“เรื่องเมื่อกี้น่ะ…”
“หืม?”
ระหว่างที่เรากำลังนั่งอยู่บนรถไฟ มิซากิก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง หรือว่าเธอยังไม่หายโกรธเรื่องที่ผมแลกเบอร์กับซูซุมิเนะซังอยู่?
“ถ้าลองนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ดูดีๆ จะเห็นเลยว่าเฮียวกะจังไม่ได้เกลียดไรโตะคุงหรอกนะ ก็ยังยอมแลกเบอร์กันเลยนี่นา…”
ดูเหมือนว่าเธอจะพูดถึงเรื่องเดิมก็จริง แต่สิ่งที่เธออยากสื่อกลับดูจะเป็นประเด็นที่ต่างออกไป
“ก็ใช่ ถ้าคิดตามเหตุผลทั่วไปก็คงเป็นแบบนั้นแหละเนอะ”
คนที่ไม่ชอบใครสักคนคงไม่ยอมแลกเบอร์กันด้วยความสมัครใจแน่ ต่อให้มีความจำเป็นในเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวก็ไม่น่าจะง่ายนัก
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดว่าเรื่องที่เธอไม่ชอบผู้ชายจะเป็นเรื่องโกหกนะ”
“เรื่องนั้น… ก็จริง…”
มิซากิเบือนสายตาหนีด้วยท่าทางลำบากใจ ดูเหมือนว่าเธอจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้ซูซุมิเนะไม่ชอบผู้ชาย
“คือว่า… ขอร้องล่ะ ช่วยเก็บเป็นความลับได้ไหม…?”
“ถ้าอย่างนั้นไม่เล่าจะดีกว่าไหม?”
ถึงผมจะยังไม่รู้ว่าเธอจะเล่าอะไร แต่ถ้าจะให้ใครสักคนรู้เรื่องลับๆ ก็คงไม่มีทางที่มันจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
ผมเองก็ไม่ได้คิดจะเอาไปเล่าต่อหรอก แต่บางทีอาจเผลอหลุดปากออกมาโดยไม่ตั้งใจ ยิ่งถ้าเกิดหลุดตอนมีใครพูดถึงขึ้นมาแล้วผมเผลอแสดงท่าทีผิดไป ก็อาจทำให้ซูซุมิเนะซังรู้ตัวได้เหมือนกัน
“ฉันไม่ได้ถูกห้ามพูดหรอกนะ แค่เฮียวกะจังไม่ค่อยอยากพูดถึงเองมากกว่า…”
“เข้าใจแล้วล่ะ ฉันจะพยายามไม่ปริปากก็แล้วกัน”
อย่างน้อยที่สุดผมก็ให้สัญญาได้เท่านั้น เพราะถ้าเธออุตส่าห์เล่าด้วยตัวเองแบบนี้ มันก็คงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว
“ขอบคุณนะ คือว่าตอนเรียนมัธยมต้นน่ะ เฮียวกะจังเคยเจอเรื่องแย่ๆ บนรถไฟ… แล้วจากนั้นก็เริ่มไม่ชอบผู้ชาย…”
เรื่องแย่ๆ บนรถไฟ? แล้วก็ทำให้เธอเกลียดผู้ชาย? แค่ได้ยินแค่นั้นผมก็พอจะนึกออกแล้ว
“อย่างนี้นี่เอง แบบนั้นก็ไม่แปลกเลยที่จะรู้สึกกลัวเวลามีผู้ชายเข้าใกล้”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากให้ผมพูดตรงๆ ผมจึงเลือกพูดอ้อมๆ แทน
ด้วยหน้าตาระดับนั้นของซูซุมิเนะ ก็ไม่แปลกที่จะมีใครบางคนจ้องจะลวนลามเธอ
ผมเองก็เคยเจอเหตุการณ์คล้ายกันมาก่อนเหมือนกัน
ตอนนั้นเด็กผู้หญิงคนนั้นกลัวมากจนตัวสั่นไม่หยุด พอเจอเข้าจริงๆ ถึงเข้าใจว่าเวลาเป็นเหยื่อมันน่ากลัวขนาดไหน ฝ่ายผู้ชายคนนั้นผมจับส่งตำรวจไปเรียบร้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกดีขึ้นทันทีหรอก แผลในใจมันไม่ใช่อะไรที่จะรักษาให้หายง่ายๆ แบบนั้นได้เลยจริงๆ…
“ก็ใช่น่ะสิ… แต่ฉันว่าจริงๆ แล้วเฮียวกะจังน่ะ แอบประเมินไรโตะคุงไว้ในทางที่ดีตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วล่ะ คือ… เหมือนเธอจะรู้ว่าไรโตะคุงเป็นคนใจดีอะไรแบบนั้น…”
“เหรอ? แต่เธอทำตัวเย็นชาใส่ฉันไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นเลยตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะ?”
ก็แน่นอนแหละว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลัง ถึงผมจะพอเดาได้แล้วก็เถอะ
“คงเพราะเฮียวกะจังมีวิธีคิดแบบของเธอเองนั่นแหละ”
ดูเหมือนว่ามิซากิก็คงคิดงั้นเหมือนกัน ไม่งั้นจะอธิบายความต่างระหว่างท่าทีในโรงเรียนกับตอนอยู่นอกโรงเรียนยังไงได้
“งั้นอะไรทำให้เธอคิดว่าซูซุมิเนะซังมองว่าฉันเป็นคนใจดีล่ะ?”
เพราะเป็นมิซากิ ผมเลยยังไม่ไว้ใจนักว่าจะไม่เข้าใจผิด แต่อย่างน้อยถ้าเธอมีเหตุผลก็อาจช่วยไขปริศนาว่าทำไมซูซุมิเนะซังถึงดูนุ่มนวลขึ้นเวลานอกห้องเรียน
“คือ… ฉันอธิบายให้ดีๆ ไม่ค่อยถูกน่ะ… แต่ตอนปีหนึ่งน่ะ ฉันเคยเล่าให้เฮียวกะจังฟังว่ามีผู้ชายมาสารภาพรักแล้วฉันก็รู้สึกลำบากใจมาก ตอนนั้นเธอก็บอกมาว่าถ้าเป็นไรโตะคุงมาสารภาพล่ะก็อาจจะลองรับไว้ก็ได้นะ… อะไรแบบนั้น…”
มิซากิมองมาที่ผมและพูดความคิดของเธอออกมา ขณะที่ผมกำลังคิดอยู่ว่าควรจะตอบเธอกลับไปยังไงดี
“เอ่อ… แล้วฉันควรจะเข้าใจคำพูดนั้นว่ายังไงดีล่ะ?”
“ส่วนตัวฉันคิดว่าเฮียวกะจังน่ะ ประเมินไรโตะคุงไว้ในทางที่ดีแหละ แต่ยังไม่ถึงขั้นชอบมั้ง… ก็เลยรู้สึกแบบนั้น…”
“ทำไมฟังดูไม่มั่นใจเลยล่ะ?”
“ก็–ก็คนเราน่ะ จะมาบอกให้เพื่อนไปคบกับคนที่ตัวเองชอบแบบนั้นไม่ได้ง่ายๆ หรอก!”
มิซากิตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันว่าแบบนั้นก็ถูกแล้วล่ะนะ?”
จากอาการของมิซากิตอนนี้ ดูยังไงก็เหมือนเธอกำลังลังเลอยู่ว่าหรือว่าเธอจะเข้าใจผิดมาตลอดกันแน่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้เธอเริ่มคิดแบบนั้น
“แต่เมื่อกี้เธอแลกเบอร์กับนายแบบสบายๆ เลยนี่นา… ถ้าเป็นเฮียวกะจังจริงๆ ต่อให้มีธุระอะไรอยู่ก็เถอะ… ฉันไม่คิดว่าเธอจะยอมแลกเบอร์กับผู้ชายที่มีแฟนแล้วนะ… ก็เธอเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายนี่นา…”
ผมเข้าใจในสิ่งที่มิซากิกำลังพูด เข้าใจดีเลยล่ะ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่เธอเข้าใจผิดอยู่
ซูซุมิเนะซังน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผมกับมิซากิไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะงั้นสิ่งที่มิซากิบอกว่า ‘ผู้ชายที่มีแฟนแล้ว’ มันก็เลยใช้ไม่ได้กับกรณีนี้ และเธอถึงไม่รู้สึกติดใจอะไร
แต่ถ้าผมเอาเรื่องนี้ไปบอกตรงๆ ล่ะก็… มิซากิก็อาจจะเผลอไปพูดอะไรที่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองใส่ซูซุมิเนะซังก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดเล่นๆ ได้เลยจริงๆ
“เพราะว่าเป็นมิซากิไง เธอเลยไม่คิดมากน่ะสิ ดูจากข้อความที่ส่งมาก็รู้ เธอแค่อยากไปทะเลด้วยกันเท่านั้นเอง”
“ก็อาจจะใช่ก็ได้… ก็จริงแหละ…”
แต่ดูเหมือนว่ามิซากิจะยังรู้สึกคาใจอยู่ คงเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กถึงได้สังเกตเห็นอะไรที่มันไม่ค่อยจะลงตัว
“ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรแย่ๆ เกิดขึ้นนี่นา ไม่ต้องใส่ใจก็ได้มั้ง บางทีเธออาจจะแค่คิดมากไปเองก็ได้”
จากท่าทีของซูซุมิเนะซังแล้ว ดูยังไงก็ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดเรื่องดราม่าขึ้นแน่
เธอเป็นคนฉลาดแล้วก็ดูคล้ายๆ กับผมตรงที่ไม่ชอบความวุ่นวายสักเท่าไหร่
“แต่ว่าถ้าฉันไม่ได้คิดไปเองล่ะก็… ฉันอาจจะโดนเฮียวกะจังเกลียดสุดๆ ไปเลยก็ได้…”
จะว่าไปก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ ถึงจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะยกโทษให้กันได้เสมอไป แต่—
“ถ้าแบบนั้นจริง เธอก็คงไม่แนะนำฉันให้มิซากิหรอก จริงไหม? ถึงจะไม่ใช่แค่เรื่องคิดมากไปเองก็เถอะ สุดท้ายมันก็ออกมาเป็นไปตามที่เธอเลือกเองอยู่ดี ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องโกรธเลย”
ผมไม่รู้หรอกว่าซูซุมิเนะซังพูดแบบนั้นออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ถ้าเธอเป็นคนพูดแล้วเรื่องมันดันเกิดขึ้นจริง เธอคงไม่ใช่คนที่จะกลับมาว่ากล่าวอะไรใครหรอก เธอเป็นคนที่เรียบๆ นิ่งๆ น่ะนะ ทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายเลยล่ะ
“ช–ใช่เลย…! ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน…!”
“อืม เพราะงั้นไม่ต้องคิดมาก แล้วก็อย่าเผลอพูดอะไรแปลกๆ กับเธอ เข้าใจไหม?”
กับมิซากิ ผมต้องห่วงเรื่องนี้มากกว่าอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ เพราะพอเป็นเรื่องของซูซุมิเนะซังเมื่อไหร่ เธอก็มักจะเปลี่ยนโหมดกลายเป็นจอมโป๊ะอยู่เรื่อย เธอชอบพูดอะไรไม่เข้าท่าจนทำให้เรื่องแย่ลงได้ง่ายๆ เลย… แล้วแบบนั้นก็มีสิทธิ์สูงมากที่ซูซุมิเนะซังจะไม่พอใจเอาจริงๆ ด้วย
“อืม… ฉันจะระวังนะ…”
พอได้ยินคำตอบรับจากมิซากิ รถไฟก็มาถึงสถานีที่ผมต้องลงพอดี ผมเลยบอกลาเธอสั้นๆ แล้วเดินตรงไปรับโคโคอะต่อทันที
MANGA DISCUSSION