ซูซุมิเนะซังยิงคำถามจู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ความกล้าแบบไม่ลังเลนี่แหละคงเป็นหนึ่งในข้อดีของเธอ
แต่ในมุมของคนที่ต้องเผชิญหน้ากับเธอ มันคือความน่าปวดหัวสุดๆ เลยต่างหาก
“ถามผิดคนแล้วไม่ใช่รึไง? ถ้าจะถามเรื่องนั้นก็ควรจะไปถามมิซากิไม่ใช่เหรอ?”
ผมสบตากับเธอพลางทำหน้าเหนื่อยหน่าย
ผมพยายามไม่เผยข้อมูลโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าเธอกำลังแกล้งหยั่งเชิงผม ผมก็ต้องรับมือให้ดี
“ฉันไม่อยากถามจากมิซากิหรอก”
“ทำไมล่ะ?”
พวกเธอสองคนนี่นะ… คนหนึ่งก็พยายามปิดบัง อีกคนก็ไม่อยากถาม นี่เป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ เหรอเนี่ย?
แต่แล้วคำตอบที่เธอพูดออกมาก็ทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิด
“ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าฉันเป็นคนถามเอง มิซากิก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโกหก ฉันถึงไม่ถาม เพราะฉันไม่ชอบคนโกหกน่ะสิ”
ดูเหมือนเธอจะเข้าใจนิสัยของมิซากิดีถึงขนาดไม่ยอมสร้างสถานการณ์ให้เพื่อนต้องพูดโกหกเลยทีเดียว
“แต่โดยปกติ ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ ก็ควรพูดตรงๆ กันไม่ใช่เหรอ?”
ผมลองถามกลับไปในแบบเดียวกับที่เคยถามมิซากิมาก่อนเพราะยังรู้สึกคาใจอยู่ และก็อยากรู้ด้วยว่าเธอจะตอบยังไง
“ขอฉันพูดข้อสันนิษฐานของฉันก่อนจะได้ไหม?”
เธอไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กลับเอ่ยขออย่างสุภาพแทน
“ได้อยู่แล้ว พูดมาเถอะ”
“ขอบคุณนะ มิซากิน่ะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถมีแฟนได้ แต่จู่ๆ ก็มาคบกับเด็กผู้ชายที่แทบไม่เคยคุยกันมาก่อน มันดูแปลกใช่มั้ยล่ะ?”
ดูเหมือนว่าเธอจะรู้เรื่องฝังใจของมิซากิด้วย
ที่เธอไม่พูดออกมาตรงๆ อาจเป็นเพราะคำนึงว่าผมอาจยังไม่รู้เรื่องนั้น เพราะงั้นถึงไม่ได้ลงรายละเอียด
“แล้วไงต่อ?”
ผมเห็นว่าเธอยังมีอะไรจะพูดจึงเร่งให้เธอพูดต่อ
“เพราะงั้นฉันก็เลยคิดว่าคำตอบมันอยู่ในสิ่งที่มิซากิพูดในห้องเรียนตอนเช้า วันเทศกาลฤดูร้อนน่ะ มิซากิถูกหนุ่มๆ เข้ามาจีบ แล้วนายก็คงแกล้งทำเป็นแฟนเพื่อช่วยเธอใช่มั้ยล่ะ?”
พูดจบเธอก็มองสบตาผมด้วยแววตาแน่วแน่เหมือนมั่นใจในคำตอบของตัวเอง
มั่นใจเกินไปแล้ว…
“ปกติถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็อาจจะทำแบบนั้นก็ได้ แต่เธอไม่รู้ชื่อเสียงของฉันรึไง? คิดว่าฉันจะเข้าไปยุ่งเรื่องวุ่นวายแบบนั้นเองเหรอ?”
แม้จะน่าหนักใจที่เธอรู้เรื่องของมิซากิดี แต่ในเมื่อรับบทเป็นแฟนปลอมๆ แล้ว ผมก็ต้องเล่นให้ถึงที่สุด
ในสายตาคนที่โรงเรียน ผมน่ะเป็นพวกเข้ากับใครไม่เก่ง เย็นชา ไม่เคยช่วยใคร เพราะงั้นถ้าอ้างภาพลักษณ์นั้นก็อาจพอใช้กลบเกลื่อนได้
แต่ทว่า…
“นายน่ะ ถ้าเป็นคนอย่างนายก็คงช่วยเธอไว้แหละ”
จู่ๆ ซูซุมิเนะซังก็พูดแบบนั้นขึ้นมาโดยไม่ลังเล
“ไม่หรอก ฉันคงไม่ช่วยแน่ๆ”
“หืม~?”
แค่เสียงก็รู้แล้วว่าเธอไม่เชื่อผมเลยสักนิด
“ช่างเถอะ ประเด็นนั้นขอปล่อยผ่านละกัน”
“อย่าปล่อยผ่านสิ!?”
โดนปัดประเด็นทิ้งอย่างหน้าตาเฉยจนผมเผลอหลุดปากแทรกไปทันที
“มันก็แค่บทสนทนาที่ไร้ประโยชน์น่ะ ยังไงนายก็ไม่ยอมรับ ส่วนฉันเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
ก็จริงว่าผมไม่มีทางยอมรับแน่ๆ แต่การที่เธอไม่ยอมถอยนี่เป็นเพราะอะไรนะ…?
ทั้งที่เราแทบไม่ได้คุยกันเลยแท้ๆ เวลาคุยกันในโรงเรียน เธอก็ทำกับผมเหมือนพวกผู้ชายคนอื่น
“กลับเข้าเรื่องนะ พอพวกเธอเล่นบทแฟนปลอมให้คนอื่นเห็นเข้าเยอะๆ มิซากิก็เริ่มได้รับข้อความสอบถามมากมายผ่านแอปแชต สุดท้ายเธอก็เลยคิดว่าถ้ายังคบกับชิราอิคุงต่อไปแบบนี้ล่ะก็ เธอคงได้หลุดพ้นจากวังวนละครเวทีสารภาพรักซักที”
ซูซุมิเนะซังเอามือเท้าคางแล้วพูดความเห็นของตัวเองอย่างมั่นใจเต็มที่
ถึงอยากจะทักว่า ‘นี่เธอเป็นนักสืบรึไง’ แต่ตอนนี้เธอดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ผมเลยเลือกจะเงียบไว้ดีกว่า
“แต่เธอก็เรียกมันว่าเวทีสารภาพรักเหมือนกันนะ”
“ก็ในสายตาฉันมันกลายเป็นโชว์ให้คนดูไปแล้วนี่”
คำตอบของเธอยังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม เหมือนเธอจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของคนอื่นเท่าไหร่
“ไม่โกรธบ้างเหรอที่เพื่อนสมัยเด็กกลายเป็นของโชว์ไปแบบนั้นน่ะ?”
“จะเบี่ยงประเด็นไปก็เปล่าประโยชน์นะ”
“ไม่ใด้จะเบี่ยงซะหน่อย”
แย่ละ โดนจับได้ซะแล้ว
“แต่เอาเถอะ จะตอบให้ก็ได้ ถึงจะมีความรู้สึกไม่ดีเวลาเห็นคนดูเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก แต่เด็กผู้ชายที่สารภาพรักกับมิซากิทุกคนต่างก็จริงจังกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่มีสิทธิ์ไปหยุดพวกเขาหรอก”
งั้นเหรอ… แบบนี้เองสินะที่ทำให้เธอไม่เข้าไปขัด
แม้จะดูเป็นโชว์ในสายตาคนภายนอก แต่คนที่ขึ้นเวทีนั้นล้วนจริงจังกันทั้งนั้น อย่างกัปตันชมรมบาสที่เป็นขวัญใจสาวๆ ก็ยังสารภาพรักแบบจริงใจเลย
ซูซุมิเนะซังเลยเลือกที่จะหลับตาข้างหนึ่งเพราะรู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ และถ้าจะกำจัดคนที่พยายามสารภาพรักออกไปทั้งๆ ที่ต้นเหตุมันยังอยู่ มันก็ไม่มีทางสำเร็จหรอก
“ดูเหมือนจะใจดีเหมือนกันนะ”
“อ๊ะ สุดท้ายก็เผลอพูดความจริงออกมาจนได้สินะ?”
คำที่ผมหลุดปากออกไปโดยไม่ตั้งใจทำให้ซูซุมิเนะซังหันมาสนใจขึ้นมาทันทีพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กๆ แล้วเธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลดระดับลงหลายขั้นว่า
“ระวังหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะโกรธเอานะ”
เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
อืม เธอน่ากลัวจริงๆ ด้วย
“ฉันก็ชมอยู่นี่ไงว่าดูใจดี”
“แต่นายพูดว่า ‘ดูเหมือนจะใจดี’ ใช่มั้ย? แปลว่านายมองว่าฉันไม่ใจดีเลยสักนิดอยู่แล้วน่ะสิ”
เธอเองก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วนี่นา
เอาเถอะ ยังไงก็อย่าเผลอพูดอะไรแย่ๆ มากไปกว่านี้เลย
“แล้วไงล่ะ? ความเห็นของฉันตรงกับความจริงรึเปล่า?”
ผมคิดว่าเธอน่าจะลืมไปแล้วซะอีก แต่ดูเหมือนจะยังไม่ลืมประเด็นที่พูดกันอยู่ก่อนหน้านี้ จะทำยังไงดีล่ะ…
“ถ้าฉันบอกว่าไม่ใช่ล่ะ นายจะเชื่อมั้ย?”
“ถ้าเธอพูดแบบนั้นได้เต็มปาก ฉันก็จะเชื่อ”
เข้าใจแล้วล่ะ เธอตั้งใจจะเชื่อคำพูดของผมจริงๆ แหละ แต่สายตาของเธอเหมือนจะพูดว่า ‘ถ้านั่นเป็นคำโกหก นายรู้ใช่มั้ยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?’
แน่นอนว่าต่อให้โดนจับได้ถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ยังไม่ควรพูดออกไป เพราะผมให้สัญญากับมิซากิไว้แล้วว่าจะไม่บอกใครง่ายๆ
“ก็แล้วแต่จะคิดแล้วกัน”
“เล่นไม่ซื่อเลยนะ”
ผมตอบแบบกำปั้นทุบดินไป ทำเอาซูซุมิเนะซังหรี่ตาพร้อมทำหน้าไม่พอใจใส่ผมทันที
ก็เข้าใจแหละว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ใครจะพอใจได้ง่ายๆ
“นี่มันเรื่องของฉันกับมิซากินะ ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องมารู้หรือต้องมาถามด้วยซ้ำ”
เธอเงียบไปพร้อมกับทำหน้าหงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่ง
ที่ผมพูดออกไปล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่ธุระของเธอ
“เฮ้อ… มาเสียเที่ยวจริงๆ”
ดูเหมือนเธอจะยอมแพ้แล้ว
ดีละ อย่างน้อยก็คุยกันจบโดยไม่ต้องทะเลาะกัน
“แล้วที่มิซากิไม่ยอมบอกความจริงกับเธอน่ะ เป็นเพราะอะไรเหรอ?”
“หืม? นายไม่ยอมบอกว่าฉันเดาถูกมั้ยแต่ดันมาถามฉันซะงั้นน่ะเหรอ?”
“ก็ฉันอยากรู้”
ถึงผมจะรู้อยู่แล้วว่ามิซากิให้เหตุผลอะไรกับเธอไป แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าในมุมมองของซูซุมิเนะซังที่เป็นคนที่เข้าใจมิซากิดีจะวิเคราะห์ว่ายังไงบ้าง
“เฮ้อ…”
เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายราวกับจะบอกว่า ‘ทำไมต้องถามอะไรแบบนี้ด้วยนะ’ ก่อนจะพูดต่อว่า
“มิซากิคิดว่าถ้าฉันรู้ว่าเธอโกหกความรู้สึกของพวกผู้ชายที่มาสารภาพรัก เธอต้องโดนฉันเกลียดแน่ๆ”
“แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอไม่บอกไปตรงๆ ล่ะว่าเธอจะไม่โกรธ? ก็ในความเป็นจริงเธอไม่ได้โกรธนี่นา?”
ทั้งที่ซูซุมิเนะซังเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามิซากิกำลังโกหกแต่กลับไม่มีท่าทีโกรธเลยสักนิด
ผมว่าเรื่องนี้เป็นแค่ความคิดมากของมิซากิเท่านั้น
“ก็ใช่ ถ้ามิซากิบอกฉันมาตรงๆ ตั้งแต่แรกว่ากำลังลำบากอยู่ ฉันก็ไม่มีทางโกรธแน่นอน แถมฉันก็จะคิดด้วยว่าที่เธอเลือกทำแบบนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ไม่เลวด้วยซ้ำ แต่ถึงจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องเป็นฝ่ายพูดก่อนเสมอ และฉันก็ไม่ได้ใจดีขนาดจะตามใจเธอทุกเรื่องหรอกนะ”
ดูเหมือนเธอจะคิดว่าถ้าจะทำขนาดนี้แล้วก็จงพูดออกมาตรงๆ เองเถอะ
เธอคนนี้คิดแบบผู้ใหญ่จริงๆ…
สำหรับเธอแล้ว บางทีแม้จะเป็นรุ่นเดียวกัน แต่มิซากิก็อาจจะเหมือนน้องสาวคนหนึ่งก็เป็นได้
“ขอบคุณที่ตอบคำถามให้ แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เธอต้องลำบากมาถึงนี่”
“ฟุฟุ… อยู่ดีๆ นายมาขอโทษแบบนี้ ดูแปลกจังเลยนะ”
ผมแค่รู้สึกว่าควรจะขอบคุณเธอที่ยอมตอบคำถามผม ผมเลยขอโทษไปตามมารยาท แต่กลับถูกเธอหัวเราะอย่างขบขัน
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นซูซุมิเนะซังยิ้มให้กับผู้ชายเลยก็ว่าได้
“ฉันเป็นคนที่มาหาเองนะ นายไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก แล้วอีกอย่างฉันยังมีเรื่องที่ต้องคุยอีกเรื่องหนึ่งด้วย”
“หา!? ยังมีอีกเหรอ…?”
“อะไรล่ะ ทำหน้าเหมือนจะหนีฉันอย่างนั้นแหละ”
ดูเหมือนผมจะเผลอแสดงสีหน้าออกไปเพราะเธอมองมาด้วยสายตาเหมือนน้อยใจเล็กๆ
“ก็ฉันไม่อยากให้แม่เข้าใจผิดนี่”
“ไม่ต้องห่วงหรอก แม่นายยังไม่กลับมาหรอกน่า”
“ว่าแต่… ฉันสงสัยตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ทำไมเธอถึงรู้เรื่องแม่ของฉันละเอียดขนาดนั้น?”
ถือโอกาสถามออกไปเลยละกัน
แต่สิ่งที่เธอทำก็แค่ยักไหล่พร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างเบาๆ
“คนที่จงใจไม่ยอมบอกฉันก่อนก็ไม่มีสิทธิจะรู้เหมือนกันหรอกนะ”
ดูเหมือนจะเป็นการเอาคืนแบบแกล้งๆ ของเธอ
มิซากิกับเธอนี่ถึงจะดูโตแค่ไหน แต่จริงๆ ก็ยังมีมุมเด็กๆ อยู่เหมือนกันทั้งคู่
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะจงใจไม่บอกเธอสักหน่อย”
“สำหรับฉันมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“เฮ้อ… ก็ได้ๆ แล้วเรื่องที่ว่ายังมีอีกอย่างน่ะคืออะไร?”
ดูเหมือนถ้าผมไม่ยอมพูดก่อน เธอก็จะไม่ยอมเฉลยเหมือนกัน
งั้นก็ช่างเถอะ รีบๆ พูดให้จบแล้วจะได้กลับกันสักที แต่แล้ว-
“ขอบคุณนะที่ดูแลมิซากิให้ เธอเป็นคนที่อาจจะวุ่นวายนิดหน่อยแต่ก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง ช่วยปกป้องเธอให้ด้วยนะ”
เธอพูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับคนละคนกับตอนก่อนหน้านี้ ก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่แสนอบอุ่น
“…………”
“งั้นก็… ฝันดีนะ”
พูดจบ เธอก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี
อะไรกันเนี่ย… สมองผมประมวลผลไม่ทันแล้วว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง…
MANGA DISCUSSION