“อ้า~ อ้ำ… งั่ม งั่ม…”
“อร่อยมั้ย?”
“อื้อ…!”
โคโคอะที่กำลังเคี้ยวแฮมเบิร์กที่แม่เป็นคนทำให้ดูมีความสุขสุดๆ เธอพยักหน้าแรงๆ ตอบรับอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนจะถูกปากเธอล่ะนะ
“…………”
พอเห็นผมกับโคโคอะอยู่ด้วยกันแบบนี้ มิซากิก็จ้องเขม็งมาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
พอเห็นแบบนั้น แม่เลยหันไปพูดกับมิซากิด้วยรอยยิ้ม
“หนูสงสัยเหรอว่าทำไมคนที่ป้อนข้าวโคโคอะไม่ใช่แม่แต่เป็นไรโตะคุงแทน?”
“เอ๊ะ!? ม-ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ…!”
ดูเหมือนจะโดนแทงใจดำเข้าให้ มิซากิรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธหน้าตาตื่น
ถึงจะเคยเห็นผมป้อนข้าวให้โคโคอะมาหลายรอบแล้วก็เถอะ แต่พอมาเห็นอีกทีตอนที่แม่อยู่ด้วย เธอคงอดรู้สึกอะไรบางอย่างไม่ได้
“มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็โคโคอะชอบให้ไรโตะป้อนนี่นา… ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนที่เลี้ยงดูโคโคอะมาตลอดก็คือไรโตะนี่แหละ”
แม่พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ อย่างเหงาๆ
ทั้งที่จริงๆ แล้วแม่ก็คงอยากจะเป็นคนดูแลโคโคอะด้วยตัวเองตลอดเวลา แต่เพราะต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูผมกับโคโคอะ แม่เลยไม่มีทางเลือกนอกจากมอบหน้าที่นั้นให้ผมแทน
ถึงจะมีเงินจากประกันชีวิตของพ่ออยู่พอสมควรตอนที่ท่านเสียไปก็เถอะ แต่แม่ก็บอกเสมอว่าจะเก็บเอาไว้ใช้สำหรับค่าเรียนมหาลัยของผมกับโคโคอะ และค่าใช้จ่ายในอนาคตให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นั่นแหละ… ถึงได้กลายเป็นว่าแม่ต้องทุ่มเทกับงานแล้วปล่อยให้ผมดูแลเรื่องในบ้านทั้งหมดแทน
โคโคอะเลยสนิทกับผมมากเป็นธรรมดา และถึงมันจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ผมก็อดรู้สึกสงสารแม่ไม่ได้อยู่ดี
ผมเองก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าบางทีแทนที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย การรีบหางานทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของแม่อาจจะดีกว่าก็ได้…
“แต่หนูคิดว่า… โคโคอะเองก็รักคุณแม่เหมือนกันนะคะ”
มิซากิพูดขึ้นพลางหันไปมองโคโคอะแล้วค่อยหันกลับมาทางแม่อีกครั้ง
“ฟุฟุ ขอบใจนะจ๊ะ แม่เองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันล่ะ… แต่ยังไงโคโคอะก็รักไรโตะมากกว่าแม่อยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”
“เอ่อ… นั่นมัน…”
แม่ยิ้มบางๆ อย่างใจดีก่อนจะถามกลับอย่างแกล้งๆ
มิซากิอึกอักไปทันที แล้วหันมามองผมอย่างช่วยไม่ได้
เธอคงไม่อยากพูดโกหกใส่แม่ผม แต่ก็ไม่กล้าพูดความจริงออกมาตรงๆ เหมือนกัน
ดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดแล้ว จากที่เคยใช้แค่คำโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความจริงและเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ กับคนอื่นรวมถึงซูซุมิเนะซัง ตอนนี้เธอเริ่มพยายามเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
ผมเลยเอานิ้วชี้ข้างขวาค่อยๆ วาดวงกลมลงบนหลังมือซ้ายของมิซากิเบาๆ
นี่คือสิ่งเดียวที่ผมสามารถช่วยเธอได้ในตอนนี้ และผมมั่นใจว่าแม่น่าจะรู้ทันว่าผมทำอะไรตั้งแต่ตอนที่ผมเปลี่ยนมือที่ถือตะเกียบแล้วก็เถอะนะ…
“ค่ะ… ก็… หนูคิดว่า… ก็อย่างที่คุณแม่พูดนั่นแหละค่ะ…”
มิซากิที่รับรู้ความหมายจากการวาดวงกลมของผมเมื่อครู่ ก็หันไปตอบแม่ตรงๆ อย่างไม่หลบเลี่ยง และเธอก็พูดต่อทันทีโดยไม่ปล่อยให้เกิดความเงียบ
“แต่ว่า… หนูคิดว่ามันไม่ได้หมายความว่าโคโคอะไม่ได้รักคุณแม่หรอกนะคะ เพราะงั้น… คุณแม่ไม่ต้องรู้สึกเสียใจไปหรอกค่ะ…”
เธอเข้าใจดีว่าสิ่งที่ผมทำไปเมื่อกี้มันเป็นแค่คำใบ้… ไม่ใช่คำตอบที่ต้องท่องตาม เธอยังใส่คำพูดปลอบใจต่อท้ายอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้แม่รู้สึกแย่ด้วย
พอได้ยินแบบนั้น แม่ก็ยิ้มออกมาทันที
“บางครั้งการพูดตรงๆ ก็สำคัญกว่าคำชมที่รู้ว่าโกหกอยู่แล้วนะ แถมหนูเองก็ยังมีน้ำใจพอจะคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นด้วย หนูนี่น่ารักจริงๆ เลยนะมิซากิจัง”
“ข-ขอบคุณค่ะ… เอะเฮะเฮะ…”
พอโดนชมตรงๆ เข้า มิซากิก็ยิ้มแหยๆ อย่างเขินๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
รอยยิ้มนั่นดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กๆ จนผมเผลอคิดว่าเธอน่ารักจังเลยแฮะ
บรรยากาศระหว่างแม่กับมิซากิก็กลายเป็นอบอุ่นขึ้นทันตา เหมือนกับว่าทั้งคู่เข้าขากันได้ดีจริงๆ
แต่ในขณะเดียวกัน… ผมก็อดรู้สึกคาใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้
ทั้งที่แม่ดูจะชอบมิซากิมากแท้ๆ แล้วทำไมถึงถามคำถามแบบนั้นออกไปกันนะ?
มันเหมือนกับว่าแม่ตั้งใจจะทดสอบอะไรบางอย่างมากกว่าที่จะแค่พูดลอยๆ เฉยๆ…
ในฐานะคนที่รู้จักนิสัยแม่ดี ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ
MANGA DISCUSSION