『ขอโทษล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ』
ข้อความนั้นถูกส่งมาหลังจากที่ผมพาโคโคนะเข้านอนเรียบร้อยแล้วหลังจากกลับมาจากงานเทศกาล
ผู้ส่งคือคุโรยูกิซัง แต่พูดตามตรงคือผมไม่เข้าใจเลยว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร
แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนไร้เดียงสาจนคิดว่าเธอไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องขอโทษ ถ้าจะขอโทษเรื่องที่ทำให้โคโคนะเข้าใจผิดล่ะก็ผมพอจะเข้าใจได้อยู่ แต่ว่าคำว่า ‘ขอโทษล่วงหน้า’ มันหมายความว่ายังไงกัน?
ถ้าเป็นเรื่องของโคโคนะก็น่าจะพูดไปแล้วในตอนนั้นสิ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่ควรจะพูดในลักษณะว่าล่วงหน้าได้หรอก
『เรื่องอะไรเหรอ?』
ผมเลยลองถามกลับไปก่อน แต่เธอก็ยังไม่ยอมตอบ
『พอถึงวันจันทร์นายก็น่าจะเข้าใจเอง ขอโทษจริงๆ นะคะ』
ข้อความที่เธอตอบกลับมาคือแบบนั้น
เธอไม่ยอมอธิบายอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว… แล้วทำไมถึงพูดกับผมด้วยภาษาทางการด้วยล่ะ?
คุโรยูกิซังเป็นคนสุภาพอยู่แล้วก็จริง แต่ก็ไม่เคยใช้ภาษาทางการกับใครที่ไม่ใช่รุ่นพี่ ขนาดกับผมเองเธอก็ยังพูดแบบสบายๆ มาตลอด
แปลว่าเธอรู้สึกผิดกับผมมากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?
ความรู้สึกไม่สบายใจก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากจะรับรู้เลยจริงๆ
และแล้ววันจันทร์ก็มาถึง
โรงเรียนในตอนนี้ค่อนข้างจะดูวุ่นวายนิดหน่อย
ไม่สิ… ไม่ใช่แค่วุ่นวายหน่อยๆ หรอก… แต่มันคือความวุ่นวายครั้งใหญ่เลยต่างหาก เพราะว่า―
“เฮ้ย ชิราอิ! ที่ว่านายคบกับคุโรยูกิซังนี่มันเรื่องอะไรกัน!?”
“อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้นะเว้ย!?”
พวกผู้ชายต่างพากันรุมล้อมผมด้วยท่าทีโกรธเคือง
“มิซากิจัง ทำไมต้องเป็นชิราอิคุงด้วยล่ะ…!?”
“เปลี่ยนใจเถอะนะ…! ยังไม่สายเกินไปหรอก…!”
ส่วนทางฝั่งผู้หญิงก็พยายามเข้าไปเกลี้ยกล่อมคุโรยูกิซังอยู่ แน่นอนว่าในหมู่ผู้ชายก็มีหลายคนที่วิ่งไปทางฝั่งของเธอแทน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในโรงเรียน แถมนักเรียนที่มาหาก็ไม่ใช่แค่นักเรียนจากห้องเดียวกัน แต่ยังมีทั้งนักเรียนห้องอื่นและต่างชั้นปีอีกด้วย
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?”
ผมลองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้วก็พอเดาได้อยู่บ้าง แต่ก่อนอื่นอยากรู้ก่อนว่าพวกเขารู้มาถึงขั้นไหนแล้ว
“อย่ามาทำไขสือหน่อยเลย! เมื่อวันเสาร์ที่งานเทศกาล มีหลายคนเห็นพวกนายเดินเที่ยวกันอย่างหวานแหววเลยนะ…!”
“แถมยังมีคนบอกอีกว่าพวกนายประกาศคบกันอย่างเป็นทางการด้วย…!”
“ฉันได้ยินมาว่ามีลูกด้วยกันแล้วด้วยซ้ำ…!”
ครับ… ผมเข้าใจละ…
เอาเป็นว่าผมพอจะสรุปได้แล้วว่ามีบางคนที่สมองหยุดประมวลผลไปเรียบร้อย
คิดดูดีๆ สิ ใครมันจะไปมีลูกกันได้ในเวลาสั้นๆ แบบนั้นกันเล่า
“ไรโตะคุง!”
ขณะที่ผมกำลังถูกรุมล้อมจากพวกผู้ชาย เสียงหนึ่งก็ดังฝ่าความวุ่นวายเข้ามา
คุโรยูกิซังพุ่งตัวเข้ามากลางวง
นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะสามารถแหวกวงล้อมของสาวๆ ออกมาได้
และแค่ได้ยินว่าเธอเรียกชื่อผมแบบนั้น ผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเธอคิดยังไงกับสถานการณ์นี้
“มีอะไรเหรอมิซากิ…?”
แม้สถานการณ์ตรงหน้านี้จะน่าเวียนหัวแค่ไหน แต่พอมันแพร่กระจายไปถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าเราจะออกมาปฏิเสธยังไงก็คงห้ามอะไรไม่ได้อีก ยิ่งกว่านั้น เธอแตกต่างจากผมตรงที่มีเพื่อนเยอะมาก
ระหว่างที่เดินเที่ยวในงานเทศกาลหรือหลังจากนั้นก็คงมีข้อความจากเพื่อนๆ ผู้หญิงถามไถ่เธอเข้ามาไม่หยุดแน่นอน
พอนึกย้อนกลับไป แม้จะมีเรื่องของโคโคนะอยู่ แต่การที่เธอเป็นฝ่ายขอแลกเบอร์กับผู้ชายอย่างผมก่อนก็ดูจะแปลกๆ อยู่เหมือนกัน คงเป็นตอนนั้นแหละที่ข้อความต่างๆ เริ่มไหลเข้ามาในเครื่องของเธอ และแน่นอนว่าเธอไม่มีทางเมินเฉยต่อมันแน่ๆ เธอคงตอบกลับทุกคนไปแล้ว และคงตอบไปว่าพวกเรากำลังคบกันอยู่
ถ้ามองแบบนี้แล้ว ข้อความที่เธอส่งมาหลังจากนั้นมันก็ดูสมเหตุสมผล
ทั้งๆ ที่ผมก็อยากให้เธอปรึกษากันก่อนนะ… แต่คงถูกต้อนจนไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ…
ก็เธอเป็นคนที่อ่อนโยน แต่ก็ไม่ใช่คนที่ปล่อยให้ตัวเองถูกกระแสนำไปง่ายๆ ซะด้วยสิ
“เดี๋ยวนะ… เขาเรียกชื่อ ‘มิซากิ’ เฉยๆ เลยเหรอ…!?”
“งั้นพวกเขาก็คบกันจริงๆ งั้นเหรอ…!?”
พวกผู้ชายที่อยู่รอบตัวต่างค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นสิ้นหวัง
ก็แหงล่ะ
ตอนที่เธอยังเป็นโสด แม้จะถูกปฏิเสธก็ยังมีหวังอยู่บ้าง แต่พอมีแฟนแล้วมันก็ไม่มีช่องว่างให้แทรกเลย แบบนั้นแล้วพวกเขาจะสิ้นหวังก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ปัญหาคือพวกผู้หญิงต่างหาก
แม้จะมีบางคนที่แสดงท่าทีดีใจและยินดีไปกับเธอ แต่ส่วนใหญ่กลับจ้องมองผมด้วยสายตาเย็นชาจัด
สำหรับพวกเธอ คุโรยูกิซัง ไม่สิ มิซากิ เป็นทั้งเพื่อนและคนที่พวกเธอชื่นชม เพราะงั้นพอเธอมาคบกับคนที่ได้ชื่อว่า ‘ตัวประหลาดประจำห้อง’ แบบผม พวกเธอก็คงรู้สึกไม่พอใจ
ก็เข้าใจได้แหละนะ ถ้าเป็นผมก็คงจะไม่รู้สึกต่างกันหรอก
“ทุกคน ขอโทษที่ปิดบังมาตลอดนะ จริงๆ ก็มีบางคนที่รู้อยู่แล้วแหละว่าเราสองคนกำลังคบกันอยู่”
พอผมเรียกชื่อเธอออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ มิซากิก็เหมือนจะยืนยันความตั้งใจของเราด้วยการสอดแขนเข้ามาคล้องกับแขนผมแล้วเอนศีรษะพิงลงมาบนไหล่พร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน
เพียงแค่เธอทำแบบนั้น เสียงกรีดร้องโกลาหลก็ดังลั่นทั้งในห้องเรียนและนอกห้องอย่างพร้อมเพรียง
“ม…มิซากิจัง เธอโดนเขาหลอกอยู่แน่ๆ เลยใช่มั้ย…!?”
“อย่าบอกนะว่าเขาขู่เธอด้วยอะไรบางอย่าง…!?”
ในขณะที่พวกผู้ชายบางคนพากันตะลึงงันราวกับโลกกำลังล่มสลายพร้อมทิ้งตัวไปในมุมมืดของชีวิต พวกผู้หญิงกลับยังคงไม่ยอมแพ้และพยายามโน้มน้าวใจเธอด้วยสายตาจริงจังปนห่วงใย
บอกตามตรงว่าในสถานการณ์ชุลมุนแบบนี้ ผมกลับอดรู้สึกไม่ได้ว่ามิซากิช่างโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ รายล้อมแบบนี้ คงเป็นเพราะนิสัยที่แสนจะอ่อนโยนและจริงใจของเธอนั่นแหละ
“ทุกคนเข้าใจผิดเรื่องไรโตะคุงกันอยู่นะ เขาเป็นคนใจดีแล้วก็เป็นคนที่น่ารักมากๆ ด้วย”
มิซากิพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล รอยยิ้มของเธอยังไม่หายไปจากใบหน้าแม้แต่นิด ราวกับสามารถปลอบประโลมคลื่นอารมณ์ของคนทั้งห้องได้อย่างไม่รู้ตัว
ตอนเช้าที่เธอส่งข้อความมาให้ผมนั้นยังดูมีความลังเลอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับดูนิ่งและหนักแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไม่มีทางหรอก! พวกเราน่ะรู้จักชิราอิคุงดีอยู่แล้วนะ!”
แต่พวกผู้หญิงก็ยังคงไม่ยอมลดละความพยายาม สายตาของพวกเธอยังเปล่งประกายไปด้วยความสงสัยและไม่ยอมรับ
…ก็ไม่แปลกหรอก เพราะผมเองก็เป็นคนที่เอาแต่หลบหน้า ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ถ้าเป็นผมก็คงสงสัยเหมือนกันนั่นแหละ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนิดๆ หน่อยๆ จะส่งผลขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ผมน่าจะเริ่มเข้าหาคนอื่นตั้งนานแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้จะยังไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ แน่ๆ
ในจังหวะที่ผมกำลังคิดไม่ตกว่าควรจะพูดอะไรดีหรือหาทางแทรกอย่างไรดีนั้นเอง
“พวกเธอ… รู้จักเขาดีจริงๆ อย่างงั้นเหรอ…?”
เสียงของมิซากิที่ดังกังวานขึ้นมาอีกครั้งด้วยโทนเสียงที่สงบแต่หนักแน่นจนเงียบกริบไปทั้งห้อง
ผมหันไปมองเธอโดยอัตโนมัติ แม้ใบหน้าเธอจะยังยิ้มอยู่ แต่มันแปลกเหลือเกิน… ผมกลับรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่ค่อยๆ คลืบคลานเข้ามา
“ม…มิซากิจัง?”
แม้แต่พวกผู้หญิงเองก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติในน้ำเสียงของเธอ พวกเธอต่างพากันมองสีหน้าของมิซากิอย่างระมัดระวัง
และในขณะนั้น มิซากิก็ค่อยๆ กวาดสายตามองทีละคนทีละคน ราวกับจะสืบค้นความรู้สึกจากทุกสายตาที่เธอมองผ่าน แล้วจึงพูดขึ้นช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ยังคงนุ่มนวลแต่กลับเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่สะกดทุกคนไว้ในความเงียบ
“ทุกคนรู้จริงๆ เหรอว่าเขาเป็นคนแบบไหน?”
มิซากิถามคำถามเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงของเธอดูสุขุมและมั่นคงยิ่งกว่าเดิม
“ร…รู้สิ! ก็เรียนด้วยกันมาเป็นปีแล้วนี่นา—!”
“แต่ก็แปลว่าทุกคนรู้จักเขาแค่ตอนที่อยู่ในโรงเรียนใช่มั้ยล่ะ? ถ้ารู้แค่นั้นแล้วทำไมถึงพูดถึงเขาในแง่ร้ายได้ล่ะ?”
ทันใดนั้นผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงรู้สึกกดดันแปลกๆ จากเธอในเมื่อกี้
ทั้งๆ ที่เธอยิ้มอยู่แท้ๆ แต่ในใจของเธอกำลังโกรธอยู่ต่างหาก
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นมาดอนน่าแห่งโรงเรียนอย่างมิซากิโกรธขึ้นมา
“เอ่อ… คือว่า…”
“อย่างน้อยฉันเองก็รู้จักไรโตะคุงมากกว่าทุกคนนะ และถึงอย่างนั้น ฉันก็เลือกที่จะคบกับเขา แล้วทำไมทุกคนถึงต้องมาว่าเขาด้วยล่ะ?”
“ก็… ก็เพราะว่าเราไม่อยากให้เธอต้องมาเสียใจทีหลังนี่นา…”
“งั้นถามหน่อยสิ ตอนที่ฉันถูกผู้ชายเข้ามายุ่งในงานเทศกาลน่ะ มีใครในนี้สักคนที่จะกล้าเข้าไปช่วยมั้ย?”
คำถามที่ถูกโยนออกมาอย่างกะทันหันนั้น ทำให้ทุกสายตาหันไปหาพวกผู้ชายในห้องทันที แต่แทบทุกคนกลับเบือนหน้าหลบสายตาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าคำตอบก็คือ ‘ไม่’
ทั้งที่ปกติพวกเขาคงแสร้งกล้าหาญพูดว่า ‘ฉันเข้าไปช่วยแน่’ อะไรแบบนั้น แต่เพราะแรงกดดันของมิซากิที่แผ่ออกมาเงียบๆ แบบนั้นคงทำให้พูดโกหกไม่ออก
“ไม่มีใครกล้ายกมือใช่มั้ยล่ะ? วันนั้นที่งานเทศกาลน่ะ มีคนตั้งหลายคนที่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเลยนะ แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่าคนในห้องนี้ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และก็เข้าใจว่าการที่ไรโตะคุงในฐานะแฟนของฉันเข้าไปช่วยมันเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วนั่นแหละ แต่มันก็มีคนที่ควรทำแต่ก็ไม่ได้ทำอยู่นะ?”
เธอไม่ใช่คนที่พูดมาก แต่ในตอนนี้เธอพูดทุกคำอย่างชัดเจนและจริงใจ นั่นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่าเธอจริงจังแค่ไหน
“อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่แม้จะเสี่ยงอันตรายก็ยังพยายามจะปกป้องฉัน และฉันก็รู้ว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนที่สามารถพูดคุยโดยเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ ถ้ามีใครจะพูดว่าร้ายเกี่ยวกับเขาอีกล่ะก็… ฉันในฐานะแฟนจะไม่ยอมแน่ๆ”
ประโยคนั้นเหมือนเป็นจุดเปลี่ยน
เพราะทันทีที่มิซากิพูดจบ นักเรียนในห้องหลายคนก็หน้าซีดก้มหน้าลงแบบรู้สึกผิด ส่วนพวกที่ยืนดูอยู่ตรงทางเดินก็รีบสลายตัวหายไปในพริบตา
ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับมิซากิที่เป็นเหมือนขวัญใจของทั้งโรงเรียน
“เฮ้อ… ขอโทษนะ ไปนั่งพักก่อนเถอะ”
เมื่อสถานการณ์สงบลงแล้ว มิซากิก็หันมายิ้มให้ผม รอยยิ้มของเธอกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
ผมไม่พูดอะไรเกินจำเป็น แค่พยักหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
มิซากิเองก็นั่งลงหลังจากแน่ใจว่าผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ส่วนเพื่อนร่วมชั้นที่ดูเหนื่อยล้าก็เริ่มทยอยกลับไปยังที่นั่งของตัวเองทีละคน
ทั้งห้องราวกับถูกครอบงำไปด้วยอำนาจของมิซากิเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะควบคุมใคร แค่คำพูดของเธอมีพลังมากเกินไปต่างหาก
จากวันนี้ไป ผมตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้เธอโกรธ
คนที่ปกติแล้วไม่เคยโกรธ แต่พอได้โกรธขึ้นมาแล้วนี่มันน่ากลัวจริงๆ นะ…
MANGA DISCUSSION