“ไรโตะคุง เสาร์นี้ว่างไปเดทด้วยกันไหม…?”
ระหว่างพักเที่ยง ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับอาหารฝีมือมิซากิ เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาอ้อนๆ พลางเอียงหน้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจ
ใกล้ไปแล้วมั้ง…
ตอนนี้เธอกินเสร็จไปก่อนผมแล้วแน่นอน เพราะผมเป็นคนป้อนให้กับมือเลยต่างหาก
“ก็เพื่อให้คนอื่นเชื่อว่าเราคบกันอยู่ใช่ไหม?”
“อืม… ฉันว่าถ้าเราไปเดทกันให้คนเห็นตั้งแต่เนิ่นๆ น่าจะช่วยได้เยอะเลย”
ผมเข้าใจในสิ่งที่มิซากิคิดดี
ทุกวันนี้ก็ยังมีหลายคนที่ไม่เชื่อว่าเราคบกันจริงๆ การไปเดทให้คนอื่นเห็นกับตาจะช่วยให้เรื่องเข้าใจง่ายขึ้น
ถ้าเราเลือกสถานที่ที่นักเรียนชอบไปกันบ่อยๆ ยังไงก็ต้องมีใครสักคนเจอเข้าแน่นอน แค่มีเงื่อนไขนิดหน่อย…
“ขอโทษนะ จริงๆ ฉันควรถามไว้ก่อน… ถ้าเราจะไปเดทกัน ฉันพาโคโคอะไปด้วยได้ไหม?”
ปกติแล้วผมเป็นคนดูแลโคโคอะแทนแม่ ซึ่งก็รวมถึงวันหยุดด้วย
แม้ว่าวันอาทิตย์แม่จะหยุดงานก็เถอะ แต่ตลอดหกวันที่เหลือเธอทำงานตั้งแต่บ่ายจนดึก ผมเลยต้องดูแลทุกอย่างเพื่อให้แม่ได้พักเต็มที่ เพราะแบบนั้น ไม่ว่าจะเสาร์หรืออาทิตย์ โคโคอะก็จะอยู่กับผมเสมอ สำหรับคนที่จะไปเดทด้วยกันก็คงจะลำบากอยู่บ้าง…
“ได้อยู่แล้วสิ ฉันเองก็อยากคุยกับโคโคอะจังเหมือนกัน”
คำตอบของมิซากิทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ เด็กๆ มักเข้ากับเธอได้ดีอยู่แล้ว บางทีสำหรับคนชอบเด็กอย่างเธอ นี่อาจจะเป็นข่าวดีด้วยซ้ำ
เรื่องนี้เองก็คงเป็นอีกจุดที่เราสองคนเข้ากันได้ดี
“ขอบคุณนะ โคโคอะต้องดีใจแน่ๆ เลย”
“โคโคอะจังน่ารักจะตาย~”
“ก็นะ ก็เธอเป็นนางฟ้านี่นา”
“อ๊ะ ฮะๆ สุดท้ายก็กลายเป็นนางฟ้าไปแล้วเหรอ”
แต่ก่อนผมยังพูดแค่ ‘เหมือน’ หรือ ‘คล้าย’ อยู่เลย นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมพูดออกมาเต็มปากแบบนี้ เธอเลยหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู
แต่ผมพูดจริงนะ โคโคอะน่ะเป็นนางฟ้าตัวน้อยของจริง ใครที่ได้อยู่ใกล้ๆ แล้วก็จะเข้าใจเอง
“ก็ในเมื่อโคโคอะน่ารักขนาดนั้น จะให้ทำยังไงได้ล่ะ”
“ไรโตะคุงน่ะ ปกติแทบไม่เคยทำตัวอ่อนโยนกับใครเลยแท้ๆ แต่พอเป็นโคโคอะจังเท่านั้นแหละ ทั้งเอ็นดูทั้งใจอ่อนสุดๆ ไปเลยนะ…”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
ผมไม่ได้แสดงออกว่ารักโคโคอะเกินเบอร์อย่างที่เธอว่าเสียหน่อย (ถึงจะออกแนวตามใจเกินพอดีไปบ้างก็เถอะ)
“ฉันเองก็อยากมีพี่ชายแบบไรโตะคุงดูบ้างแฮะ”
“นี่เธอแอบใช้มุกจีบใหม่เหรอ?”
“ไม่ต้องจีบหรอกน่า ก็ไรโตะคุงเป็นแฟนฉันอยู่แล้วนี่”
ผมลองแกล้งหยอกไปดูแต่เธอกลับตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มสบายๆ แบบไม่มีเคืองเลยสักนิด
…เธอนี่เก่งชะมัด
พอเป็นเรื่องของซูซุมิเนะซังทีไร เธอก็เหมือนจะสติหลุดทุกที ไม่รู้ว่าเคยมีปมอะไรฝังใจกับอีกฝ่ายหรือเปล่าถึงได้ชอบทำอะไรหลุดๆ เวลาที่เผลอไปเปรียบเทียบกับเธอแบบนั้น
แต่จะให้ถามออกไปตรงๆ ก็คงไม่ได้อยู่ดี ใครจะไปรู้ว่าซูซุมิเนะซังแอบฟังอยู่แถวไหนบ้าง
“ทั้งที่ฉันพูดจริงจังแท้ๆ แต่พอนายเอาไปล้อแบบนั้น มันดูแย่เลยนะ”
“ขอโทษที ก็เธอพูดแบบนั้นมันฟังไม่เหมือนพูดจริงจังเลยนี่นา”
“ใจร้ายจัง… ถ้าใครได้เห็นไรโตะคุงตอนอยู่กับโคโคอะล่ะก็ต้องคิดเหมือนฉันแน่นอนว่าอยากให้นายเป็นพี่ชายให้เขาบ้าง”
ไม่มีทางหรอก… ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่ก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าผมโดนคนในห้องเกลียดแค่ไหน
“ฉันไม่ชอบคำเยินยอที่ไม่มีมูลความจริงหรอกนะรู้ไหม?”
“นี่ไรโตะคุงประเมินตัวเองต่ำเกินไปแล้วนะ ควรจะมั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยสิคะ”
มิซากิถอนหายใจเบาๆ แล้วมองหน้าผมด้วยสายตาอ่อนๆ เหมือนจะพูดอะไรอีก
แต่ถึงจะทำหน้าแบบนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีแหละ
“จะพูดอะไรแบบนั้นกับคนที่โดนทั้งห้องเกลียดหน้า มันดูไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยมั้ย?”
“ก็คนอื่นน่ะสายตาไม่ดีเองต่างหากล่ะค่ะ”
“แต่ในสายตาคนพวกนั้น เธอต่างหากที่เป็นคนมองอะไรผิดไปอยู่คนเดียวนะ”
เรื่องแบบนี้ผมฟังมาจนเบื่อแล้ว
ในสถานการณ์ที่มีแค่คนเดียวขัดแย้งกับความเห็นของคนหมู่มาก มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเสียงส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นฝ่ายถูก
“ฉันก็แค่มองคนละจุดกับพวกเขาเท่านั้นเอง… ฉันน่ะไม่สนแค่เปลือกนอกหรอกนะ แต่ฉันจะมองเข้าไปถึงข้างในจริงๆ น่ะค่ะ…!”
ดูเหมือนสิ่งที่ผมพูดจะไม่ถูกใจเธอสักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้มิซากิเริ่มทำหน้าบึ้งงอนตุ๊บป่องขึ้นมาแล้ว ทั้งที่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องจริงจังขนาดนั้นแท้ๆ…
“หมายความว่าหน้าตาอาจไม่ดีแต่จิตใจดีงั้นเหรอ?”
“พูดบิดเบือนแบบนั้นมันใจร้ายเกินไปแล้วนะคะ…!”
ว่าแต่ทำไมเธอถึงพูดกับผมด้วยภาษาสุภาพตลอดเลยล่ะ? หรือนี่เป็นนิสัยติดตัวของเธอ?
“แต่พูดแบบนั้นมันก็ตีความได้แบบนั้นอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
“นี่! รู้ทั้งรู้ว่าใจความที่ฉันจะสื่อคืออะไร แต่ก็ยังจงใจจับผิดอีกใช่มั้ย!?”
อ้าว… กลับมาใช้ภาษาธรรมดาแล้วแฮะ สงสัยเวลาที่เธอบ่น เธอจะชอบพูดเป็นภาษาสุภาพ
“ก็ฉันได้ยินแบบนั้นจริงๆ นี่นา”
“ฮึมมมมมม…!”
คราวนี้เธอพองแก้มใส่ผมอย่างน่าหมั่นไส้แทน ท่าทางงอนแบบนี้มันดูเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิดเลย
พอเห็นมุมแบบนี้ของเธอแล้ว ผมก็เผลอคิดว่าเธอเองก็น่ารักดีเหมือนกัน แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ…
“อย่าใจร้ายกับฉันแบบนี้สิคะ!!”
“โอเคๆ ฉันแค่หลุดพูดความจริงไปหน่อยเองนี่นา”
“นั่นไม่ใช่ความจริงซะหน่อย! แล้วใครใช้ให้บิดเบือนคำพูดคนอื่นแบบนั้นกันล่ะ?”
เอ่อ… ทำไมถึงรู้สึกสนุกขึ้นมาก็ไม่รู้
“ที่ฉันจะสื่อก็คือ คนอื่นน่ะ มองเห็นแค่ด้านที่ไรโตะคุงพยายามผลักไสทุกคนออกไปเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วไรโตะคุงก็เป็นคนที่แคร์คนอื่น และยื่นมือเข้าช่วยเวลามีใครเดือดร้อนต่างหาก!”
อาจเพราะผมกวนเธอมากเกินไป คราวนี้มิซากิเลยโน้มหน้ามาใกล้จนแทบจะชนกันแล้ว ถึงจะอยู่ในระยะที่หายใจก็ได้ยินกัน แต่ดูเหมือนคนโกรธจะไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด
“ฉันก็แค่เป็นคนที่ปฏิบัติกับแต่ละคนไม่เหมือนกันก็แค่นั้นเอง เพราะงั้นพวกนั้นจะเข้าใจฉันแบบไหนมันก็ถูกต้องในแบบของพวกนั้นแล้วล่ะ”
“แต่กับชั้น… โรโตะคุงก็ช่วยเหลือตอนฉันลำบากแล้วก็คอยดูแลฉันอย่างอ่อนโยนด้วยนะ…”
“ตรงนั้นน่ะ เธอเข้าใจผิดเต็มๆ แล้ว”
อย่างน้อยก็ในมุมมองของผม ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองอ่อนโยนอะไรขนาดนั้นเลยสักนิด แค่ดูจากวิธีที่ผมปฏิบัติกับโคโคอะกับมิซากิก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามันต่างกันแค่ไหน
“ทำไมไรโตะคุงถึงไม่ยอมรับมันซะทีล่ะ…!?”
“ก็แค่พูดตามความจริงเท่านั้นเองนะ?”
“ฮึมมมมมม…!”
มิซากิพองแก้มใส่อีกรอบอย่างหงุดหงิด แต่คราวนี้ดูเหมือนจะพองแรงกว่าเดิมอีก
เธอคงไม่ชอบใจสิ่งที่ผมพูดเข้าให้จริงๆ
“เธอไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยนี่นา…”
ผมเริ่มรู้สึกว่าถ้าปล่อยให้เธองอนต่อไปคงไม่ดีแน่ เลยพยายามเปลี่ยนท่าทีให้อ่อนลง
ยังไงเราก็ต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้ให้ได้ จะให้มีปัญหากันตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าคนที่จะลำบากกว่าคงเป็นเธอก็ตาม…
“ก็เพราะไรโตะคุงชอบดูถูกตัวเองนี่นา!”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เธอต้องโกรธด้วยล่ะ?”
“…”
ผมถามกลับไปอย่างใจเย็นขึ้นอีกนิด และดูเหมือนคำถามนั้นจะทำให้เธอพูดไม่ออก
เธอนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังพยายามคิดคำอธิบายให้กับอารมณ์ของตัวเอง แล้วในที่สุด-
“…ก็จริงเนอะ?”
เธอเอียงคอเล็กน้อยพลางพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่เริ่มสงสัยตัวเอง เหมือนว่าเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น
แบบนี้แหละที่ทำให้รู้สึกว่ามิซากิก็มีมุมซื่อๆ อยู่เหมือนกัน
MANGA DISCUSSION