ขณะพักกลางวัน
“อืมๆ เรียบร้อยแล้วล่ะ”
พอเราย้ายมาที่สนามหญ้าด้านในโรงเรียนซึ่งค่อนข้างเงียบและไม่มีคนพลุกพล่าน มิซากิก็หยิบเสื่อปิกนิกออกมากาง
หลังจากนั้นเธอก็ถอดรองเท้าแล้วนั่งลงบนแผ่นรองก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
“เป็นอะไรเหรอ? มานี่สิ”
ดูเหมือนเธอจะสงสัยว่าทำไมผมไม่ตามเธอมานั่งด้วย
“เอ่อ… เธอนี่เตรียมพร้อมดีเหมือนเดิมเลยนะ”
“ก็แหงล่ะสิ จะให้นั่งกินในห้องเรียนได้ที่ไหนกันล่ะ? ต้องถูกมองจนรู้สึกอึดอัดแน่ๆ เลย”
“ก็นั่นสินะ”
ถ้าเรานั่งกินด้วยกันในห้องเรียนล่ะก็คงไม่พ้นถูกจ้องมองเป็นตาเดียวแน่นอน
ก็ในเมื่อเราเป็นคู่รักที่โด่งดังที่สุดในโรงเรียนตอนนี้แล้วนี่นา
เรียกได้ว่าเป็นคนดังในช่วงเวลานี้เลยก็ว่าได้
ทั้งดาดฟ้า ทั้งลานกลางโรงเรียนล้วนมีคนเต็มไปหมด การที่เธอเลือกมุมสงบอย่างตรงนี้ก็ไม่แปลก แต่ถึงอย่างนั้น…
“ยังไงก็ยังรู้สึกว่าเตรียมตัวมาพร้อมเกินไปอยู่ดี…”
“เตรียมตัวดีไม่ดีกว่าหรือไง!? ดีกว่าเตรียมไม่ทันตั้งเยอะเลยนะ!”
ดูเหมือนเธอจะจับได้ว่าผมยิ้มแห้งๆ เลยเริ่มงอนขึ้นมาหน่อยๆ
(หรือจะเรียกว่าหน้างอนก็ได้ล่ะนะ แก้มป่องๆ กับสายตาเจ้าเล่ห์นั่นมันออกจะน่ารักเสียด้วยสิ)
“ฉันไม่ได้บ่นสักหน่อย”
“แต่ฉันได้ยินเหมือนนายกำลังบ่นเลยนะ?”
“ก็แค่รู้สึกกลัวนิดหน่อยน่ะที่อะไรๆ มันดำเนินไปเร็วเกิน”
โดยเฉพาะตรงที่มันเหมือนจะดีเกินไปสำหรับผมยังไงยังงั้น
แน่นอนว่าผมไม่ได้หมายความว่าผมชอบเธอ แต่กับสถานการณ์ที่ได้อยู่กับมาดอนน่าของโรงเรียนสองต่อสองแถมยังได้กินข้าวฝีมือเธอแบบนี้ ผู้ชายส่วนใหญ่คงอิจฉากันหมด
“ก็สถานการณ์มันเป็นแบบนี้นี่นา… เอ้า นี่ข้าวกล่อง”
ดูเหมือนเธอจะเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ มิซากิเลยคลายแก้มให้ป่องน้อยลงแล้วส่งกล่องข้าวสีเรียบขนาดใหญ่ให้ผม
อีกกล่องที่อยู่ในมือนั้นเป็นกล่องข้าวลายดอกไม้น่ารักขนาดเล็ก ดูแล้วก็พอเดาได้ว่าเธอไม่ได้กินเยอะอยู่แล้ว ชัดเจนเลยว่าเธอตั้งใจทำมาให้ผมโดยเฉพาะ
“แน่ใจนะว่าจะให้ฉันจริงๆ?”
“ก็บอกแล้วไงว่าเป็นคำขอโทษกับคำขอบคุณน่ะ อย่าลังเลเลยน่า ถ้านายไม่กิน ฉันนั่นแหละจะลำบากแทน”
เธอหัวเราะเบาๆ พลางยักไหล่
จริงด้วย ถ้าผมไม่กินล่ะก็ ข้าวกล่องก็จะเหลือไปเปล่าๆ
ยิ่งเป็นของที่เธอตั้งใจทำมาแล้วด้วย จะให้เธอทิ้งมันลงถังขยะคงใจร้ายเกินไป
“งั้นก็ขอบใจนะ ฉันจะรับไว้ละกัน”
“ทานให้อร่อยนะ”
ผมเอ่ยขอบคุณแล้วก็ได้รอยยิ้มสดใสตอบกลับมา
เธอเป็นคนที่เข้าถึงง่ายจริงๆ คงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีผู้ชายตกหลุมรักมากมายขนาดนี้
แต่ทว่า…
“…………”
อยู่ดีๆ เธอก็จ้องผมที่กำลังจะเปิดฝาข้าวกล่องขึ้นมาอย่างไม่วางตา
ถูกมองด้วยสายตาขนาดนั้น ต่อให้เป็นผมก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
พูดไปก็เหมือนพูดเล่น แต่เธอดูจริงจังแปลกๆ แฮะ
ถ้าเป็นเพราะอยากรู้ว่าข้าวกล่องที่ทำมาอร่อยมั้ย ก็คงออกอาการลุ้นๆ หรือไม่ก็มีท่าทีตื่นเต้นกว่านี้หน่อย แต่ไม่ใช่แบบนั้นแน่
เธอไม่ได้มีท่าทีที่กำลังลุ้น แต่กลับมองผมเหมือนกำลังจับตาดูบางอย่างที่สำคัญเหมือนกับนักล่าที่รอจังหวะจะจับเหยื่อยังไงยังงั้น
ไม่สิ… น่าจะใกล้เคียงกับการมองหาจังหวะเพื่อที่จะพูดบางอย่างมากกว่า
“ดูท่าทางเธอยังมีเรื่องที่อยากจะพูดอยู่อีกสินะ?”
“เอ๊ะ!?”
ผมหยุดมือที่กำลังจะเปิดฝาข้าวกล่องแล้วหันไปมองมิซากิ เธอสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเริ่มมองซ้ายมองขวาแบบร้อนรน
“มะ-ไม่มีอะไรซะหน่อย~”
“อย่ามาแกล้งซื่อหน่อยเลย สถานการณ์ตอนนี้มันเลยจุดที่จะตกใจอะไรได้แล้วล่ะ ต่อให้เธอจะพูดอะไรออกมาอีก ฉันก็ไม่แปลกใจหรอก”
ว่าแล้วก็คงต้องฟังก่อนค่อยกินข้าวสินะ
โธ่… ตอนนี้หิวแทบจะแย่แล้วแท้ๆ…
“เอ่อ… นายจะโกรธชั้นมั้ย…?”
“ต้องฟังก่อนถึงจะตอบได้”
ก็แน่นอนล่ะ ถ้าไม่ฟังเสียก่อนก็ไม่มีทางตัดสินได้หรอก
ผมไม่ได้คิดว่ามิซากิจะพูดอะไรที่ทำให้ผมโกรธหรอกนะ แต่ก็ใช่ว่าผมจะรู้จักเธอทั้งหมดซะเมื่อไหร่
ตรงกันข้ามเลย บางทีสิ่งที่ไม่รู้ยังอาจมีมากกว่าสิ่งที่รู้ด้วยซ้ำ เพราะงั้นจะให้เชื่อหมดใจก็คงไม่ได้หรอก
“…….”
เหมือนจะตัดสินใจได้ว่าไม่อาจเลี่ยงได้แล้ว มิซากิเลยสูดหายใจลึก จากนั้นก็ทำสีหน้าเด็ดขาด ก่อนจะหันซ้ายขวาเพื่อเช็กว่าไม่มีใครอยู่รอบตัว แล้วค่อยๆ โน้มตัวมากระซิบข้างหูผม
“คือว่า… เราจะทำเป็นว่าเป็นแฟนกันต่อไป… แบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช่มั้ย…?”
“…อยู่ๆ จะพูดอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย?”
คำถามที่ไม่อยู่ในความคาดหมายทำให้ผมเผลอหลุดท่าทีเย็นชาตอบกลับไปแบบตรงๆ
“อื้อ… อย่ามองฉันแบบนั้นเลย…”
ดูเหมือนจะรู้ตัวดีว่าเผลอพูดอะไรที่ไม่เข้าท่าออกไป มิซากิถึงได้เอามือปิดหน้าตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจจะสวนกลับต่อ
“ขุดหลุมรอบตัวฉันไว้ขนาดนั้นแล้วเพิ่งจะมาถามย้ำแบบนี้ก็ไม่ทันแล้วมั้ง?”
“ฉันรู้หรอกน่า!! ขอโทษด้วยนะ…!”
แม้ไม่ต้องพูดให้ครบ เธอก็เข้าใจสิ่งที่ผมจะสื่อทั้งหมด
จะมาปฏิเสธเอาตอนนี้ก็ไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้ทั้งโรงเรียนรู้ไปแล้วว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ไม่มีทางจะถอยกลับได้อีก
เธอเองก็คงรู้เรื่องนั้นดีถึงได้เอาข้าวกล่องมาง้อก่อนล่วงหน้า หรือไม่ก็อาจจะคิดว่าถ้าผมเผลอกินเข้าไปแล้วจะได้รู้สึกผิดจนต่อว่ากลับไม่ได้ แต่ถึงไม่กินก็ไม่เกี่ยวกันอยู่ดี…
อย่างน้อยก็—
“ก็ไม่ได้โกรธหรอก เพราะงั้นไม่ต้องขอโทษก็ได้”
ผมไม่ได้อยากกดดันอะไรเธอ แค่รู้สึกไม่ค่อยโอเคเลยอยากพูดให้ชัดก็เท่านั้นเอง
“แต่สิ่งที่ฉันทำไปฉันว่ามันแย่มากเลยนะ…”
“หมายถึงเรื่องที่เธอใช้ฉันน่ะเหรอ? ก็รู้อยู่ว่าเธอลำบากใจกับเรื่องที่มีคนมาสารภาพรัก แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นคนให้เธอช่วยแกล้งเป็นแฟนตอนอยู่กับโคโคอะด้วย ยังไงผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกันหรอกนะ”
ก็แน่นอนว่าถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่อยากกลายเป็นศัตรูกับทั้งโรงเรียนหรอก
แต่ในเมื่อถูกเกลียดอยู่แล้ว ถ้ามันจะช่วยให้เธอสบายใจขึ้นได้ ผมก็ยอมแกล้งทำเป็นแฟนให้ก็ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วซะด้วยสิ
“เรื่องที่โคโคอะจังเข้าใจผิด ต้นเหตุก็มาจากฉันเองนี่นา…”
“พอพูดแบบนั้นขึ้นมาก็นึกขึ้นได้แฮะ”
ลองย้อนคิดดูแล้ว ที่ต้องแกล้งทำเป็นแฟนก็เพราะเธอนั่นแหละ มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องโรงเรียนจนลืมไปสนิทเลย
“แต่ก็เถอะ มันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว จะให้พูดอะไรตอนนี้ก็คงไม่เกิดประโยชน์หรอก”
ถ้าแค่พูดแล้วมันแก้ไขอะไรได้ก็คงจะพูดไปแล้ว แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรนี่นา แล้วอีกอย่าง เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันเป็นแบบนี้สักหน่อย
ว่าไปแล้วคนที่เริ่มแกล้งทำเป็นแฟนก่อนก็คือผมนี่แหละ… จะไปโทษเธอทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะดีนัก มันก็ไม่ใช่เรื่อง
“ไรโตะคุง…”
“อีกอย่าง ข้าวกล่องนี่ก็บอกแล้วว่าเป็นทั้งคำขอโทษกับคำขอบคุณใช่มั้ยล่ะ? งั้นก็ถือว่าหายกันแล้วกัน”
ผมไม่ชอบอะไรที่ยืดเยื้ออยู่แล้วเลยจะตัดจบแค่ตรงนี้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่อยากให้จบแค่นั้น
“เอ่อ… ถ้าไรโตะคุงไม่รังเกียจ… ฉันขอทำข้าวกล่องให้อีกได้ไหม…”
“หะ?”
“ก็ในเมื่อเราจะแกล้งเป็นแฟนกันต่อไป ฉันก็อยากให้คำขอบคุณมันเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องเหมือนกัน…”
มิซากิพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้สองข้างมาชนกันตรงหน้าอกแล้วก็ก้มหน้ามองมาทางนี้อย่างเขินๆ
เธอนี่เป็นคนที่ตั้งใจกับทุกๆ เรื่องเลยแฮะ
“ไม่ต้องก็ได้มั้ง? เธอไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้นี่นา…”
ถ้าจะทำให้ทุกวันก็คงเปลืองทั้งค่าวัตถุดิบทั้งเวลานั่นแหละ ผมรู้สึกเกรงใจนิดหน่อย
“ไม่เป็นไร ฉันอยากทำเองน่ะ เพราะความสัมพันธ์นี้มันไม่มีประโยชน์อะไรกับไรโตะคุงเลยนี่นา แล้วสิ่งเดียวที่ฉันพอจะตอบแทนได้ก็มีแค่นี้แหละ…”
คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา
ทั้งที่เป็นถึงคนที่มีคนชื่นชมทั่วโรงเรียนแท้ๆ แต่เธอกลับมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเลยหรือไงนะ
“ได้เป็นแฟนของมาดอนน่าประจำโรงเรียน สำหรับผู้ชายทั่วไปมันก็เหมือนกับรางวัลพิเศษเลยไม่ใช่หรือไง?”
แน่นอนว่าถ้าประกาศหาคนมาแทนผมขึ้นมา คงมีคนเสนอตัวกันเป็นแถว แค่คิดก็รู้คำตอบแล้ว ไม่ต้องลองทำจริงจังหรอก แต่ทว่า—
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันคิดว่าถ้าเราทำตัวเหมือนเป็นแฟนกันต่อไปแบบนี้ สักวันฉันคงจะทำให้นายต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ…”
คำพูดนั้นมาพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าสุดใจราวกับว่าเธอเจ็บปวดเสียเองตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลยด้วยซ้ำ
บางทีสาเหตุที่มิซากิไม่เคยคบกับใครอาจจะมีเหตุผลที่ซ่อนอยู่ก็ได้
แค่เห็นสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้นั่นของเธอ ผมก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้เลย
MANGA DISCUSSION