“――พี่จ๋า… อุ้ม”
เช้าวันถัดมา พอเตรียมตัวไปเนอสเซอรี่เสร็จ โคโคอะก็ยื่นมือทั้งสองข้างมาตรงหน้าผม
ผมเป็นคนที่อุ้มเธอไปส่งที่เนอสเซอรี่เป็นประจำ
“โคโคอะ วันนี้ลองเดินเองดูบ้างไหม?”
“…………”
โคโคอะมองมาด้วยดวงตาใสแจ๋วแบบจะร้องไห้ราวกับกำลังอ้อนขอให้ผมอุ้ม
จริงๆ แล้วควรจะให้เดินเพื่อฝึกขาและเอวให้แข็งแรงมากกว่า… แต่สุดท้ายผมก็-
“ถ้าโตขึ้นอีกนิดต้องเดินเองให้ได้นะ”
เพราะเธอยังเล็กอยู่ ผมจึงยอมอุ้มตามเดิม
“อื้ม…!”
โคโคอะอารมณ์ดีสุดๆ เลยเอาแก้มมาถูแก้มผมไปมา เธอยังคงเป็นเด็กขี้อ้อนเหมือนเดิมเลย
จากนั้นเราก็ออกจากบ้านแล้วเดินไปเนอสเซอรี่ด้วยกัน
เนอสเซอรี่อยู่ค่อนข้างใกล้บ้านจึงเดินไปได้สบายๆ
“คุณครู~ สวัสดีค่ะ~!”
“จ้ะ โคโคอะจัง สวัสดีนะคะ สวัสดีคุณชิราอิด้วยนะคะ”
พอมาถึงเนอสเซอรี่ คุณครูซาซากาวะก็ยิ้มทักทายเรา
“สวัสดีครับ ฝากน้องสาวด้วยนะครับ”
“ฝากตัวด้วยค่ะ”
ผมก้มหัวให้แล้วโคโคอะก็ทำตามเหมือนเป็นกิจวัตรยามเช้า
“ฝากไว้ได้เลยค่ะ คุณชิราอิก็ สู้ๆ กับโรงเรียนนะคะ”
“ขอบคุณครับ โคโคอะ เป็นเด็กดีนะ”
“อื้ม…! บ๊ายบายพี่ชาย~!”
“บ๊ายบาย”
ผมโบกมือตอบนิดๆ กลับไปให้โคโคอะที่โบกมือมาอย่างร่าเริง แล้วจึงหันกลับไปมองคุณครูอีกครั้ง
“…………”
“เอ่อ… มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ตอนที่กำลังจะกล่าวลาแล้วมุ่งหน้าไปโรงเรียน ผมก็รู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่
ปกติไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย…
“ฟุฟุ… ฉันดีใจจริงๆ ที่เป็นคุณชิราอิ”
“…ครับ? หมายถึงอะไรเหรอครับ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉันเองค่ะ”
เมื่อคุณครูซาซางาวะยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วส่ายหน้าช้าๆ ด้วยรอยยิ้ม ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร
มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ ผมเองก็อยากจะถามให้แน่ใจอยู่หรอก แต่โชคร้ายที่ผมมีต้องขึ้นรถไฟไปเรียน ถ้าพลาดเที่ยวนี้ก็ต้องรออีกตั้งสามสิบนาที
“ขอโทษนะครับ พอดีผมต้องไปขึ้นรถไฟ ผมต้องรีบไปแล้ว”
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ขอตัวก่อนนะครับ”
ผมก้มศีรษะให้คุณครูซาซางาวะแล้วหันกลับไปมองโคโคอะอีกครั้ง
ทันใดนั้น โคโคอะก็ส่งยิ้มอย่างสดใสและน่ารักมาให้ผม
เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างประหลาด
หลังจากนั้นผมก็ออกเดินมุ่งหน้าไปยังสถานี โดยมีน้องสาวแสนน่ารักกับคุณครูคอยส่งยิ้มให้จนลับตา
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กันนะ…?”
ความรู้สึกแรกที่ผมคิดขึ้นมาได้ตอนมาถึงสถานีก็คือสิ่งนั้น เพราะว่า
“อ-อรุณสวัสดิ์นะ ไรโตะคุง”
มิซากิกำลังยืนอยู่ที่สถานี
ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีนัดว่าจะมาด้วยกัน แถมสถานีนี้ก็ไม่ใช่สถานีที่เธอควรจะขึ้นด้วยซ้ำ
เธอควรจะขึ้นรถไฟจากสถานีที่อยู่ถัดจากสถานีผมไปอีกตั้งสองสถานี และถ้าเป็นการเจอกันโดยบังเอิญในขบวนรถไฟก็ยังพอเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่เจอกันในสถานีแบบนี้มัน…
“แอบรออยู่ก่อนแบบนี้ถือว่าเป็นงานอดิเรกที่ดีเหมือนกันนะ”
“พูดงี้กับคนที่เป็นแฟนเนี่ยนะ…?”
มิซากิยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกพลางเดินเข้ามาใกล้ผม แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ถึงจะเป็นแฟนก็เป็นแค่แฟนหลอกๆ เท่านั้นเอง
“ถ้าจะมากับฉันล่ะก็บอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานก็ได้นี่นา”
“เอ่อ… คือเมื่อกี้น่ะนะ ฉันโดนเฮียวกะจังทักว่า ‘เป็นแฟนกันแท้ๆ ทำไมไม่ไปโรงเรียนด้วยกันล่ะ?’ เข้าน่ะสิ…”
“แล้วก็เลยเผลอตอบไปว่ากำลังรออยู่ที่สถานีนี้สินะ?”
“อืม…”
ความคิดของเธอยังโอเคดีอยู่ไหมเนี่ย?
“เลิกทำให้การโกหกกลายเป็นนิสัยเถอะนะ”
แม้จะมีภาพจากตอนงานเทศกาลแวบขึ้นมาในหัว แต่เรื่องนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แน่นอนว่าบางสถานการณ์ก็จำเป็นต้องโกหกจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าเอะอะอะไรก็ใช้การโกหกเพื่อเอาตัวรอดอยู่ตลอด คนรอบข้างก็จะหมดความไว้ใจเอาได้
“รู้แล้ว… ขอโทษนะ…”
“ไม่ต้องขอโทษฉันก็ได้ ก็ไม่ใช่ว่า—อ่ะ เอาเถอะ แล้วปกติเธอไม่ได้ออกจากบ้านพร้อมกับซูซุมิเนะซังอยู่แล้วเหรอ?”
“อืม เพราะบ้านเราอยู่ติดกันก็เลยไปด้วยกันตลอดน่ะ”
ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ ซูซุมิเนะซังก็คงไม่เซ้าซี้อะไรมากนักหรอก
ถ้าเธอมีนัดกับซูซุมิเนะซังอยู่แล้วแต่กลับบอกว่ามีนัดกับผมด้วย การมาลงที่สถานีนี้มันก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี
จริงๆ แล้วถ้าจะให้ถูกต้อง เธอก็ควรจะบอกซูซุมิเนะซังไว้ล่วงหน้าหรือไม่ก็ขอให้ผมเปลี่ยนเวลานั่งรถไฟมาให้ตรงกันกับเธอ แต่ถ้าไม่มีนัดกับซูซุมิเนะซังตั้งแต่แรก การบอกว่าเธอนัดกับผมไว้แล้วเปลี่ยนเวลารถไฟตามผมก็พอจะฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน
เพราะทั้งสองคนนี้ออกจากบ้านไปโรงเรียนแต่เช้าอยู่แล้ว ปกติเธอก็คงจะนั่งรถไฟขบวนก่อนหน้าที่ผมนั่งเป็นประจำ
ก็แหงล่ะ การกระทำมันชัดเจนขนาดนี้ ยังไงซูซุมิเนะซังก็คงจับได้อยู่ดี แต่ถ้าไม่มีหลักฐาน ก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าเธอโกหกหรอก
“ถ้าบอกว่าไปเจอฉันที่บ้านตั้งแต่แรกจะดูน่าสงสัยน้อยที่สุดแล้วล่ะ”
“ก็ฉันคิดไม่ถึงขนาดนั้นนี่นา…”
“ก็ช่างเถอะ ยังไงมันก็คือการโกหกอยู่ดี”
เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยหาจังหวะเหมาะๆ แล้วช่วยพูดกับซูซุมิเนะซังทีหลังละกัน ยังไงก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้เรื่องครอบครัวผมละเอียดขนาดนั้น ถ้าบอกว่าเพิ่งไปส่งน้องสาวที่เนิร์สเซอรี่มาก็น่าจะพอเนียนไปได้อยู่
ปัญหาก็คือจะทำยังไงให้ลากบทสนทนาไปถึงตรงนั้นกับราชินีน้ำแข็งคนนั้นได้เนี่ยสิ
“…………”
“หืม? มีอะไรเหรอ?”
หลังจากเดินผ่านประตูตรวจตั๋วมาแล้ว อยู่ๆ มิซากิก็เอาแต่มองหน้าผมจนผมอดถามกลับไปไม่ได้
“เมื่อกี้นี่้คิดเรื่องที่จะช่วยพูดแทนฉันกับเฮียวกะจังอยู่ใช่มั้ย?”
“รู้ได้ไงน่ะ?”
“ก็ตอนนั้นนายทำตัวเงียบๆ แล้วทำหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่ ฉันเลยเดาว่าอาจจะใช่ก็ได้”
พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับซูซุมิเนะซัง มิซากิก็มักจะกลายเป็นคนซื่อๆ ดูโป๊ะๆ จนทำให้ผมลืมไปเลยว่าจริงๆ แล้วเธอก็ฉลาดเหมือนกัน
ถ้าจำไม่ผิด เรื่องผลการเรียน เธอน่าจะได้อันดับรองจากซูซุมิเนะซังที่มักได้ที่หนึ่งอยู่ตลอดด้วยซ้ำ
ถ้าให้สู้เรื่องเรียนล่ะก็ผมคงหมดทางจะสู้ได้เลยจริงๆ
“ไรโตะคุงน่ะ ใจดีจริงๆ นะ…”
“ไม่หรอก ฉันก็แค่ไม่อยากมีเรื่องกับซูซุมิเนะซังน่ะ เพราะงั้นมันก็เพื่อความสะดวกของฉันเอง ไม่ได้ใจดีอะไรหรอก”
“หรือว่า… ไรโตะคุงชอบเฮียวกะจังเหรอ?”
“…หา?”
ผมเผลอหยุดคิดไปสองสามวินาทีเพื่อประมวลสิ่งที่เธอพูดออกมา
“มะ-ไม่ต้องทำหน้าดุขนาดนั้นก็ได้มั้ง…!”
“เดี๋ยวนะ แล้วทำไมฉันถึงต้องชอบซูซุมิเนะซังล่ะ?”
“ก็… เฮียวกะจังน่ารักแถมยังหัวดี แล้วก็ทั้งสองคนก็รู้จักกันมาก่อนด้วยไม่ใช่เหรอ?”
มิซากิเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาเหมือนกำลังแอบสำรวจปฏิกิริยา แต่สิ่งที่เธอพูดออกมากลับทำให้ผมรู้สึกงงเสียมากกว่า
“รู้จักกันมาก่อน… เธอหมายถึงก่อนงานเทศกาลน่ะเหรอ?”
แต่ถ้าแค่นั้น สำหรับเพื่อนร่วมชั้นก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วนี่นา
“ตั้งแต่ก่อนเข้าม.ปลายเลย เอ๊ะ… หรือฉันจำผิด?”
“ฉันเพิ่งรู้จักซูซุมิเนะซังตอนเข้าม.ปลายนี่แหละ”
“งั้นเหรอ…”
อืม แล้วทำไมถึงตอบเหมือนไม่ค่อยแน่ใจแบบนั้นล่ะ? หรือว่ามีความเป็นไปได้ที่ผมเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อนแล้วผมเป็นฝ่ายลืมแต่เธอยังจำได้อยู่
ถ้าเป็นแบบนั้น บางทีการที่เธอเย็นชากับผมในช่วงแรกของการเรียนอาจจะมีสาเหตุจากตรงนี้ก็ได้
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้มีท่าทางเป็นมิตรกับผู้ชายคนอื่นสักเท่าไหร่เหมือนกัน เพราะงั้นจะว่าผมคิดมากเกินไปก็คงใช่
“เอาเป็นว่าฉันไม่ได้ชอบซูซุมิเนะซังหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้มีคนที่ชอบอยู่ด้วย”
“งั้นเหรอ… โล่งอกไปที…”
มิซากิยกมือขึ้นแตะอกอย่างโล่งใจ และนั่นก็คือคำตอบของผม
“เพราะถ้านายชอบเฮียวกะจังล่ะก็… มันคงทำให้ความสัมพันธ์ของเรากลายเป็นเรื่องยุ่งยากน่าดูเลยเนอะ”
ก็จริง มันก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ ไม่มีทางหรอกที่มิซากิจะรู้สึกอะไรกับผม
“—อ๊ะ รถไฟมาแล้วล่ะ”
พอรถไฟแล่นเข้ามาจอด เราสองคนก็หยุดเรื่องสนทนาไว้แต่เพียงเท่านั้น
MANGA DISCUSSION