“ทำไมล่ะ? หมายความว่ายังไง?”
“…”
ผมเอ่ยถามแต่มิซากิก็เม้มปากแน่นแล้วเบือนสายตาหนีไป
“พูดยากงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น… แต่ฉันรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูดออกมาเป็นคำพูดก็ได้…”
ดูเหมือนว่าเธอจะคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดกับผม
เอาจริงๆ ผมกับเธอก็ไม่ได้คบกันจริงๆ ด้วยซ้ำ เพราะงั้นจะทำอะไรก็เป็นสิทธิ์ของเธอ
แค่ถ้าจะมีเรื่องอะไรที่อาจกลายเป็นปัญหาภายหลังผมก็อยากรู้ไว้ก่อน อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้โคโคอะต้องมาเดือดร้อนด้วย
“ถ้าเป็นเรื่องที่เล่าได้ล่ะก็อยากให้เล่านะ ถ้าเราจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีแบบนี้ไว้ก็ไม่ควรมีเรื่องปิดบังกัน”
“…นายจะไม่รังเกียจเหรอ?”
มิซากิเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างระแวงนิดๆ ด้วยแววตาประเมินสีหน้า
จากที่เธอดูเหมือนจะยอมเปิดใจง่ายๆ แบบนี้ แปลว่าเรื่องนี้คงไม่ได้พูดยากอะไรนักหรอก ที่เธอกังวลคงเป็นเรื่องว่าจะถูกรังเกียจหรือเปล่ามากกว่า
แบบนี้มัน… หรือว่าเป็นเรื่องนิสัยประหลาดอะไรบางอย่างของเธอ?
“ไม่รู้สิ ต้องฟังก่อนถึงจะตอบได้”
“ก็ว่าอยู่แล้วว่าต้องตอบแบบนี้แน่ๆ…”
เพิ่งคุยกันเรื่องนี้ไปหยกๆ มิซากิเลยยิ้มแห้งๆ ออกมา
ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ผมเป็นคนแบบนี้แหละ
“ฉันน่ะ… กลัวการตกหลุมรักใครสักคนขึ้นมาจริงๆ น่ะ…”
มิซากิพูดพลางนั่งกอดเข่าแล้วซบหน้าลงกับหัวเข่าช้าๆ
“หมายถึง ‘รัก’ ในความหมายแบบคนรักใช่มั้ย?”
เธอเองก็เข้ากับคนอื่นได้ดีเสมอ โดยเฉพาะที่ได้ยินมาว่าเธอสนิทกับ ซูซุมิเนะ เฮียวกะ จากห้องข้างๆ มาก เห็นว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กซะด้วย
ถ้าเธอรักเฮียวกะในฐานะเพื่อนสนิทได้ก็ไม่น่าจะใช่คนที่รักใครไม่เป็น
ถึงผมจะไม่ค่อยชอบอีกฝ่ายก็เถอะ เพราะเธอคนนั้นทำตัวเย็นชาใส่ผู้ชายตลอดเลย
“อืม…”
มิซากิพยักหน้าเบาๆ เหมือนยืนยันความคิดของผม
“มีเรื่องฝังใจเหรอ?”
คำว่า ‘กลัว’ ของเธอนั่นแหละที่ติดอยู่ในใจผม เลยลองถามดู และเธอก็พยักหน้าอีกครั้ง
“ถ้าคนที่ฉันชอบหายไปซะแล้วล่ะก็… หัวใจของฉันคงจะพังไปเลยจริงๆ…”
“หมายความว่ายังไง?”
เธอกำลังพูดถึงตอนที่ต้องเลิกรากันหรือเปล่านะ แต่ถ้าแค่นั้นก็ดูจะเวอร์ไปหน่อย
ถ้าอย่างนั้นก็คงหมายความตามที่พูดจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังฟังดูแปลกอยู่ดี
ถึงแม้จะต้องห่างกันไปในยุคนี้ที่เทคโนโลยีก้าวหน้า เราก็ยังสามารถติดต่อกับคนไกลตัวได้ง่ายๆ อยู่ดี แถมยังสามารถคุยกันแบบเห็นหน้าได้ด้วยซ้ำ
จะคิดถึงบ้างก็ไม่แปลกหรอก แต่ให้ถึงขั้นใจพังมันก็มากเกินไป
ถ้าอย่างนั้น… ที่เหลือก็คือความตาย?
“เรื่องมันผ่านมาตั้งหกปีแล้วล่ะ… พี่สาวของฉันนะ พอแต่งงานได้ไม่นานก็สูญเสียสามีจากอุบัติเหตุ…”
“อย่างนี้นี่เอง…”
สุดท้ายก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความตายของคนสำคัญจริงๆ ด้วย
ช่วงแต่งงานใหม่ๆ ถือเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดช่วงหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่พอคนที่รักต้องจากไปอย่างกะทันหัน ก็ไม่แปลกที่เธอจะจมอยู่กับความเศร้า
หกปีก่อนนั่นก็คือตอนที่พวกเรายังเป็นเด็กประถม
กับวัยเท่านั้นเธอคงรู้สึกสะเทือนใจมากแน่ๆ ที่ต้องเห็นพี่สาวที่เคยเข้มแข็งต้องกลายเป็นแบบนั้น
“พี่เขาเป็นคนใจดีมากแถมยังพึ่งพาได้สุดๆ… พี่สาวฉันรักสามีมากจริงๆ… พอเขาเสียไป พี่ก็แทบลุกไม่ขึ้นเลย… สามปีเต็มๆ ที่แทบไม่ได้ออกจากบ้าน…”
ดูเหมือนเธอกำลังนึกถึงเรื่องในอดีต ร่างที่ซุกหน้ากับเข่านั้นเริ่มสั่นไหวเล็กๆ เธอคงจะเจ็บปวดกับความทรงจำนั้นจริงๆ
“เพราะได้เห็นพี่สาวกลายเป็นแบบนั้น เธอเลยไม่อยากให้ตัวเองต้องเป็นเหมือนกันสินะ”
“อืม… พี่สาวเป็นคนเข้มแข็งก็เลยลุกขึ้นมาได้… แต่ฉันน่ะไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้แบบนั้น…”
ฟังดูเหมือนจะโอเวอร์ไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้ไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอ เพราะผมเองก็เคยสูญเสียพ่อไปเมื่อสี่ปีก่อน ตอนก่อนที่โคโคอะจะเกิดไม่นาน
ตอนนั้นผมเองก็แทบรับไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะโคโคอะล่ะก็ ผมคงยังจมอยู่กับมันจนถึงตอนนี้ก็ได้
“เพราะงั้นเธอเลยคิดว่าซักวันตัวเองจะทำร้ายฉันอย่างหนักงั้นเหรอ… มั่นใจในตัวเองดีนี่นะ”
“อึก… ก็เลยถึงได้ถามไว้ก่อนยังไงล่ะ…”
สรุปก็คือ เธอคิดว่าในอนาคตผมจะต้องตกหลุมรักเธอแน่ๆ
พอคิดแบบนั้นแล้วก็อดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้จริงๆ แต่ก็เข้าใจเธอเหมือนกันเพราะจนถึงตอนนี้ก็มีผู้ชายมากมายตกหลุมรักเธอ และหลังจากนี้ที่เราสองคนก็ต้องทำตัวให้เหมือนคนรักกัน ถึงจะไม่ได้ถึงขั้นจูบแต่ก็คงต้องมีไปเดตหรือจับมือกันบ้าง
ถ้าทำอะไรแบบนั้นไปเรื่อยๆ ต่อให้ตอนแรกจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สุดท้ายก็ต้องเผลอคิดอะไรเข้าบ้างไม่มากก็น้อย เพราะงั้นเธอเลยกลัวว่าถ้าเกิดว่าผมรักเธอขึ้นมาจริงๆ แล้วเธอต้องปฏิเสธผม ผมจะต้องเสียใจอย่างหนัก นั่นแหละที่เธอเป็นห่วงที่สุด
“ก็ไม่เป็นไรหรอกน่า ถึงฉันจะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะไม่เผลอชอบเธอก็เถอะ”
“คือ…ไม่พูดให้ชัดๆ ว่าจะไม่ชอบนี่มันก็น่าทึ่งดีนะ…”
“ใจกับความรู้สึกมนุษย์น่ะ มันไม่ใช่อะไรที่จะควบคุมได้ง่ายๆ หรอก”
ถึงจะมีพวกที่พูดไปอย่างนั้นเพราะอยากดูดีหรือเพราะเขินก็เถอะ แต่ถ้ามาพูดกับมาดอนน่าของโรงเรียนที่มีแต่คนมาชอบแบบนี้มันก็ไม่มีน้ำหนักหรอก พยายามทำเท่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“ถึงจะรู้ว่ามันไม่ดีที่จะขอให้ช่วยแกล้งเป็นแฟนกันก็เถอะ… แต่ก็ขอโทษนะ… ถ้าสุดท้ายนายเผลอชอบฉันขึ้นมาจริงๆ ฉันก็คงตอบแทนความรู้สึกนั้นให้ไม่ได้หรอก…”
มิซากิเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าอึดอัดเหมือนกำลังรู้สึกผิด
คนที่ใจดีเกินไปนี่มันก็ลำบากเหมือนกันแฮะ…
“ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่มีใครคาดหวังจริงจังว่าจะได้เป็นแฟนกันหรอก ถ้าฉันเป็นคนแบบนั้นล่ะก็ เธอก็คงไม่เลือกมาแกล้งคบด้วยตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมล่ะ?”
“ก็ใช่… แต่ว่าพอได้นายช่วยไว้หลายอย่างขนาดนี้ ฉันก็รู้สึกว่าการพูดแบบนี้มันเห็นแก่ตัวไปหน่อย…”
“ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก ไม่มีใครบอกว่าถ้ามีคนมาสารภาพรักแล้วต้องตอบรับนี่ โลกนี้มันไม่มีกฎแบบนั้นซะหน่อย”
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีใครแกล้งเป็นแฟนกับใครแล้วดันเผลอหวังให้ได้คบจริงขึ้นมา มันก็เป็นความผิดของคนนั้นเองนั่นแหละ
ในเมื่อแอบมีอะไรแฝงอยู่ในใจตั้งแต่แรก จะมาหวังอะไรกับความสัมพันธ์แบบปลอมๆ ก็ไม่ได้ ถึงจะโดนปฏิเสธ เธอก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย
“งั้น… ช่วยสัญญากับฉันอย่างหนึ่งได้ไหม?”
ผมนึกว่าบทสนทนานี้น่าจะจบแล้วเสียอีก แต่มิซากิก็ยังมีอะไรจะพูดต่อ
ก็เข้าใจว่าเธอเป็นคนจริงจัง แต่ถ้าจะให้อะไรยืดยาวแบบนี้ผมก็ไม่ค่อยถนัดนัก แล้วก็ตอนนี้หิวมากจนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วด้วย…
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“คือว่า… ถ้ามันกลายเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ… ก็แค่อย่าสารภาพรักกับฉันก็พอ… ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ยังไปเดตด้วยได้น่ะ…”
อีกแล้ว… เธอพูดเรื่องเหลือเชื่อออกมาอีกแล้ว
ช่างเป็นคนที่จริงจังเกินไปหรืออ่อนโยนเกินไปกันแน่นะ?
สรุปก็คือถ้าผมไม่พยายามจะทำให้ความสัมพันธ์มันชัดเจนขึ้น เธอก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อความรู้สึกของผมไปเรื่อยๆ
ในเมื่อทำเป็นมองไม่เห็น เธอก็ยังสามารถไปเดตกันในฐานะเหมือนคนรักได้… แล้วก็หวังว่าผมจะพอใจกับเรื่องแค่นั้น
ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้ถึงขั้นชอบเธอด้วยซ้ำ แต่เธอกลับเสนอเงื่อนไขปิดทางไว้ล่วงหน้าแบบนี้ มันเลยทำให้รู้สึกว่าเธอช่างจริงจังเกินไปจริงๆ แต่ก็คงเพราะเธอเป็นคนที่จริงใจแบบนี้นี่แหละ ถึงได้มีคนรักมากมายขนาดนั้น
“เข้าใจแล้ว เอาแบบนั้นก็ได้”
อย่างน้อยถ้าผมไม่พยักหน้าให้ตอนนี้ มิซากิก็คงยังคงไม่ยอมจบเรื่องแน่ๆ ผมเลยยอมตอบรับไปก่อน
พอผมพยักหน้า เธอก็ยกมือแตะอกแล้วถอนหายใจอย่างโล่งใจ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกโล่งอกขึ้นมาจริงๆ
ดูท่าเรื่องคงจบแล้วสินะ
งั้นได้เวลาลงมือกินข้าวสักที ผมกำลังคิดแบบนั้นพอดี แต่แล้วก็มีอีกเรื่องที่ต้องถามให้แน่ใจก่อน
“ว่าแต่มีเรื่องนึงที่ฉันสงสัย… ซูซุมิเนะซังน่ะ เธอบอกความจริงกับเธอคนนั้นไปใช่มั้ย?”
ก็เป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กนี่นา ยังไงก็คงต้องเล่าไว้ก่อนแล้วล่ะ ผมคิดแบบนั้นแต่ทว่า…
“บะ-บอกไม่ได้น่ะสิ…! ก็ถ้าบอกล่ะก็ต้องโดนดุหนักมากแน่ๆ เลย…!”
มิซากิส่ายหน้าซ้ายขวารัว ๆ อย่างลนลานเต็มที่
“เอ่อ…”
เฮ้อ… ไม่เอาน่า แบบนี้มันไม่ไหวนะ… ก็เธอคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทเธอทั้งคน แถมเธอเองก็ต้องรู้เรื่องแผลใจของเธอแน่นอน แล้วแบบนี้มันจะไปปิดบังกันได้ยังไงล่ะ…
MANGA DISCUSSION