“แฮมเบอร์เกอร์ เชค เฟรนช์ฟรายส์ ไทยากิ ทาโกะยากิ โคตรอร่อยเลยเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!”
เพื่อฆ่าเวลาระหว่างทางกลับบ้าน นัตสึกิเลยออกตระเวนกินจุบกินจิบไม่หยุด
อาหารฝีมือแม่ก็อร่อยสุดยอดเหมือนกัน แต่เขาอยากกินของที่เคยกินอยู่เป็นปกติทุกวันเหลือเกิน
เรียกได้ว่าเป็นการระบายความเครียดจากอีเวนต์วุ่นวายต่อเนื่องของสามคนเจ้าปัญหา—มิยาโกะ อันสึ และยูโตะ—เลยกลายเป็นยัดห่าเข้าไปไม่ยั้ง
“คนที่คิดค้นแฮมเบอร์เกอร์นี่มันอัจฉริยะชัดๆ! แค่เอาขนมปังประกบเนื้อก็อร่อยแล้วอะ! แล้วยังมีไส้ชีสอีก โคตรบ้าเลย! เชคนี่ก็สุดยอด! ไอศกรีมแบบดื่มได้อะ คิดได้ไงวะ! เฟรนช์ฟรายส์ทอดเนี่ย ถึงจะดูปกติแต่ก็หยุดมือไม่ได้อยู่ดี ไทยากิก็เถอะ แป้งทอดหอมๆ บวกถั่วแดงอะ อร่อยอยู่แล้วไหมล่ะ! ส่วนทาโกะยากิ ให้คนคิดเป็นราชาไปเลย!”
เขาซาบซึ้งในวัฒนธรรมอาหารของโลกมนุษย์เสียจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
ยังมีอีกเพียบที่อยากกิน—ราเม็ง ข้าวผัด อุด้ง โซบะ หมี่เย็น โอโคโนมิยากิ เครป เค้ก สมูทตี้ ลาเต้ ข้าวไข่เจียว ฮายาชิไรซ์ สตูว์เนื้อ ยากินิกุ ปลาเคี่ยว—รายชื่อยาวเป็นหางว่าว
แน่นอนว่าท้องมันก็มีขีดจำกัด ต้องแยกเป็นวันๆ ไป แต่สำหรับเด็กวัยกำลังโตอย่างนัตสึกิ มื้อเย็นอีกสักมื้อก็ยังไหวอยู่แล้ว
(สิ่งที่เกลียดที่สุดในต่างโลกคืออะไรน่ะเหรอ…อาหารมันดูไม่น่ากินยังไงล่ะ อาหารคือรากฐานของชีวิตเลยนะ แล้วถ้ามองแวบแรกก็สิ้นหวังแล้วเนี่ย โลกนั้นมันจะไปรอดได้ยังไง? ฝั่งพวกปีศาจยังดีกว่านิดนึงนะ แต่ผลไม้ประหลาดๆ ที่ขึ้นตามต้นไม้นั่นดูจะอร่อยที่สุดแล้วล่ะ มันจะไม่แย่ไปหน่อยเหรอ?)
พลางคิดถึงต่างโลกที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว นัตสึกิก็ถีบจักรยานกลับบ้านพลางพ่นคำในใจว่า “กลับมาได้ก็ดีแล้ว” “ไม่มีทางไปอีกแน่” “จ้างให้ก็ไม่เอาอีก” ฯลฯ
จักรยานมือสองจากพี่ชายข้างบ้านยังไงก็ยังขี่สบายกว่าพาหนะที่โลกโน้น
ที่ต่างโลกเขาต้องนั่งรถม้าเป็นหลัก ทรมานก้นแทบขาด
หลังจับเปกาซัสได้ก็ใช่จะดีขึ้น ถึงจะได้บินบนฟ้าแต่โคลงเคลงยิ่งกว่าเรือสำเภา สุดท้ายก็รู้ตัวว่าตัวเองบินเองยังจะสบายกว่าอีก แต่ในช่วงทำภารกิจหมู่หรือตอนกลับเมืองก็จำใจต้องทน นั่งไปก็ทรมานก้นไป
(ว่าแต่ เปกาซัสนั่นยังสบายดีไหมนะ ตอนนั้นยกให้ลูกสาวจอมมารไปแล้ว หวังว่าจะเลี้ยงดีๆ ล่ะ ได้ยินว่าเนื้อมันอร่อยสุดๆ ด้วยสิ ถึงจะไม่เคยลองเองก็เถอะ… ช่างมันละกัน!)
“ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้วล่ะ—หือ?”
ตอนที่เขากำลังขี่จักรยานผ่านตรอกเล็กหลังถนนการค้า มุ่งหน้ากลับบ้านนั้นเอง
—ความรู้สึกของ ผู้คน ก็หายไปจากรอบข้าง
บ้านเรือนยังเรียงราย แต่แม้เงี่ยหูฟังก็ไม่มีเสียงของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเสียงคน เสียงหมา เสียงแมว หรือแม้แต่เสียงอีกาก็ไม่มี โลกเงียบสงัดราวกับถูกกลืนไป
(เหมือนโดนตัดขาดออกมาคนเดียวเลยแฮะ… ไม่ใช่บาเรียแน่ แล้วนี่มันอะไรกัน?)
อย่างน้อยก็ไม่มีพลังเวทหรือพลังวิญญาณแผ่ออกมา
ไม่รู้สึกถึงศัตรู แต่โลกนี้มีคนที่โจมตีได้โดยไม่มีเจตนาร้ายอยู่ถมไป—รวมถึงตัวเขาเองด้วย
เขาจอดจักรยานลง หันมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง—แล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็ปรากฏเข้ามาในมุมสายตา
“—หา?”
‘มัน’ อยู่ในเงาเสาไฟ
แสงจากไฟถนนในยามเย็นส่องสว่างเพียงบางจุด
และในจุดนั้น ‘มัน’ อยู่ตรงนั้น
“—หา? หา?”
เป็นร่างคนขนาดเล็ก
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
เตี้ยกว่านัตสึกิที่สูงราวๆ หนึ่งร้อยหกสิบกลางๆ นิดหน่อย คาดว่าไม่ถึงร้อยห้าสิบ
หัวโต แขนยาว ขาสั้น ลำตัวยาว
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือดวงตาสีดำสนิทที่กินพื้นที่เกือบทั้งใบหน้า—ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“ไม่สิ แบบนี้มัน—”
ดวงตาคู่นั้นดูดวิญญาณแทบจะเข้าไปในนั้น ยังไม่น่ากลัวเท่าผิวหนังสีเทาทั้งร่าง
ไม่รู้ว่าแก้ผ้าอยู่หรือใส่ชุดรัดรูปทั้งตัว แต่ทั้งร่างนั้นเทาไปหมด
แม้แต่นัตสึกิที่เคยโค่นจอมมาร มังกร แม้กระทั่งเทพในต่างโลกมาแล้ว ยังขนลุกซู่จริงจัง
—เพราะ ‘มัน’ คือสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่า “เกรย์” มนุษย์ต่างดาวยังไงล่ะ
“คนนิจิวะ… สิ่งมีชีวิตจากโลก… วาตาชิวะ… ที่พวกนายเรียกกัน… มนุษย์ต่างดาว… เซย์เมไทดะ”
“…การเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตต่างดาวงั้นเหร๊อออออ!?”
ผู้กล้าผู้หวนคืนจากต่างโลก… บัดนี้ได้ติดต่อกับอวกาศเรียบร้อยแล้ว
MANGA DISCUSSION