ผมไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของมิซากิเท่าไหร่เลยจริงๆ
ผมหันไปมองเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
“……♪”
มิซากิไม่ได้ตั้งใจจะทำการบ้านเลยสักนิด แถมยังดูมีความสุขเสียเหลือเกินตอนที่ผมลูบหัวให้
เธอชอบเข้ามาใกล้แบบนี้ แล้วผมเองก็เคยชินกับการลูบหัวเธอจนแทบกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ยังไงซะ… นี่มันไม่ใช่พฤติกรรมที่คนที่ไม่ได้คบกันจะทำกันหรอกมั้ง?
ถึงเราจะคบกันในฐานะแฟนปลอมๆ ก็เถอะ… แต่คนที่ปฏิเสธผู้ชายมาไม่รู้กี่คนแบบเธอ กลับยอมให้ผู้ชายมาสัมผัสตัวได้ง่ายๆ แบบนี้ มันก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี
ถ้าทำแค่ตอนมีคนมองอยู่ ผมคงจะเข้าใจว่าเธอแค่เล่นละครเฉยๆ
แต่ประเด็นคือ ถึงจะไม่มีใครอยู่ด้วยแบบตอนนี้ในห้องของผม เธอก็ยังทำแบบเดิมอยู่…
ในเมื่อก่อนหน้านี้เธอบอกไว้ชัดเจนว่าพวกเราจะไม่มีทางคบกันจริงๆ และก็ห้ามผมสารภาพรักกับเธอด้วย
นั่นก็แปลว่าตอนนี้เธอคงไม่ได้มีความรู้สึกแบบคนกำลังมีความรักอยู่หรอก
หรือว่าที่เธอทำแบบนี้ อาจเพราะว่าเธอมองผมเหมือนพี่ชายก็ได้?
เธอเองก็ดูเหมือนจะเป็นคนขี้อ้อนตั้งแต่ต้นอยู่แล้วด้วย…
ถึงผมจะคิดแบบนั้น แต่ยังไงผมก็ยังรู้สึกขัดๆ อยู่ดี
บางทีอาจต้องลองปรึกษาซูซุมิเนะซังดูสักครั้ง
ถึงยังไงเธอก็จับได้อยู่แล้วว่าเราสองคนไม่ได้คบกันจริงๆ คงไม่มีอะไรเสียหายหรอก
“ได้เวลาทำการบ้านแล้วมั้ง?”
“ยังเร็วไปน่า การบ้านน่ะ จะทำตอนไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
พอผมเอามือออก มิซากิก็รีบคว้ามือผมไว้ทันทีแล้วก็จับมาวางไว้บนหัวเธออีกครั้ง เหมือนจะบอกให้ลูบต่อ
“เธออาจจะทำแป๊บเดียวเสร็จแต่ฉันน่ะต้องใช้เวลานะ”
“ก็ช่วงปิดเทอมยังเหลืออีกตั้งเยอะนี่นา เดี๋ยวฉันช่วยสอนเอง ไม่ต้องห่วงหรอก”
ดูเหมือนเธอจะยังไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลง
ถ้าพวกผู้ชายที่โรงเรียนรู้ว่ามาดอนน่าของโรงเรียนเป็นคนขี้อ้อนแบบนี้… พวกนั้นจะคิดยังไงกันนะ?
……คงจะอิจฉาผมกันจนแทบจะลงไปนอนตายแน่ๆ
“ว่าแต่ว่า ตั้งแต่ที่พวกเราเริ่มเป็นแฟนกันแบบปลอมๆ เธอยังโดนใครสารภาพรักอีกมั้ย?”
ถึงจะเป็นคำถามที่ดูเหมือนถามช้าไปหน่อย เพราะตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงปิดเทอมแล้ว แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีเลยลองถามดู
“อื้ม ตอนนี้ยังไม่มีใครเลยล่ะ ขอบคุณนะไรโตะคุง”
เธอยิ้มหวานแล้วก็พยักหน้าตอบกลับมาอย่างน่ารัก
ดูเหมือนการมีผมอยู่ด้วยจะได้ผลจริงๆ
ถึงผมจะไม่ใช่หนุ่มป๊อปหรือดูดีอะไรนัก แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนมีแฟนอยู่แล้ว พวกผู้ชายก็มักจะไม่กล้าเข้าใกล้มากนักอยู่แล้วล่ะ
“ไม่มีใครถามถึงเรื่องที่คบกับฉันบ้างเลยเหรอ?”
ถึงจะเคยมีเรื่องวุ่นๆ ที่ห้องเรียนตอนนั้นก็เถอะ แต่ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังมันเป็นยังไงบ้าง
“อืมมม~?”
มิซากิเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากขณะเงยหน้ามองเพดานแล้วครุ่นคิด
“หลังจากเรื่องในห้องตอนนั้นก็ไม่เห็นจะมีอะไรอีกเลยนะ”
ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมชั้นจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้
ตอนนั้นเธอแสดงอาการโมโหออกมาอย่างชัดเจนจนใครๆ ก็เห็นกันหมด สุดท้ายมันก็คงกลายเป็นเหมือนกับระเบิดที่ไม่ควรจะมีใครเข้าไปยุ่ง
แต่สำหรับเราสองคนมันก็ถือว่าเป็นผลดี จะว่าไปแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยด้วยซ้ำ
“แล้วไรโตะคุงล่ะ? มีใครถามบ้างมั้ย?”
“ไม่มีหรอก คนที่จะกล้าเข้ามาคุยกับฉันน่ะหาได้ยากจะตาย”
ต่อให้มีใครถามขึ้นมาจริงๆ ผมก็คงไม่คิดจะตอบดีๆ อยู่แล้วล่ะ
“งั้นฉันกับเฮียวกะจังก็เป็นพวกชอบของแปลกสินะ?”
“เธอจงใจแปลความให้มันดูแย่ใช่ไหมเนี่ย?”
ผมถอนหายใจพลางตอบมิซากิที่กำลังทำหน้าทะเล้นใส่
จะว่าไป การที่เธอพูดกับผมก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ในเมื่อเรากำลังเล่นบทแฟนกันอยู่
ส่วนซูซุมิเนะซังเองก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กของแฟน การพูดคุยกันตามปกติก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร
ที่สำคัญก็คือในโรงเรียนเธอเองก็แทบจะไม่พูดกับผมอยู่แล้วด้วยซ้ำ
“ฟุฟุ… ฉันว่านะ คนพวกนั้นต่างหากที่ดูคนไม่เป็นน่ะ”
พอพูดจบ เธอก็เอนศีรษะพิงไหล่ผมอีกครั้ง
“จั๊กจี้นะ”
“งืมมมมม…”
ผมขยับตัวหนีออกเล็กน้อย แล้วเธอก็หันมามองด้วยสายตาไม่พอใจเต็มที่
เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังงอน แถมยังพองแก้มใส่อีกต่างหาก
ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี… แต่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเรามันเลยขอบเขตของคำว่าแฟนปลอมๆ ไปแล้วจริงๆ
แต่ยังไงก็เถอะ ผมให้คำสัญญากับมิซากิไปแล้ว ผมเลยไม่คิดจะเป็นฝ่ายพัฒนาความสัมพันธ์ให้มันไปไกลกว่านี้หรอก
ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดมากกับข้อตกลงนั้นหรอก แต่พอมาเจอแบบนี้เข้า… ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเผลอไปรับปากอะไรที่มันยุ่งยากเข้าให้แล้วสิ
MANGA DISCUSSION