ช่วงกลางวัน ฉันจัดการงานไปพอสมควรแล้วเลยตัดสินใจออกไปดูความเป็นอยู่ของชาวเมืองสักหน่อย
ก็ต้องคอยจับตาดูไว้ก่อน เผื่อเจ้าพวกชาวบ้านมันคิดก่อกบฏอะไรขึ้นมาน่ะนะ
“ไปกันได้แล้ว แอชลีย์”
“ขอรับบบบบ คุณหนู~~!”
“กระตือรือร้นดีจังเลยนะ~”
แน่นอนว่าวันนี้คนคุ้มกันคือไอ้แว่นโรคจิตลามก
ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ก็ไวซ์คุงกับเซ็ตจังยังติดงานก่อสร้างอยู่เลยนี่
“อยู่กับแอชลีย์แค่สองคนแบบนี้ ทำให้นึกถึงสมัยก่อนเลยเนอะ~”
“ใช่เลยครับ ถึงเมืองจะเปลี่ยนไปเยอะก็เถอะ”
คุยกันเพลินๆ ขณะเดินเข้าสู่ย่านคนพลุกพล่าน ทันทีที่ฉันปรากฏตัว พวกชาวเมืองก็พากันโค้งหัวทักทายว่า “ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะขอรับ ท่านเรย์เต้” แล้วก็เปิดทางให้ฉันเป็นแถบ
อุฟุฟุฟุ~ สมแล้วที่เป็นฉัน! ทุกคนดูจะกลัวน่าดูเลยล่ะ!
“ต่างจากเมื่อหกปีก่อนลิบเลยนะครับ—ตอนนั้นเรียกว่ากึ่งสลัมยังได้เลย”
“เสียมารยาทชะมัด…แต่ก็เถียงไม่ได้แฮะ เพราะคนพูดก็เคยอยู่ในสลัมมาก่อน—งั้นคงจริงสินะ ที่นี่เคยแย่มากๆ เลย”
หกปีก่อน ตอนที่ฉันเพิ่งขึ้นเป็นผู้นำเขตนี้ ความสงบเรียบร้อยเรียกว่าต่ำติดดิน
แค่เดินออกนอกสายตาคนไปนิดเดียว ก็อาจโดนพวกโจรดักปล้นเพื่อหาเงิน
แล้วตอนนั้นฉันก็เก็บแอชลีย์มาโดยบังเอิญ …แต่เจ้าหมอนั่นกลับมีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ
“สุดยอดเลยนะนาย…เริ่มจากซัดพวกอันธพาลข้างถนน, ได้เบาะแสก็ซัดหัวหน้ามันต่อ, แล้วก็ล้มบอสใหญ่, แล้วก็ไปตามล่าคนบงการเบื้องหลังต่ออีก…สุดท้ายก็ยึดโลกใต้ดินของฮังกาเรียได้หมดเลย!”
“แหะๆ ตอนนั้นผมยังเลือดร้อนอยู่น่ะครับ~”
“ตอนนั้นฉันตกใจมากเลยนะ…”
แถมยังซ่อนพลังพิเศษสุดแกร่งเอาไว้อีก พอรู้ว่าเคยเป็นถึงอดีตผู้บริหารระดับสูงของกองทหารรับจ้าง “หมานรก” ก็พอเข้าใจได้ล่ะนะ ว่าทำไมถึงโหดขนาดนั้น
“ฟุฟุ… ฉันนี่โชคดีจังนะ ที่เก็บของดีได้แบบนี้”
“ขอรับ ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการเก็บมาเลี้ยง… หวังว่าเพื่อนๆ ที่อยู่สลัมจะได้เจอที่ทางที่มีความสุขเหมือนกันนะขอรับ”
แอชลีย์ทำตาเหม่อลอยออกไปไกลๆ… พูดถึงก็พึ่งรู้แฮะ ว่าฉันแทบไม่เคยได้ยินเรื่องอดีตของหมอนี่เลย
“นี่ แอชลีย์ ตอนอยู่ในสลัม นายมีเพื่อนหรือพรรคพวกมั้ย?”
“แน่นอนขอรับ ผมแข็งแกร่งมากเลยมีลูกน้องอยู่ไม่น้อย พวกเราชอบยกพวกตีกันเป็นประจำเลย”
ตีกันเรอะ… วัยรุ่นเถื่อนใช้ได้เลยนะ
“แล้วก็มีพวกเด็กที่ผมคอยดูแลในฐานะพี่ใหญ่อย่างเช่นเจ้าเด็กชื่อแวมพีด… เจ้าหมอนั่นมีกิฟต์แท้ๆแต่ขี้ขลาดสุดๆไปเลย…”
ขณะที่อาชเลย์กำลังจะเริ่มรำลึกความหลัง ก็มีเสียงตะโกนแว่วมาว่า “บอส~~!”
“ช่วยแวะดูหน่อยเถอะครับ บอส!”
“วันนี้แอปเปิ้ลหวานฉ่ำสุดๆ เลยนะครับ~!?”
“มากับคุณหนูเรย์เต้ด้วยนะขอรับ~!”
กลุ่มพ่อค้าโหงวเฮ้งไม่น่าไว้ใจก็พากันแหกปากเรียก แหม… นึกออกละว่าใคร
ก็พวกแก๊งใต้ดินที่เคยโดนแอชลีย์อัดเละไงล่ะ
“ไอ้พวกนั้นเรอะ… เฮ้! ห้ามเรียกข้าว่าบอส! ตอนนี้ข้าไม่ใช่พวกเกเรแล้ว แต่เป็นพ่อบ้านผู้เรียบร้อยต่างหาก!”
“ขอโทษครับบอส~!”
“อยากโดนข้าตบกระเด็นนักใช่มั้ย ไอ้พวกบ้า!?”
พ่อบ้านผู้สุภาพเรียบร้อย ที่กำลังขู่ใช้กำลังอย่างโจ่งแจ้ง… ขำจนจะเป็นลมแล้วเนี่ย
“ให้ตายสิ พวกนั้นน่ะ…”
“หลังจากนั้น พวกเขาก็โดนแอชลีย์ขู่ให้ ‘ตั้งใจทำงาน’ แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นพ่อค้าผลไม้แบบดีงามไปแล้วล่ะ~”
เห็นทำงานกันอย่างสนุกสนานแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ… ตั้งใจหาเงินมาจ่ายภาษีให้เรย์เต้ซามะด้วยนะ!
“ฟุฟุฟุ…ในที่สุดก็พิสูจน์แล้วว่า การควบคุมผู้คนต้องใช้ความกลัว! ต่อไปก็ฝากตัวเป็นพ่อบ้านสายดาร์กต่อไปด้วยนะ แอชลีย์?”
“นับเป็นคำชื่นชมอันน่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง… แต่กระผมขอแก้หนึ่งอย่างครับ”
หือ อะไรเหรอ?
“สิ่งที่กระผมทำไปนั้นเล็กน้อยนัก… ความสงบสุขที่เกิดขึ้นในดินแดนฮังกาเรีย เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของคุณหนูแต่เพียงผู้เดียวครับ”
แหม แหม!?
“นี่ฉันกลายเป็นราชินีแห่งความหวาดกลัวไปแล้วเหรอเนี่ย!? กรี๊ดด~ ร้ายกาจสุด ๆ เลย~!”
“ฟุฟุ… ก็ใช่น่ะสิครับ”
โอ๊ะโฮะโฮะโฮะ! คำพูดของแอชลีย์ทำให้ฉันอารมณ์ดีสุดๆไปเลยล่ะ!
เฮ้ พ่อค้าผลไม้ตรงนั้นน่ะ! รีบเอาแอปเปิ้ลอร่อยๆ มาถวายราชินีซะดีๆ~!
“สำหรับแอชลีย์ ฉันจะซื้อผลไม้อีกแบบให้ แล้วเราจะได้แบ่งกันครึ่งๆ… เป็นการแชร์แบบพวกคนชั่วยังไงล่ะ!”
“แชร์แบบคนชั่วงั้นเหรอครับ”
ใช่เลย! เราจะไม่ซื้อสองอย่าง แต่ซื้อคนละอย่างแล้วแบ่งกัน! ทั้งที่ฉันเป็นเจ้าของดินแดนแท้ๆ ดันงกซะได้! สุดยอดแห่งความร้ายกาจเลย~!
“แอชลีย์~ นายอยากกินอันไหน?”
“อืม เลือกยากจัง…เพราะตอนนี้รู้สึกอิ่มท้องด้วยความสุขเสียแล้วล่ะครับ”
เขาพูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
“กระผมคือพ่อบ้านที่มีความสุขที่สุดในโลกเลยขอรับ”
————————————————————————
—ขณะเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง
“อ๊ากกกกก! ขอสาปแก!… เรย์เต้ ฮังกาเรียยยยยย!!”
เสียงตะโกนเดือดดาลของชายคนหนึ่งก้องไปทั่วคฤหาสน์
ในดินแดนข้างเคียง—แคว้นออร์ไบรท์—ลอร์ดบูลริคกำลังคลั่งสุดขีด
เขากระดกไวน์ในถ้วยทองราวกับน้ำเปล่า ก่อนจะปาแก้วเปล่าใส่พ่อบ้านชราพร้อมตะโกน “เอามาอีก!”
“ขะ…คุณท่านครับ การดื่มแบบนั้นไม่ดีต่อร่างกายนะครับ…”
“หุบปากไปเลย เซบาสเตียน! แกกล้าขัดใจข้าเรอะ!? หรือว่าแกก็หัวเราะเยาะข้าเหมือนคนอื่นด้วยใช่ไหม๊!?”
“มะ ไม่กล้าขอรับ! ขะ ข้าน้อยจะไปจัดเตรียมให้ทันที!”
พ่อบ้านชรารีบวิ่งหนีไปแทบจะในทันที บุลริกสบถใส่แผ่นหลังอันผอมแห้งของเขา แล้วทรุดตัวลงบนโซฟาหรูอย่างหมดแรง
“เรย์เต้… เพราะเรื่องบ้าๆ นั่น ข้า… แคว้นของข้า…!”
――เหตุการณ์ทรยศต่อแคว้นฮังกาเรียเมื่อราวหนึ่งสัปดาห์ก่อน
ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วทั้งดินแดนอย่างรวดเร็ว
เขาพยายามขโมยเทคโนโลยี… โดยส่งลูกตัวเองไปเป็นเครื่องมือ
ฝั่งตรงข้ามคือเรย์เต้—เด็กสาวอายุสิบหก แถมยังเป็นเครือญาติด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้นเธอยังเป็นขุนนางชายแดน ที่มีหน้าที่รับมือกับเหล่ามอนสเตอร์จากแนวชายแดน—แล้วเขากลับไปขัดขาเธอเสียเอง
แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ถือว่าน่าอับอายสุด ๆ แล้ว แต่นี่คือผิดทุกข้อพร้อมกัน—โคตรเลวร้าย
ผลก็คือ บูลริค ออร์ไบรท์ เสียการสนับสนุนไปหมดสิ้น
แล้วพอเรย์เต้ประกาศนโยบาย “เอื้อเฟื้อผู้อพยพ” ขึ้นมา ประชาชนก็พากันแห่ย้ายออกจากแคว้นออร์ไบรท์กันเป็นขบวน…
“เวรเอ๊ย! เวรจริงๆ!”
แต่ว่า…
“ทุกอย่างมันเป็นความผิดของยัยนั่น! ถ้าไม่มีหล่อนล่ะก็ เรื่องคงไม่บานปลายแบบนี้!”
บลูริกไม่ได้สำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย
“จะสั่งสอนให้หล่อนรู้ซะบ้าง… ต้องให้หล่อนรู้สำนึก… ต้องให้หล่อนเข้าใจบ้างซะที!”
เขาถึงขั้นมองว่าตัวเองคือ เหยื่อ
ก็เหมือนตอนที่พยายามใช้ลูกชาย—เคเนลลิค—ก่อเรื่องเลวร้ายนั่นแหละ
เมื่อหกปีก่อน เขาไม่อยากจัดการกับแคว้นฮันกาเรียที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เลยยัดเยียดมันให้เรย์เต้ที่ตอนนั้นอายุแค่สิบขวบ แต่พอแคว้นนั่นเจริญเติบโตขึ้นอย่างผิดคาด เจ้าตัวกลับเชื่อว่า เรย์เต้ฉกโอกาสไปจากตน แบบหน้าตาเฉย เขาหาข้ออ้างให้ตัวเองได้เสมอ
ตอนนี้เขาถึงขั้นมองว่าตัวเองเป็น “ชายผู้น่าสงสารที่ถูกช่วงชิงทั้งดินแดนและครอบครัวไปหมดแล้ว”
“ต้องล้างแค้นให้ได้… แต่จะทำยังไงดีล่ะ…?”
เขาอยากจะกำจัดเรย์เต้…ไม่สิ ถ้าให้ดีต้องยึดทั้งฮังกาเรียมาเป็นของตัวเองให้ได้ บลูริกจึงคิด…คิด…และคิดต่อไป
“ข้านี่แหละคือฝ่ายถูก… หากไปฟ้องเจ้าหน้าที่ระดับสูงว่าข้าคือทายาทผู้ชอบธรรมของดินแดนข้างเคียง ก็ต้องได้รับการสนับสนุนแน่…”
“ถ้ายังลังเลอยู่ ข้าก็จะให้สินบน บอกว่าพอยึดฮังกาเรียได้เมื่อไหร่ จะแบ่งสมบัติให้”
“แต่ที่นี่มันแค่บ้านนอก… ข้าก็ไม่มีเส้นสายกับพวกขุนนางระดับบนซะด้วยสิ…”
บลูริกยังคงคิดวนไป
ระหว่างนั้น เขายังอารมณ์เสียใส่พ่อบ้านแก่ที่มาเสิร์ฟไวน์ช้า แล้วฟาดไปทีหนึ่งก่อนจะกลับมาวางแผนต่ออย่างเอาเป็นเอาตาย
—แล้วในที่สุด…
“ใช่แล้ว… นั่นล่ะ…”
เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อราวสัปดาห์ก่อนขึ้นมาได้
ชายหนุ่มรูปงามผมดำตาทองคนนั้น ผู้เคียงข้างเรย์เต้และทุบคฤหาสน์จนเละ
เขาหน้าตาเหมือนเจ้าชายไวซ์ สเตรน—ผู้ล้มตายกลางการปฏิวัตินั่นไม่มีผิด!
แถมในกลุ่มประชาชนฮังกาเรียที่บุกเข้ามานั่น ยังมีคนที่หน้าตาเหมือนเจ้าชายชาคี แรักไทม์ ผู้สิ้นชีพจากการถูกรุกรานอีกด้วยไม่ใช่หรือ?
“อย่าบอกนะว่ายังมีชีวิต… ไม่สิ ไม่มีทางเป็นไปได้ รัฐบาลประกาศชัดว่าเจ้าทั้งคู่ตายไปแล้ว… แต่กระนั้น…คุคุคุ…”
บลูริกนึกแผนอันยอดเยี่ยมขึ้นได้—แผนที่พวกชาวบ้านธรรมดาทำไม่ได้แน่นอน
“ข้าจะปล่อยข่าวลือในแวดวงขุนนางว่า ‘ไวซ์กับชาคีลยังไม่ตาย และเรย์เต้ ฮังกาเรียเป็นคนซ่อนพวกเขาไว้’!”
เขายกย่องแผนตัวเองว่าสมบูรณ์แบบที่สุด
ถ้าข่าวลือนั่นจำกัดอยู่แค่ในหมู่ชาวบ้านหรือนักรบล่างๆ ล่ะก็ รัฐไม่มีวันขยับเขยื้อนแน่นอน เพราะใครจะไปเสียเวลาฟังคำเพ้อเจ้อลอยๆ กันล่ะ?
แต่ถ้าข่าวลือนั่นหลุดไปในหมู่ขุนนางล่ะก็—เรื่องจะเปลี่ยนทันที แม้แต่ราชวังก็ต้องรีบหาความจริงให้ได้
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็…
“พวกเขาจะมา! มายังแคว้นฮังกาเรีย! แล้วก็จะต้องผ่านแคว้นของข้า—เหล่าขุนนางชั้นสูงของรัฐบาลจะมาแน่นอน!!”
บลูริกหัวเราะอย่างสะใจ จะโกหกหรือเปล่าไม่สำคัญ แค่แกล้งทำเป็น “ได้ยินมาจากข่าวลือเหมือนกัน” ก็จบ
จุดสำคัญคือ—แค่ได้โยงใยสัมพันธ์กับพวกเบื้องบนก็พอแล้ว
“ถ้าโกหกกระจอกๆ แบบนี้จะใช้ล้างแค้นได้ล่ะก็—ก็ยินดีสุดๆ เลยล่ะ! วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
บลูริกไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความลังเลในการลากญาติของตัวเองให้ตกต่ำ—ความผิดบาปในการทรยศสายเลือดไม่มีอยู่ในหัว?
ทว่า—เขาไม่รู้เลยว่า…
ไอ้เรื่องโกหกไร้สาระที่เขาปั้นขึ้นมา… มันดันเป็นความจริงเข้าเต็มๆ
และแล้ว…
“ถ้าจำไม่ผิด ผู้ที่ถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพคนใหม่ชื่อแซ็กซ์ โรอาใช่ไหมล่ะ ได้ยินว่าเป็นแค่นักรบรับจ้างที่เห็นแก่เงิน ถ้ามีใครที่สนิทกับเขาเข้ามาใกล้ล่ะก็ ใช้สินบนก็ผูกสายสัมพันธ์ได้ไม่ยากหรอก…”
แต่บุลริกไม่รู้…
ว่าแท้จริงแล้ว แซ็กซ์ โรอา “ราชาแห่งทหารรับจ้าง” คนนั้น… คือผู้กุมอำนาจเบื้องหลังประเทศนี้อย่างแท้จริง
และเขา—คือคนที่ไม่มีวันยอมให้อภัยการทรยศเด็ดขาด
MANGA DISCUSSION