“――ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ! ข้าวปั้นเนี่ย ฉันว่าสำคัญกับโลกนี้มากกว่าดาบศักดิ์สิทธิ์อีกนะ! ของวิเศษชัดๆ!”
หลังจากกินข้าวกล่องฝีมือแม่จนหมดเรียบร้อยบนดาดฟ้า นัตสึกิก็ลูบท้องเบาๆ แล้วหยิบขวดชาขึ้นมาดื่ม
“อื้ม! ชาธรรมดาๆ ที่เคยดื่มเป็นประจำก็อร่อยที่สุดเหมือนกัน! ก็แน่ล่ะสิ ที่โน่นไม่ได้กินอะไรเลยนี่นา”
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้นัตสึกิหมดหวังกับต่างโลกที่ถูกอัญเชิญไป ยิ่งกว่าการขาดความตื่นเต้น ก็คือเรื่อง “อาหาร”
เนื้อก็เอาไปย่างทั้งก้อน ผักก็แค่ต้มน้ำใส่เกลือ ส่วน “น้ำดื่ม” ก็น่ากลัวจนแค่ชิมคำเดียวก็ปวดท้องทันที—ทั้งขุ่นมัว แถมไม่รู้มีพยาธิหรือโรคอะไรอยู่หรือเปล่า ถ้ากินเข้าไปอาจไม่ได้กลับโลกเดิมแต่ไปโลกหน้าก็เป็นได้
แม้แต่พวกขุนนาง ยังแค่หั่นเนื้อบางๆ วางแต่งจาน น้ำซุปก็ใส่จานสวยหรู น้ำดื่มที่ก็แค่บีบเลมอนใส่ ก็เทใส่แก้วหรูๆ จบ ความต่างจากชาวบ้านมีเพียงใช้เกลือกับพริกไทยได้เต็มที่ ดื่มไวน์ราคาแพง และมีคนรับใช้เตรียมอาหารให้เท่านั้น
จะให้คอยพูดว่า “ต้มน้ำให้เดือดก่อนสิ” “ย่างเนื้อให้สุกหน่อย” “ปอกเปลือกผักให้ดีๆ” ก็คงไม่มีวันจบ
นัตสึกิจึงไม่แตะอาหารใดๆ จากโลกนั้นเลย เพราะเชื่อว่าถ้ากินเข้าไป ก็จะไม่มีวันได้กลับโลกเดิมอีก
แน่นอนว่า ช่วงแรกมันทรมาน หิวจนคิดจะกินแม้แต่อาหารที่น่าจะปนเปื้อนเชื้อโรค แต่นัตสึกิก็อดทน ขนาดกัดแขนตัวเองดูดเลือดกิน หรือเลียเหงื่อตัวเองเพื่อระงับความหิว
รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า “ถ้ากินของจากโลกนั้นเข้าไป จะกลับมาไม่ได้อีก”
แต่เด็กวัยเจริญเติบโตจะทนหิวเกินสามวันได้อย่างไร ความหิวและความกลัวกัดกินสติของนัตสึกิจนแทบจะเสียสติ ทว่าในตอนนั้นเอง ร่างกายเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
ความหิวโหยหายไป ร่างกายก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างล้นเหลือ
ตอนนั้นนัตสึกิค่อนข้างหลงตัวเองว่า “เราเก่งชะมัด!” แต่ภายหลังก็ได้รู้ว่า เป็นเพราะเขาดูดซับพลังเวทที่ปกคลุมในบรรยากาศแล้วเปลี่ยนมันเป็นพลังชีวิตต่างหาก
แม้จะมีพลัง แต่ก็ยังเอือมระอาเหล่ามนุษย์ที่เอาแต่พูดสิ่งเห็นแก่ตัว เช่น “รีบไปสู้กับพวกปีศาจสิ” “เอาดินแดนกลับคืนมา” “อยากได้ทาสปีศาจ” “ผู้หญิงกับเด็กใช้งานได้ เอาไว้ก่อน” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยคิดจะสอนเรื่องอาหารหรือเกมตามสูตรนิยายต่างโลกเลยแม้แต่นิด
“คิดไปคิดมา ฝั่งพวกปีศาจกลับใช้เวทมนตร์สร้างวิถีชีวิตที่คล้ายฝั่งเรามากกว่าซะอีกนะ”
แล้วตอนนี้ พวกนั้นจะเป็นยังไงอยู่กันนะ? —ไม่ได่สนเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ ตอนบ่ายต้องเข้าเรียนแล้ว――ได้เวลาออกมาแล้วล่ะ”
นัตสึกิเอ่ยเสียงเนือยๆ ไปทางประตูดาดฟ้า ไม่นานก็มีเด็กสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
“――ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วสินะ ดูท่าคุณจะมีพลังจริงๆ”
“ใครอะ?”
เด็กสาวผมดำยาวสลวยที่โผล่ออกมา ทำให้นัตสึกิอดนึกถึงตุ๊กตาอิจิมัตสึในความทรงจำไม่ได้
ไม่ใช่แค่ทรงผม ใบหน้าก็สวยงามไร้ที่ติ เด่นกว่าเหล่าชาวต่างโลกแนวตะวันตก เป็นสาวงามแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ที่น่าจะกลายเป็นสาวงามสมบูรณ์แบบในอนาคต จมูกเรียวสวย คิ้วได้รูป และโดยเฉพาะดวงตาที่ดูแน่วแน่ ทิ้งความประทับใจไว้
“ม…มาพูดล้อเล่นอะไรกันคะ ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันแท้ๆ!”
“เอ่อ…อิจิมัตสึโกะสินะ?”
“มินาซึกิ มิยาโกะค่ะ! แล้วชื่อแบบนั้นเอามาจากไหนกันคะ!?”
“อ๋อ ใช่ๆ มินา…ซึกิ มิยาโกะจังนี่เอง แน่นอน ฉันจำได้แม่นเลย…มั้ง? ถ้าจำไม่ผิด นั่งข้างๆ ฉันใช่มั้ย?”
“ผิดค่ะ!”
ใบหน้าสวยงามของเธอแดงขึ้นเพราะความโกรธ พร้อมกับตะโกนเสียงดังใส่นัตสึกิ
นัตสึกิเอียงคอ “หืม?” อย่างงุนงง
เพราะในความรู้สึก มันผ่านไปหกปีแล้ว แถมยังเป็นหกปีที่ทรหดในโลกต่างมิติ ความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นย่อมเลือนราง
(ว่าแต่ พวกจอมมารที่เคยสู้ หรือเจ้าหญิงที่บอกว่าอยากแต่งงานกับผู้กล้าแต่แอบคบกับเพื่อนพ่อตัวเอง กลับจำหน้าได้แม่นแฮะ)
ดูเหมือนจะหงุดหงิดที่นัตสึกิไม่สนใจ มิยาโกะก้าวฉับๆ เข้ามายืนต่อหน้าเขา จ้องเขม็งก่อนจะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ช่างมันเถอะ เข้าเรื่องเลยก็ได้――เธอมีธุระกับฉันใช่มั้ย?”
“ตระกูลมินาซึกิสัมผัสได้ถึงพลังของคุณ เราจึงต้องการคำอธิบาย ขอให้ตามฉันไปที่ตระกูลมินา――”
“หา? ไม่เอาอ่ะ!”
นัตสึกิปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิด
มิยาโกะตาโตอ้าปากพะงาบราวกับไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“…อะ…อะไรนะคะ?”
“ก็บอกว่า ถ้ามีธุระ พวกเธอก็ควรเป็นฝ่ายมาหาฉันไม่ใช่เหรอ? นี่มันเสียมารยาทสุดๆ เลยนะ”
คำพูดของนัตสึกิทำเอาหน้าของมิยาโกะแดงก่ำด้วยความโกรธ
MANGA DISCUSSION