“ทำลงไปแล้วววววววว!”
ในช่วงพักต่อมา มิซากิพาผมขึ้นมาที่ดาดฟ้าแล้วก็เริ่มกุมหัวพร่ำบ่นออกมาอย่างหมดหวัง ราวกับว่าพอได้ตั้งสติแล้ว เธอก็กำลังย้อนกลับไปทบทวนพฤติกรรมของตัวเอง
“ตะโกนเสียงดังขนาดนั้นก็เป็นด้วยเหรอ”
“อย่าพูดจาทิ่มแทงกันแบบนิ่งๆ สิ!”
“ก็ในสถานการณ์แบบนี้ มันจะให้ไม่เยือกเย็นได้ยังไงล่ะ?”
ปกติแล้วมิซากิออกจะเรียบร้อยและสงบเงียบขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับดูว้าวุ่นราวกับเป็นคนละคน ผมเลยต้องพยายามประเมินสถานการณ์ด้วยท่าทีที่สุขุมไว้ก่อน
“แล้วเธอเสียใจกับเรื่องไหนล่ะ?”
พอเห็นว่าเริ่มคุยกันรู้เรื่องแล้ว ผมเลยลองถามในสิ่งที่สงสัยดู ยังไงก็ไม่น่าจะรู้สึกผิดกับทุกอย่างที่ทำไป เพราะปัญหาส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นตั้งแต่วันเทศกาล ไม่ใช่วันนี้
“ก็ที่ฉันดันไม่ใจเย็นแล้วก็กลายเป็นจุดสนใจไปแบบไม่ดีนี่สิ…”
“แต่เธอก็โดดเด่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? แค่ดูจากจำนวนคนที่แน่นจนล้นทางเดินก็น่าจะรู้ได้แล้วนะ”
“ก็ใช่… แต่ฉันว่าในช่วงท้ายนั่นแหละ ฉันพูดจาเหมือนยั่วยุคนอื่นหรือเปล่า… ฉันกลัวว่าจะกลายเป็นชนวนให้ทะเลาะกันน่ะ…”
อืม ถ้าจะมองแบบนั้นก็ไม่ผิดนัก คำพูดของเธอตอนนั้นอาจฟังดูเหมือนการท้าทายก็ได้
แต่เพราะตอนนั้นเธอถือไพ่เหนือกว่าใคร เลยไม่มีใครกล้าตอบโต้กลับ ถ้าเป็นสถานการณ์ที่ฐานะเท่าเทียมกันกว่านี้ก็คงกลายเป็นการโต้เถียงกันจริงจังไปแล้ว
ถึงจะเป็นแค่สมมุติฐานที่ไม่นับบุคลิกของมิซากิเข้าไปด้วยก็เถอะ แต่ยังไงมันก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งได้อยู่ดี
“ถ้าเป็นเธอที่มักจะคิดอยากให้ทุกคนอยู่กันอย่างราบรื่นแบบนั้นก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกผิดหรอก”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นน่ะ…”
มิซากิพูดแล้วหันมามองหน้าผมอย่างรู้สึกผิด เหมือนว่ามีบางอย่างที่เธอติดค้างใจอยู่
“มีอะไรเหรอ?”
“คือว่าฉันรู้สึกเหมือนตัวเองทำให้สถานะของไรโตะยิ่งแย่ลงไปอีก… ยิ่งทำให้ทุกคนห่างเหินจากนายไปมากกว่าเดิม…”
อ้อ เข้าใจล่ะ
สรุปคือเธอคิดว่าการที่ตัวเองออกตัวปกป้องผม ทำให้คนอื่นยิ่งไม่ชอบหน้าผมมากขึ้นนั่นเอง
ถ้ามองจากมุมของพวกที่รู้สึกขัดแย้งกับมิซากิ คนเดียวที่เธอปกป้องก็คือผม มันก็คงไม่ถูกใจพวกเขานักหรอก
“เธอนี่มันใจดีเกินไปจริงๆ เลยนะ”
คำพูดที่หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัวทำให้มิซากิชะงักแล้วเบิกตากว้าง
“เอ๊ะ…?”
“เปล่าหรอก ก็แค่คิดอะไรแบบนั้นขึ้นมาน่ะ…”
เพราะไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปก่อนหน้านี้ ผมเลยติดขัดนิดหน่อยตอนจะอธิบาย ยังไงความรู้สึกว่ามิซากิใจดีเกินไปมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้วล่ะ เพียงแค่ไม่คิดจะพูดใส่หน้าตรงๆ แบบนี้เท่านั้นเอง แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเองให้ได้
“เธอคิดมากไปนะ”
“ไม่ใช่ซะหน่อย… ก็ทำเรื่องแบบนั้นไป มันก็เป็นธรรมดาที่ช่องว่างระหว่างนายกับคนอื่นจะยิ่งลึกขึ้น…”
พอได้ยินคำพูดของผม มิซากิก็รีบเถียงกลับมาทันที ดูเหมือนว่าผมจะพูดสั้นเกินไป
“ไม่ใช่แบบนั้นต่างหาก ที่เธอทำลงไป มันก็จริงที่ช่องว่างระหว่างฉันกับพวกนั้นมันลึกขึ้นกว่าเดิม”
“เห็นไหมล่ะ… ขอโทษนะ…”
มิซากิฟังแต่ช่วงหลังของประโยคที่ผมพูดแล้วก็ทำหน้าเศร้าพร้อมกับก้มหน้าลงราวกับรู้สึกผิดเต็มที ทั้งที่ความจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย
“ที่ฉันบอกว่าเธอคิดมากน่ะ คือเรื่องที่เธอโทษตัวเองต่างหาก มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยนะ”
“เอ๊ะ…?”
“เมื่อกี้เธอบอกว่า ช่องว่างระหว่างฉันกับพวกนั้นลึกขึ้นใช่ไหม? แล้วทำไมเธอไม่พูดว่าสิ่งที่เธอทำมัน ‘สร้างช่องว่างขึ้นมา’ ไปเลยล่ะ?”
“ก็เพราะว่า…”
พอผมถามกลับไปแบบนั้น มิซากิก็หลบตาอย่างอึดอัด ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้คิดให้ลึกนักก่อนจะพูดออกมา แต่ในขณะเดียวกันนั่นก็แสดงถึงความรู้สึกจริงๆ ที่อยู่ในใจของเธอด้วย
“เพราะเธอรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหมว่าฉันกับพวกนั้นมีช่องว่างกันอยู่ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ใช้คำว่า ‘ลึกขึ้น’ หรอก จริงไหม?”
“มะ-ไม่ใช่นะ! ก็… ก็เพราะว่าพอข่าวว่าเราคบกันมันแพร่ออกไป มันเลยทำให้ช่องว่างระหว่างพวกนายกับคนอื่นๆ มันเกิดขึ้นต่างหาก ฉันก็เลย…!”
“ไม่ต้องโกหกหรอกน่า ก็รู้อยู่ว่าฉันน่ะเข้ากับพวกนั้นไม่ค่อยได้ มันก็เลยมีช่องว่างอยู่ก่อนแล้วไง”
“ไรโตะคุง…”
มิซากิเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาเศร้าเหมือนเธอจะรู้สึกว่าเผลอพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมเจ็บใจ
“อย่าทำหน้าหงอยแบบนั้นเลย ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก”
“แต่เพราะฉัน…”
“ไม่ใช่สักหน่อย เพราะมันเป็นฉันเองที่เป็นต้นเหตุต่างหาก และถ้าเรากลับไปที่เรื่องเมื่อกี้นะ ถึงช่องว่างจะลึกขึ้นเพราะการกระทำของเธอก็จริง แต่ถ้าไม่เคยมีช่องว่างอยู่ตั้งแต่แรกมันก็คงไม่มีอะไรให้ลึกขึ้นหรอก จริงไหม?”
ลองคิดว่าถ้าผมเป็นผู้ชายแบบเดียวกับมิซากิที่ได้รับความรักและความเคารพจากคนรอบตัวล่ะก็ ถึงจะมีบางคนอิจฉาอยู่บ้าง แต่คนส่วนใหญ่ก็คงยินดีที่เราเป็นคู่รักกัน
ยิ่งมีเพื่อนมากเท่าไรก็ยิ่งมีคนเข้าใจมากเท่านั้น
ที่จริงฝ่ายผู้ชายยังพอว่า แต่ฝั่งผู้หญิงน่ะ พวกเธอต่างตำหนิที่ตัวผม ไม่ใช่ที่เราคบกัน เพราะมองว่าผมไม่เหมาะสมกับมิซากิ
ถ้าผมเป็นคนที่ทุกคนยอมรับหรืออย่างน้อยไม่ใช่คนที่ใครๆ ก็ไม่ชอบ ก็คงไม่เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้หรอก
จะว่าไป ต่อให้ไม่ใช่คนที่ถูกรักก็เถอะ แค่ไม่เป็นคนที่ถูกเกลียดก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนยอมรับการตัดสินใจของมิซากิได้แล้ว
เพราะงั้นต่อให้ตอนนี้ผมจะโดนทั้งโรงเรียนเกลียดมันก็เป็นผลมาจากนิสัยของผมเอง
มิซากิไม่ควรเป็นคนที่ต้องรู้สึกผิดกับเรื่องแบบนี้เลยต่างหาก…
“เพราะงั้นมิซากิไม่ต้องไปใส่ใจอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ทำไมนายถึง…”
“หืม?”
ทั้งที่ผมตั้งใจจะปลอบเธอแท้ๆ แต่สีหน้าของมิซากิกลับยิ่งดูเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม จนตอนนี้เธอดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมเธอถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”
“ก็นายนั่นแหละ… นายใจดีเกินไปแล้ว… พอเห็นฉันเป็นแบบนี้ก็โทษตัวเองอีก ทั้งๆ ที่นายเป็นคนคอยปกป้องฉันมาตลอดแท้ๆ…”
ผมนึกว่าเธอจะพูดอะไรออกมาซะอีก
“ไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด มิซากิน่ะ เธอกำลังโทษตัวเองทั้งที่ไม่มีความผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันน่ะโทษตัวเองเพราะฉันเป็นตัวต้นเหตุต่างหาก ถ้าเป็นเรื่องความอิจฉาหรือพวกที่มัวแต่คลั่งไคล้เธอแล้วมาพาลที่ฉัน ฉันคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดของฉันหรอก ฉันไม่เคยโทษตัวเองกับเรื่องแบบนั้นเลย”
อย่างเรื่องในวันนี้ก็เหมือนกัน ต่อให้สุดท้ายโดนโรงเรียนเรียกไปตำหนิ ผมก็ยังไม่คิดเลยสักนิดว่าผมทำอะไรผิด
แน่นอน ผมก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดของมิซากิหรอก
ถ้าจะมีใครสมควรโดนตำหนิก็ต้องเป็นพวกที่ก่อเรื่องวุ่นวายจนคนอื่นเดือดร้อนต่างหาก ผมก็แค่แยกแยะออกเท่านั้นเอง แต่สำหรับมิซากิ เธอกลับเอาทุกอย่างมาไว้ที่ตัวเองเสมอทั้งๆ ที่สิ่งที่เราทำมันต่างกันโดยสิ้นเชิงแท้ๆ
“แต่ว่า…!”
“แล้วก็ขอบอกอะไรไว้อย่างหนึ่งนะ”
ผมรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่มิซากิจะได้พูดจบ
“เธอน่ะเป็นคนพูดแทนฉัน เป็นคนที่ยืนเคียงข้างฉันตอนทุกคนต่อต้านทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำขนาดนั้น แล้วเธอคิดว่าฉันจะมองว่าเธอน่ารำคาญหรือโกรธเธอที่ทำให้คนอื่นไม่ชอบฉันมากขึ้นงั้นเหรอ? คิดว่าฉันเป็นคนเฮงซวยแบบนั้นเลยรึไง?”
เพราะมิซากิดูจะคิดมากไม่เลิก ผมเลยแกล้งทำเป็นโกรธใส่เธอไปเสียหน่อย และผลก็คือเธอยิ่งลนลานเข้าไปใหญ่
“มะ-ไม่ใช่นะ… ฉันแค่เป็นห่วงเรื่องที่ทำให้รอยร้าวมันลึกขึ้นเฉยๆ…”
“แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เธอพูดอยู่น่ะ เพราะงั้นเลิกคิดเรื่องนั้นเถอะ เพราะฉันรู้สึกขอบคุณที่เธอปกป้องฉันแล้วก็รู้สึกดีมากจริงๆ”
คราวนี้ผมจงใจยิ้มออกมาให้เหมือนเวลาที่ใช้กับโคโคนะ รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งตรงไปถึงใจ
“—ตะ”
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เธอเหมือนกลั้นหายใจไปแวบหนึ่ง แต่ผมมั่นใจว่าเธอเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อแล้ว
ผมไม่อยากให้คนที่ลงมือทำสิ่งดีๆ แบบนั้นต้องมารู้สึกเสียใจทีหลังเลยจริงๆ ถ้าจะให้พูดก็อยากให้เธอภูมิใจกับมันด้วยซ้ำ
“เข้าใจแล้ว…”
“งั้นจบเรื่องนี้กันเถอะ เดี๋ยวก็ถึงเวลาเรียนแล้วนะ”
“อะ… อื้ม…”
พอผมเห็นเธอพยักหน้า ผมก็หันหลังกลับและเตรียมจะเดินกลับห้องเรียน
รีบหน่อยก็ดี ไม่งั้นเดี๋ยวระฆังก็ดังซะก่อน
แต่แล้ว…
“เดี๋ยวก่อน…”
ชายเสื้อผมโดนรั้งไว้จากด้านหลัง
ผมหันกลับไปก็เห็นมิซากิใช้ปลายนิ้วเกี่ยวชายเสื้อผมไว้แน่น
“เอ่อ… ใกล้เวลาเรียนแล้วนะ”
“คือตอนเที่ยง… นายจะไปซื้อขนมปังใช่มั้ย? ฉันทำข้าวกล่องมาเผื่อนายด้วย… เที่ยงนี้มากินด้วยกันได้ไหม? มีเรื่องที่อยากพูดอีกนิดหน่อยด้วย…”
ดูเหมือนเธอไม่ได้หมายถึงตอนนี้แต่แค่อยากนัดผมไว้ช่วงพักเที่ยง
ก็สมเหตุสมผลดีล่ะนะ ในเมื่อเราประกาศว่าคบกันแล้ว การไปกินข้าวด้วยกันก็คงไม่แปลกอะไร
“…เตรียมตัวเกินไปหรือเปล่า?”
“ถือเป็นคำขอโทษกับคำขอบคุณน่ะ…”
ดูเหมือนผมกำลังจะได้กินอาหารฝีมือของมาดอนน่าประจำโรงเรียนที่หนุ่มๆ ทั้งหลายต่างอิจฉา
เอาเถอะ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปเมื่อไหร่ ผมคงโดนเกลียดยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ ล่ะ
MANGA DISCUSSION