พวกผู้หญิงในชุดสูทต่างจ้องมองมาที่ผมซึ่งโผล่เข้ามาขัดจังหวะอย่างกะทันหันด้วยสายตาเคลือบแคลง
“นี่…นาย เป็นอะไรรึเปล่า?”
เด็กสาวในชุดสไตล์จิไรมองสำรวจใบหน้าของผมอย่างเป็นห่วง นัยน์ตาสีฟ้าของเธอกับของผมสบกัน มันเป็นประกายที่งดงามอย่างยิ่ง แต่ผมก็ไม่อาจจ้องมองมันได้นาน
“อ่า ไม่เป็นไร…แต่ว่านะ…”
ผมหันไปมองทางพวกผู้หญิงในชุดสูท พยายามทำหน้าให้ดูขึงขังที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ต่อให้เป็นแบบนี้ การลงไม้ลงมือน่ะมันไม่ดีเลยไม่ใช่เหรอ? โรงเรียนเก่าของพวกเธอสอนให้ทำเรื่องแบบนี้ได้งั้นเหรอ?”
“อึ่ก…ก็ยัยนั่นเป็นคนผิดนี่นา! ธรรมเนียมของพวกเราคือนักเรียนหญิงทุกคนต้องใส่สูท! แต่ยัยนั่นกลับแหกกฎ!”
คงเป็นกฎลับๆ ของพวกผู้หญิงสินะ… ไอ้ประเภทที่ว่าถุงเท้าสีกรมท่าจะใส่ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ปีสองขึ้นไปเท่านั้น อะไรทำนองนี้ที่ไม่ได้ถูกบัญญัติเป็นกฎของโรงเรียน แต่ถูกกำหนดขึ้นจากบรรยากาศของกลุ่มนักเรียนหญิงเอง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นว่ากฎนั้นยังมีผลแม้จะเรียนจบไปแล้วก็ตาม โรงเรียนของพวกเธอคงจะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แถมยังส่งนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยโคโตะได้ปีละหลายสิบคนแน่ๆ ผมไม่ได้จบมาจากโรงเรียนเตรียมสอบแบบนั้นเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ได้ยินมาว่าโรงเรียนพวกนั้นจะมีเครือข่ายสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งแม้จะเรียนจบไปแล้ว…ก็คงจะเป็นไปได้ล่ะนะ
“ไร้สาระชะมัด…จบมาแล้วยังจะมานั่งจับกลุ่มนินทากันอีก…”
เด็กสาวสไตล์จิไรที่อยู่ข้างหลังผมพึมพำออกมา ถึงจะเป็นการเปรียบเปรยที่รุนแรงไปหน่อย แต่ผมก็เห็นด้วย
“แล้วแกเป็นใครยะ! ทำไมต้องปกป้องยัยนั่นด้วย! คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?! ทำเป็นอัศวินขี่ม้าขาวรึไง! โคตรเชยเลย!”
“พวกแกน่ะเชยกว่าเป็นร้อยเท่าอีก แค่เรื่องเสื้อผ้าก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ลองมองไปรอบๆ สิ! ผู้หญิงคนอื่นเขาแต่งตัวสวยๆ กันทั้งนั้น มีแต่พวกแกที่ใส่สูทสมัครงานนี่แหละที่ดูแปลกแยก!”
…ถึงแม้ว่าเด็กสาวในชุดสไตล์จิไรจะดูแปลกแยกกว่าก็เถอะนะ แต่ผมเลือกที่จะไม่พูดมันออกไป
“อีกอย่างนะ ไม่น่าเชื่อเลย! ทำไมถึงต้องปกป้องยัยน่าขยะแขยงแบบนั้นด้วย? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ! ไปช่วยยัยเด็กเกเรที่โดนแบนในโรงเรียนตลอดแบบนั้น แกน่ะมันน่าขยะแขยงที่สุด!”
การที่ยัยพวกนี้ทำเป็นกร่างมันน่ารำคาญชะมัด สองคนที่เหลือก็เอาแต่หัวเราะคิกคัก
“อย่างนี้นี่เอง…พวกแกยังยึดติดกับระบบชนชั้นสมัยมัธยมปลายอยู่สินะ! โอเคๆ! เข้าใจแล้วๆ!”
คนที่แกล้งได้ = คนน่าขยะแขยง, คนที่ช่วยคนน่าขยะแขยง = คนน่าขยะแขยง…ดังนั้น ในสายตาของพวกผู้หญิงในชุดสูท ผมจึงกลายเป็นผู้ชายที่อยู่ต่ำชั้นกว่า…ผมคิดว่าพวกเธอช่างโง่เง่าสิ้นดี ความคิดแบบนั้นมันใช้ได้ก็แค่ในสมัยมัธยมต้นและปลายที่ห้องเรียนเปรียบเสมือนกรงขังที่แยกพวกเขาออกจากอิสรภาพ และเป็นรั้วที่คอยปกป้องพวกเขาจากโลกภายนอกเท่านั้นแหละ มหาวิทยาลัยน่ะมันโหดร้ายกว่านั้นเยอะ…เดี๋ยวจะสอนให้เอง ผมเอามือไปโอบเอวของเด็กสาวสไตล์จิไรแล้วดึงเธอเข้ามาใกล้
“ว้าย! นี่จู่ๆ จะทำอะไรน่ะ?!”
ผมกระซิบที่ข้างหูของเธอ
“อยากจะสั่งสอนพวกนั้นให้หัวหดเลยใช่มั้ยล่ะ? ถ้างั้นก็เชื่อใจฉัน…โอเคนะ?”
“…เห…มั่นใจจังเลยนะ…ก็ได้…ทำให้ดูหน่อยสิ…คิกคิก”
“ถ้างั้นพอฉันให้สัญญาณ…”
ผมออกคำสั่งกับเด็กสาวสไตล์จิไร เธอพยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้ม
“ซุบซิบอะไรกันยะ! ทำตัวแบบนั้นแหละถึงได้น่าขยะแขยง!”
“ฉันไม่น่าขยะแขยง และเด็กคนนี้ก็ไม่น่าขยะแขยง…จะว่าไปแล้ว พวกแกน่ะ…อิจฉาเด็กคนนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ?”
“จะเป็นไปได้ยังไงเล่า! อย่ามาล้อเล่นนะ!!”
พวกผู้หญิงในชุดสูทโกรธจนหน้าแดงก่ำ…แทงใจดำสินะ เด็กสาวสไตล์จิไรคนนี้ ถ้าแค่สวยอย่างเดียวก็คงขึ้นไปอยู่บนสุดของพีระมิดได้แล้ว แต่เพราะเธอคงเป็นคนแปลกๆ เลยถูกกีดกันออกจากกลุ่ม และพวกนี้ก็ใช้โอกาสนั้นเล่นงานเธอ…แรงจูงใจมันคือความอิจฉาอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าที่สวยเกินไปมักจะทำให้ผู้ที่มองรู้สึกต่ำต้อย…พวกเขาจึงต้องโจมตีและพยายามกำจัดเธอออกไปอย่างสุดชีวิต การที่อยากให้เธอใส่สูทก็เพราะอยากจะซ่อนความงามของเธอไว้ใต้เสื้อผ้าเรียบๆ นั่นเอง…แต่นั่นแหละคืออาวุธของเธอ ผมใช้นิ้วที่โอบเอวเธออยู่ลูบไล้ที่แผ่นหลังของเธอเบาๆ
“อื้อ…จั๊กจี้นะ…”
เธอตัวบิดไปมาเล็กน้อย แต่ก็เริ่มทำตามคำสั่งของผมในทันที
“ฮึก! ฮือออ! แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!”
เด็กสาวสไตล์จิไรทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วโผเข้าซบที่อกของผม แถมยังมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสายจริงๆ ด้วย…จะว่าไป ผมไม่ได้บอกให้ทำถึงขนาดนั้นเลยนะ…แต่ช่างเถอะ กลับกลายเป็นว่าเราได้เปรียบมากขึ้นไปอีก เพราะถึงแม้เธอจะร้องไห้…เธอก็ยังคงงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ!
“พวกแกมันเลวที่สุด! รุมด่าคนๆ เดียวแบบนี้ได้ยังไง!”
ผมตะโกนเสียงดังให้คนรอบข้างได้ยิน แล้วลูบหัวของเด็กสาวสไตล์จิไรอย่างอ่อนโยน
“หา? ร้องไห้แล้วจะทำไม? พวกฉันก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนะ น้ำตาผู้หญิงมันใช้กับผู้หญิงด้วยกันไม่ได้ผลหรอกย่ะ น่าขำชะมัด!”
นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเธอไม่เข้าใจ…น้ำตาผู้หญิงคืออาวุธ และหลักฐานก็คือ…
“อะไรๆ? ทะเลาะกันเหรอ?”
“มีเด็กน่ารักร้องไห้อยู่ด้วย”
“นั่นแฟนของเด็กรึเปล่า? ที่เข้าไปปกป้องน่ะเท่ชะมัดเลย”
“โดนแกล้งอยู่เหรอ? น่าสงสารเกินไปแล้ว”
“เด็กผมบลอนด์คนนั้นสวยมากเลยนะ…แต่กลับทำให้ร้องไห้ได้…”
“ก็คงอิจฉาความสวยนั่นแหละ…อา แต่ว่าน่ารักจริงๆ นะ…แต่คงมีเจ้าของเป็นหนุ่มหล่อไปแล้วล่ะมั้ง…แต่ก็น่ารักอยู่ดี”
เสียงซุบซิบจากรอบข้างเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และผู้คนก็เริ่มมารวมตัวกันรอบๆ พวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างมองมาที่พวกเราด้วยความเป็นมิตร ในทางกลับกัน พวกเขากลับมองไปยังกลุ่มผู้หญิงในชุดสูทด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามหรือเกือบจะเป็นศัตรู พวกเธอเริ่มมีท่าทีเลิ่กลั่กสับสนกับการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศอย่างกะทันหัน
“พวกแกคงหลงคิดว่าที่นี่ยังเป็นโรงเรียนมัธยมปลายอยู่สินะ ถ้าเป็นที่โรงเรียนเก่าของพวกแก ยัยนี่ก็คงเป็นได้แค่เบี้ยล่างให้รังแกไปจนเรียนจบ แค่พวกตัวแม่ทำเป็นกร่างใส่หน่อย พวกผู้ชายมันก็คงหัวหด ไม่กล้าหือแล้วล่ะสิ แต่ที่นี่คือมหาวิทยาลัย! และในมหาลัยน่ะ การตัดสินคนที่หน้าตาแบบโจ่งแจ้งนี่แหละคือความถูกต้องสูงสุด ยัยนี่หน้าตาสวยมาก เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะรักเธอ แต่พวกแกน่ะมันพวกนอกสายตา…คงทำได้แค่อยู่อย่างจืดชืดในมุมมืดของมหาลัยต่อไปนั่นแหละ”
พวกผู้หญิงในชุดสูทหน้าซีดเผือด ในเมื่อเข้ามาเรียนที่นี่ได้ก็คงไม่ใช่คนโง่…คงจะเข้าใจกฎของมหาวิทยาลัยแล้วสินะ ในมหาวิทยาลัยน่ะ ผู้หญิงสวยๆ จะเป็นที่ต้องการในทุกที่ ต่อให้นิสัยจะแย่หรือไม่มีความฉลาดเลยก็ตาม แค่หน้าตาดีก็เป็นที่ต้องการแล้ว มันต่างจากสมัยมัธยมต้นหรือปลายที่คนสวยแต่นิสัยหรือการกระทำมีปัญหาก็จะถูกรังแก…สังคมของผู้หญิงในมหาวิทยาลัยน่ะ รูปลักษณ์ภายนอกคือทุกสิ่ง…ถึงผมจะมีความคิดเห็นส่วนตัวอยู่บ้าง แต่นั่นก็คือกฎ
“หายไปจากสายตาของพวกเราซะเดี๋ยวนี้ นี่คือคำเตือน ถ้าทุกคนที่นี่จำหน้าพวกแกได้ขึ้นมาล่ะก็ลำบากแน่ พวกแกจะโดนแบนจากงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ และจะไม่มีชมรมไหนรับพวกแกเข้าด้วย เพราะฉะนั้นก่อนที่ทุกคนจะจำหน้าพวกแกได้…ก็ไสหัวไปซะ ถ้ายังมีความฉลาดหลงเหลืออยู่ล่ะก็…รีบไปซะ”
“””ชิ…”””
พวกผู้หญิงในชุดสูทหายตัวไปจากตรงหน้าของพวกเราในทันที พวกเธอคงจะกลับบ้านไปเลยโดยไม่เข้าพิธีปฐมนิเทศ ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ เพราะต่อให้ยังอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นแน่ จากนั้นผมก็ประคองเด็กสาวสไตล์จิไรแล้วเดินออกจากตรงนั้นไป
หลังจากที่เดินออกมาจากฝูงชนแล้ว ผมกับเด็กสาวสไตล์จิไรก็มาหยุดพักอยู่ที่ใต้ร่มไม้
“นายก็ใช้ได้เลยนี่นา…ทำเอาฉันทึ่งไปเลย คนที่ทำให้ฉันทึ่งได้น่ะถือว่าสุดยอดไปเลยนะ ขอบใจนะ สนุกมากเลยล่ะ! คิกคิก”
เด็กสาวสไตล์จิไรยิ้มอย่างร่าเริง การที่เธอขอบคุณก็ทำให้ผมดีใจอยู่หรอก…แต่ในใจของผมกลับมีสัญญาณเตือนภัยดังลั่น ปิ๊บๆๆๆๆ
“งั้นเหรอครับ…ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะ”
ผมพูดจบก็โค้งคำนับให้แล้วทำท่าจะเดินจากไป แต่กลับถูกคว้าแขนเสื้อสูทไว้ในทันที
“เดี๋ยวก่อนสิ! ทำไมจะรีบไปไหนล่ะ? เวลาแบบนี้มันต้องใช้บุญคุณที่ช่วยไว้มาต่อรองเพื่อขอช่องทางติดต่อ บังคับให้ไปเดท หรือไม่ก็ลากเข้าเลิฟโฮเทลไม่ใช่เหรอ? ผู้หญิงสวยๆ อย่างฉันน่ะไม่ได้เจอกันง่ายๆ หรอกนะจะบอกให้”
ถ้าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ล่ะก็ ผมก็คงจะลองขอเดทดูอยู่หรอก แต่ไม่ว่าจะมองยังไงผู้หญิงคนนี้ก็เป็นตัวประหลาดชัดๆ…ผมตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตวัยรุ่นที่เปล่งประกายและแต่งงานอย่างมีความสุขให้ได้ เมื่อกี้เธอก็ดูสนุกสุดๆ ไปเลยนี่นะ…ผู้หญิงที่ดูอันตรายและมีกลิ่นอายของแนวเมนเฮระแบบนี้ผมไม่เอาด้วยหรอก ถึงหน้าตาจะอยู่ในระดับเดียวกับภรรยา (ในอดีต) ก็เถอะ แต่ผู้หญิงที่นิสัยใจคอคาดเดาไม่ได้แบบนี้ไม่ไหว…ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย
“เป็นนักศึกษาแล้วเลิกเรียกตัวเองว่า ‘ผู้หญิงสวยๆ’ ได้แล้วน่า โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ไม่ใช่เด็กสาวซะหน่อย”
“หา? แต่ฉันยังเวอร์จิ้นอยู่นะยะ?”
“หูเพี้ยนไปแล้วรึไง!? ไม่ได้พูดแล้วก็ไม่ได้ถามเรื่องนั้นสักหน่อย!”
“จะว่าไปแล้ว…นายไม่สนใจฉันเหรอ? ที่เข้ามาช่วยก็เพราะมีใจไม่ซื่อไม่ใช่รึไง? ฉันรู้มาจากมังงะกับไลท์โนเวลนะว่าใจของผู้ชายน่ะเป็นแบบนั้น”
“ตำราที่เรียนมามันผิดแล้ว! อย่าไปเรียนรู้ใจผู้ชายจากของแบบนั้นสิ! เมื่อกี้นี้ร่างกายมันขยับไปเองต่างหาก”
“เห…แสดงว่านายไม่สนใจฉัน…ก็คือนายเป็นพวกรสนิยมชอบคนขี้เหร่นี่เอง…ขอโทษด้วยนะ ฉันคงสนองความต้องการของนายไม่ได้หรอก…น่าสงสารจังเลยนะ…คิกคิก”
“ไม่ได้มีรสนิยมชอบคนขี้เหร่เฟ้ย! ยัยนี่มันแปลกจริงๆ ด้วย!”
การที่เธอเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลได้ขนาดนี้มันสุดยอดจริงๆ…หรือว่าที่เธอโดนแกล้งมันก็สมควรแล้ว? ที่เข้าไปช่วยนี่คิดผิดรึเปล่าเนี่ย?
“นี่ พ่อคนรสนิยมชอบคนขี้เหร่ เดี๋ยวพิธีก็จะเริ่มแล้ว ไปด้วยกันเถอะ”
“ไม่ล่ะ ฉันไปคนเดียวได้”
“นาย…อุตส่าห์ช่วยฉันแล้วยังจะทิ้งกันกลางทางอีกเหรอ? ถ้าปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวตรงนี้ตอนนี้ล่ะก็…เดี๋ยวก็มีพวก ‘เมื่อกี้โดนแกล้งจนร้องไห้เลยนี่ น่าสงสารจัง! มาเล่าให้ฟังหน่อยสิ!’ โผล่มาหรอก แล้วพอรู้ตัวอีกทีฉันก็ไปอยู่ที่เลิฟโฮเทลแล้ว…เพิ่งจะเข้ามหาลัยได้ไม่ทันไร ก็มีผู้ชายมาแตกในซะแล้ว!”
“ฮะฮ่า! จินตนาการล้ำเลิศเกินไปแล้ว…แถมมุกใต้สะดือยังแรงอีกต่างหาก!”
“เป็นฮีโร่พิทักษ์ธรรมก็ต้องดูแลผู้หญิงให้ถึงที่สุดสิ! เอ้า! นำทางฉันไปที่พิธีปฐมนิเทศเดี๋ยวนี้เลย! แล้วก็ตอนที่พวกผู้ใหญ่พูดสุนทรพจน์มันน่าเบื่อ ช่วยเล่าเรื่องตลกๆ ให้ฟังข้างๆ ด้วย! ฉันเกลียดความน่าเบื่อ!”
“…ถ้าจะปฏิเสธล่ะ?”
“ถ้าปฏิเสธล่ะก็…ฉันจะร้องไห้โฮ แล้วใช้ดาบแห่งความยุติธรรมฟันนายเป็นชิ้นๆ ซะ”
“พวกผู้หญิงนี่มันเจ้าเล่ห์ชะมัด! รู้แล้วๆ ไปด้วยก็ได้…พิธีปฐมนิเทศน่ะจะอยู่ด้วยก็แล้วกัน”
“ต้องอย่างนั้นสิ! ฝากตัวด้วยนะ…ฉันชื่ออายาชิโระ ฮิเมน่า…ถ้าอยากจะรักษาระยะห่างก็เรียกอายาชิโระซัง แต่ถ้าอยากจะประจบเพื่อหวังผลล่ะก็…เรียกฮิเมะจังก็ได้นะ”
เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินเสียงสระ ‘เมะ’ ลากยาวๆ ด้วยแฮะ…คงจะคิดไปเองล่ะมั้ง? แต่ยังไงก็คงไม่มีทางเรียกชื่อต้นอยู่แล้ว อย่างมากก็คงคบกันแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นแหละ
“ไอ้ ‘หวังผล’ น่ะไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว…งั้นขอเรียกอายาชิโระก็แล้วกัน…ฉันชื่อโทคิวะ คานาฮิสะ จะเรียกยังไงก็เชิญ”
“เข้าใจแล้วล่ะ…นายนกเขาไม่ขันรสนิยมชอบคนขี้เหร่คานะจัง”
“เฮ้ย อย่ามาล้อเล่นนะ! ไม่ได้นกเขาไม่ขันเฟ้ย! แล้วก็เลิกเรียกคานะจังด้วย!!”
เรื่องนกเขาไม่ขันนี่ขอร้องล่ะอย่าเอามาพูดเลย…ในชีวิตรอบแรก ผมกลายเป็นคนนกเขาไม่ขันก็เพราะเรื่องที่ภรรยานอกใจนั่นแหละ มันเป็นอะไรที่ทรมานมากจริงๆ ความทุกข์ทรมานที่ต้องพึ่งยาปลุกเซ็กส์น่ะมันเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ พอย้อนเวลากลับมาในโลกนี้รอบที่สองแล้วหายเป็นปกติได้นี่มันดีจริงๆ
“เอ้า ไปกันได้แล้ว โทคิวะ…ต้องรีบไปก่อนจะสายนะ! คิกคิก”
อายาชิโระเมินคำประท้วงของผม แล้วเดินนำไปก่อนพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดี
“เป็นยัยตัวยุ่งจริงๆ เลยให้ตายสิ”
ผมเดินเคียงข้างอายาชิโระ…แล้วพวกเราก็เข้าไปในสถานที่จัดพิธีปฐมนิเทศด้วยกัน
MANGA DISCUSSION