล ข้าเลือกอย่างหลังแน่
ข้าคิดอยู่ในใจ ขณะสนทนากับท่านพ่อ
“เอาล่ะ งั้นก็เริ่มฝึกกันเถอะ”
วันต่อมา
ณ ลานกลางเรือนของเรือนพักที่อาจารย์เหลยกวงใช้เป็นที่อยู่——
เรือนนี้คงได้มาจากเหลียวเหยียน จึงกว้างขวางเป็นพิเศษ
ตัวลานนั้นล้อมรอบด้วยอาคารโดยรอบ คงเพื่อมิให้ผู้คนภายนอกมองเห็นขณะฝึก
ข้ากับศิษย์พี่ฮวาหยาง ต่างก็เปลี่ยนมาใส่ชุดฝึก แล้วมายืนหน้าอาจารย์
“เทียนฟาง ก่อนอื่น ข้าอยากให้เจ้าสาบานว่าจะเชื่อฟังแนวทางการฝึกของข้า”
อาจารย์เหลยกวงกล่าว
“ข้าจะพยายามสอนเจ้าให้ฝึกวรยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น เจ้าก็ต้องเชื่อใจข้า แล้วปฏิบัติตามแนวทางนั้น เข้าใจหรือไม่?”
“ขอรับ อาจารย์”
ข้าคุกเข่าคำนับต่อหน้าท่าน
“ข้าหวงเทียนฟาง ขอให้สัจจะ จะเชื่อฟังแนวทางการฝึกของอาจารย์เหลยกวง”
“ดีมาก เช่นนั้นฮวาหยาง เจ้าก็ทำเช่นเดียวกันด้วย”
“ข้าด้วยหรือครับ? แต่ข้าก็ให้คำมั่นไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว…”
“ถึงกระนั้นก็เถอะ ตอนนี้ข้ามีศิษย์ถึงสองคน ข้าจึงจะเปลี่ยนแนวทางการสอนแล้ว”
“เข้าใจแล้วขอรับ อาจารย์”
ศิษย์พี่ฮวาหยางจึงคุกเข่าคำนับเช่นกัน
“ข้าขอสาบานต่อบิดาที่อยู่แคว้นบ้านเกิด ว่าข้าชุ่ยฮวาหยาง จะเชื่อฟังแนวทางของอาจารย์เหลยกวง ไม่ว่าท่านจะมีแนวทางเยี่ยงใด”
“ดีมาก เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าทั้งสองฝึก ‘สัตตเทวชักนำพลัง'”
ท่านอาจารย์เหลยกวงกล่าวขึ้นอย่างเรียบง่าย
ศิษย์พี่ฮวาหยางถึงกับตาค้าง
“อะ…อะไรกันหรือครับ อาจารย์? นั่นมัน…”
“เจ้าเพิ่งสาบานว่าจะเชื่อฟังข้าใช่หรือไม่ ฮวาหยาง?”
“แต่ว่า ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเคล็ดนั้นเลยนะครับ…”
“ไม่เป็นไร ให้เทียนฟางสอนเจ้า แล้วฝึกไปพร้อมกัน”
อาจารย์เหลยกวงยิ้มสดใสอย่างน่าประหลาด
“จากวันนี้ไป ทั้งยามเริ่มต้น และยามสิ้นสุดการฝึกในแต่ละวัน เจ้าทั้งสองต้องฝึกเคล็ดนี้ร่วมกัน ข้าจะเป็นผู้ชี้แนะในช่วงแรก แต่ไม่นาน เจ้าทั้งสองก็จะสามารถฝึกด้วยกันได้เองโดยไม่ต้องมีคำสั่ง”
“ขอรับ อาจารย์”
ข้าพยักหน้ารับ
ศิษย์พี่ฮวาหยางมองข้าด้วยความตกใจ
“เจ้าตกลงงั้นหรือ? ‘สัตตเทวชักนำพลัง’ นั่น เจ้าอุตส่าห์ฝึกจนสำเร็จด้วยความยากลำบากไม่ใช่หรือ?”
“ข้าสัญญาว่าจะเชื่อฟังอาจารย์ และหากเป็นศิษย์พี่ฮวาหยาง ข้าย่อมไม่ขัดข้อง”
ที่ข้าอยากฝึกให้ได้จริง ๆ คือเคล็ดย่างก้าว ‘สี่จตุรเทพก้าวพริบตา’
‘สัตตเทวชักนำพลัง’ ก็เป็นเพียงหนทางหนึ่งที่จะไปถึงจุดนั้น
จะเอามาเก็บไว้คนเดียวไปก็ไร้ประโยชน์
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะสอนวิธีใช้พลังภายในให้เจ้าอย่างเหมาะสมบ้าง”
ศิษย์พี่ฮวาหยางพูดพลางจ้องหน้าข้า
“ข้าไม่อาจรับผลประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวได้ เช่นนี้จึงจะเท่าเทียม”
“ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้นก็ได้…”
“ศิษย์น้องพึงเชื่อฟังคำศิษย์พี่เข้าใจหรือไม่ เทียนฟาง”
“แต่ว่า…”
“เข้าใจหรือไม่ล่ะ! เทียนฟาง!”
“ขะ…เข้าใจแล้วขอรับ! ศิษย์พี่!”
ศิษย์พี่ฮวาหยางเป็นคนดี…แต่ดื้อดึงยิ่งนัก
หลังจากนั้น อาจารย์เหลยกวงก็ชี้แจงแนวทางการฝึกที่จะใช้ในแต่ละวัน
ข้ากับศิษย์พี่จะต้องมาที่ลานฝึกในเวลาเดียวกันทุกวัน
จากนั้นเริ่มด้วย ‘สัตตเทวชักนำพลัง’
เมื่อเสร็จแล้ว อาจารย์จะถ่ายทอดวรยุทธ์ให้
ฝึกเสร็จแล้วก็ทำ ‘เคล็ดชักนำพลัง’ อีกรอบ ปิดท้ายด้วยการที่ศิษย์พี่จะสอนวิธีใช้พลังภายในให้ข้า
ทั้งหมดนี้คือกิจวัตรประจำวัน
“สำหรับฮวาหยาง ข้าจะยังสอนเพลงดาบเช่นเดิม ส่วนเทียนฟาง เจ้าต้องการเรียนเคล็ดย่างก้าวและศิลปะต่อสู้สินะ”
อาจารย์เหลยกวงมองพวกเราสองคนแล้วเอ่ยว่า
“พวกเจ้าทั้งสองต่างก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ขอให้ช่วยเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในจุดที่ขาดไป เช่นนั้นแล้ว เจ้าทั้งสองจักแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
““ขอรับ! อาจารย์!!””
“ดีมาก เช่นนั้น——เทียนฟาง”
“ขอรับ!”
“เริ่ม ‘สัตตเทวชักนำพลัง’ ได้เลย เจ้าและฮวาหยาง…มาแปลงกายเป็นสัตว์ด้วยกันเถอะ”
อาจารย์เหลยกวงเอ่ยด้วยรอยยิ้มแจ่มใสอย่างน่าประหลาดนัก.
MANGA DISCUSSION