“ฉันตื่นแล้วค่า!”
—ฉันเรย์เต้ ฮังกาเรีย และเช้านี้ก็ตื่นแต่ไก่โห่เช่นเคย
ตื่นก่อนไวซ์คุงที่ออกไปฟันต้นไม้ด้วยกระบวนท่าดาบระเบิดซะอีก แล้วก็เริ่มแต่งตัวเองทันที
นั่งหน้ากระจก หวีผมเงินเงาวาวสุดรักสุดหวงของตัวเองอย่างทะนุถนอม
ไม่ใช้สาวใช้ค่ะ
เพราะถ้าปล่อยให้เมดทำให้ล่ะก็ พวกหล่อนจะตบตีแย่งสิทธิ์ “เตรียมตัวตอนเช้าให้เรย์เต้ซามะ” จนบ้านแตก ส่วนถ้าให้แอชลีย์ช่วยก็มีแต่จะได้เสียงหอบหื่นกลับมาแทน
“ทำไมผู้ชายรอบตัวฉันถึงมีแต่พวกประหลาดกันหมดเลยฟะ…?”
บ่นไปแต่งตัวไป แล้วก็สวมชุดเจ้าประจำที่ดูร้ายกาจสุด ๆ ให้เสร็จสรรพ
จากนั้นก็หันหน้าไปทางหน้าต่างแล้วตะโกนประกาศอย่างภูมิใจ
“เหล่าราษฎรทั้งหลาย~! วันนี้เรย์เต้ซามะผู้ชั่วร้ายจะใช้แรงงานพวกเจ้าให้คุ้มอีกเช่นเคย! โอ้ะโฮ่โฮ่โฮ่โฮ่โฮ่~~~~!!”
[[[โอ้วววววววววว!!!!! เรย์เต้ซาม้าาาาาาーーーーー!!!]]]
เสียงของฉันถูกตะโกนตอบรับจากประชากรกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคน ที่ขยายตัวขึ้นเพราะรับชาวออร์ไบรท์เข้ามาอยู่ด้วย
เอ่อ… เสียงดังไปแล้วนะพวกนาย
———————————————————–
“เธอทำแบบนั้นทุกเช้าเลยเหรอ?”
“อ๊ะ เคเนะ~”
“อย่ามาเรียกชื่อฉันให้มันน่ารักสิ…!”
ณ โต๊ะอาหารเช้ายามเช้า
คุณเพื่อนวัยเด็กที่มาพักกับฉันพักหลังนี้เริ่มถามคำถามประหลาดอีกแล้ว
“ก็ไอ้ตอนที่เธอตะโกน ‘วันนี้จะใช้แรงพวกเจ้าให้คุ้ม!’ ตอนเช้าน่ะ ฉันว่าแค่นั้นก็น่าตกใจแล้วนะ แต่ที่น่าตกใจกว่าคือพวกชาวบ้านดันตะโกนตอบกลับด้วยความฮึกเหิมซะงั้น”
“อ๋อ นั่นกิจวัตรยามเช้าฉันเอง~”
“มันเป็นกิจวัตรแบบไหนนั่น…?”
เฮ้อ~ เด็กน้อยนี่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ
“ก็ดูสิ ฉันฉลาดจะตายใช่มั้ยล่ะ?”
“ถ้าเฉพาะบางส่วนก็ว่าไปอย่างนะ”
“ฉันฉลาดโดยรวมเลยต่างหาก แล้วพวกชาวบ้านก็ไม่ได้ฉลาดอะไรใช่มั้ยล่ะ? ถ้าฉันไม่คอยเตือน พวกนั้นอาจลืมไปก็ได้ว่าจริง ๆ แล้วเป็น ‘สัตว์เลี้ยงของเรย์เต้ซามะ’ น่ะ”
“เลยต้องตอกย้ำทุกเช้าแบบนั้นสินะ?”
ใช่เลยจ้า~!
“ฉันฉลาดใช่ม้า~?”
“อืมมม?”
“อย่าอืมใส่กันแบบนั้นนะ! จากที่ว่า ‘บางเรื่อง’ ตอนนี้มันกลายเป็นไม่ยอมรับอะไรเลยแล้วใช่มั้ย!?”
เพื่อนสมัยเด็กนี่มันเสียมารยาทจริง ๆ เลยนะ
“ฟังนะ เคเนะ”
“อีกแล้วเหรอชื่อนั่น… เอาเถอะ ช่างมัน”
“งั้นขอพูดต่อล่ะนะ—เธอเคยประกาศกับฉันไว้ไม่ใช่เหรอว่า สักวันจะเป็นเจ้าเมืองที่เก่งกว่าฉันให้ได้ น่ะ?”
“ใช่ มันอาจจะดูหยิ่ง แต่ฉันพูดจากใจจริงเลยนะ”
ดีมาก ถ้าอย่างนั้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นพวกปากเก่งอย่างเดียวนะ
“อยู่ที่นี่น่ะ เธอถือเป็นลูกศิษย์ของฉันเลยล่ะ! จ้องดูฉันไว้ให้ดี แล้วเรียนรู้ซะ!”
“ตะ-ต้องดูเธอตลอดเวลาเลยเหรอ…!?”
ทำหน้าแดงทำไมกันน่ะ?
หรือว่าไม่พอใจที่โดนเรียกลูกศิษย์งั้นเหรอ!?
“ฮึ ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องก็ได้ย่ะ”
“ม่ะ-ไม่ๆๆๆ! ฉันจะตั้งใจดูและเรียนรู้แน่นอน สาบานเลย!”
งั้นเหรอ? งั้นก็ลืมตาให้กว้างแล้วจ้องฉันไว้ตลอดละกัน!
“ตั้งใจฝึกให้ดี แล้วขึ้นเป็นเจ้าเมืองชั่วร้ายอันดับสองให้ได้ล่ะ!”
“เอ่อ…ไม่แน่ใจว่าดูเธอแล้วจะกลายเป็นคนชั่วได้น่ะสิ…”
“หา!? ทำไมล่ะ!?”
แล้วในขณะที่ฉันกำลังเถียงกับเจ้าเพื่อนสมัยเด็กจอมงี่เง่านี่อยู่ พ่อบ้านแอชลีย์ก็เดินถือจานอาหารเข้ามาพร้อมพูดว่า “อาหารเช้าพร้อมแล้วครับ”
…เฮ้ย แล้วทำไมทำหน้ายิ้มลามกแบบนั้นกันล่ะ?
“อา~ ช่างเป็นช่วงวัยแห่งความรักจริงนะครับ ‘คุณเคเนะ’ ได้รับชื่อเล่นจากเธอด้วย น่ายินดีจริงๆ เลยนะครับ~”
“ชะ เงียบไปเลยนะ พ่อบ้าน!”
นี่พวกนายทั้งคู่ พอได้แล้ว ไม่รู้ทะเลาะอะไรกันแต่พอเลย!
น้ำลายกระเด็นใส่อาหารหมดแล้วนะ!
“ขออภัยอย่างสูงขอรับ ว่าแต่คุณหนู จะกรุณาตั้งชื่อเล่นให้กระผมบ้างได้ไหมขอรับ?”
“ไอ้แว่นโรคจิต”
“โอ๊ย…!”
ทั้งที่ฉันด่าไปตรง ๆ แล้วแท้ ๆ แต่แอชลีย์ดันดูดีใจอีก แบบนี้ไงถึงได้เป็น ‘ไอ้แว่นโรคจิต’
“อ๊ะ ขออภัยอีกครั้งขอรับ สำหรับมื้อนี้คือเนื้อย่างออร์คครับ ขอเชิญคุณเคเนริคด้วยนะขอรับ”
“หืม อาหารเช้าเป็นเนื้อเลยเหรอ… เดี๋ยวนะ เมื่อกี้บอกว่าเนื้อ ออร์ค ไม่ใช่ พอร์ค ใช่มั้ย!?”
“ครับผม เป็นเนื้อจากปีศาจหมูป่า—ออร์คนั่นเองขอรับ”
“อึ๊ก..!?”
โอ๊ย ทำหน้ารังเกียจอะไรขนาดนั้นล่ะ? มันอร่อยจะตาย~?
“ก็รู้แหละว่าเริ่มกินเนื้อปีศาจกันแล้ว…แต่ก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ดีน่ะ…”
“ไม่ได้หรอก เคเนะ ถ้าอยากเป็นเจ้าเมืองสุดเจ๋งก็ต้องกินให้ครบทุกอย่างสิ จะได้โตเร็วๆ ไงล่ะ?”
“เธอพูดแบบนั้นแล้วมันไม่น่าเชื่อเอาซะเลยนะ…”
จะให้ดีดหน้าซะทีมั้ย!?
“แต่ก็พูดถูกแหละนะ งั้นก็จะกินอย่างเต็มใจแล้วกัน”
“หึ แบบนั้นแหละถึงจะดี”
ฉันกับเคเนะก็กินกันไปด้วยกัน อืมม~ เนื้อนี่มันนุ่มละลายในปากเหมือนเดิมเลย อร่อยสุดๆ!
ไอ้คุณเพื่อนสมัยเด็กก็ดูจะลังเลอยู่แป๊บหนึ่ง แต่พอได้ลองคำแรกก็ดีใจใหญ่เลย
“ทั้งๆ ที่เป็นเนื้อแท้ๆ แต่กลับไม่เลี่ยนเลยแฮะ เหมือนมีแต่น้ำมันดีๆ รสชาติเนื้อกับซอสก็ตัดกันอย่างลงตัว”
“นั่นน่ะสิ~ ด๊อกเตอร์เคยบอกไว้นะ ว่าเหล่าสัตว์ประหลาดเกิดมาเพื่อฆ่าเป็นหลัก ดังนั้นร่างกายพวกมันเลยถูกสร้างมาให้มีประสิทธิภาพสุดๆ พูดง่ายๆ คือเนื้อมันเรียบง่ายและคุณภาพสม่ำเสมอ เลยไม่มีรสขมรสคาวแปลกๆ ไงล่ะ”
“เข้าใจล่ะ… แบบนี้เชฟก็ปรุงง่ายสินะ วัฒนธรรมอาหารจากสัตว์ประหลาดนี่ลึกซึ้งกว่าที่คิดแฮะ”
“ใช่มั้ยล่ะ? ถ้านายได้เป็นเจ้าเมืองเมื่อไหร่ จะเอาแนวคิดนี้ไปใช้เลยก็ได้นะ”
“ได้เหรอ?”
แน่นอนอยู่แล้วสิ ไม่งั้นฉันจะลำบากนะ
“วัฒนธรรมจะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อมีการแข่งขัน ถ้าเขตของนายมีเชฟอาหารปีศาจเหมือนกัน คนของฉันก็จะฮึดขึ้นไปอีกไงล่ะ”
“อืม… ฟังดูมีเหตุผลแฮะ ต้องศึกษาเรื่องพวกนี้เพิ่มซะแล้ว”
“งั้นก็ฝากด้วยล่ะ~ แอบลอกวัฒนธรรมไม่ว่า แต่ถ้าขโมยเทคโนโลยีล่ะก็… ได้ตีกันแน่ๆ เลยนะ~?”
“บะ… บอกเลยว่าเรื่องนั้นพอเถอะ ชั้นไม่อยากเห็นเธอโกรธอีกแล้ว…!”
อุฟุฟุฟุ เข้าใจก็ดีแล้วล่ะจ้ะ
“—นุฟุฟุฟุ…!”
“อะไรอีกล่ะ แอชลีย์!?”
หัวเราะยิ้มแหยๆ แบบนั้นคืออะไร หา!?
“แหมๆ~ แค่ได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ นั่งกินข้าวกันอย่างน่ารักก็ชื่นใจแล้วล่ะครับ~”
“อย่าเรียกว่าเด็กนะเฟ้ย!”
ให้ตายสิ! พ่อพ่อบ้านปากหมาคนเดิมเลยนะ!
“เรียกแบบนั้นอีกที จะไล่ออกจริงด้วยนะ!!”
“อย่าเลยครับ ขอร้อง~! ว่าแต่ คุณหนูครับ—”
“อะไรอีกล่ะ!?”
อย่ามาเปลี่ยนเรื่องหน้านิ่งนะยะ!?
“จะมาพูดเรื่องไร้สาระอะไรอีกล่ะ?”
“ไม่ครับ คราวนี้เป็นเรื่องจริงจัง… เกี่ยวกับท่านเคเนลริคครับ”
หือ? เรื่องเคเนะเหรอ? ทำไมล่ะ?
“เพราะท่านเคเนริคก็เหมือนเป็นคนในแล้ว ทำไมไม่ลองเปิดอกคุยกับเขาดูล่ะครับ เรื่อง…ปัญหาใหญ่ที่แคว้นฮันกาเรียต้องเผชิญอยู่ตอนนี้”
อืมม…
เรื่องใหญ่ที่ว่า… เขาหมายถึง “เรื่องนั้น” แน่ๆ ใช่มั้ยล่ะ?
“หมายถึงเรื่องที่เราอาจต้องปะทะกับพวก ‘หมาป่านรกสมองกลวง’ อีกสักวันน่ะเหรอ… ไหนจะเจ้าชายมือระเบิดแห่งราชอาณาจักร ไหนจะเจ้าชายผิวแทนแห่งสหพันธรัฐอีก…”
“ถูกต้องครับ คุณหนู”
แอชลีย์พยักหน้าตอบอย่างสง่างามตามแบบฉบับพ่อบ้านตัวอย่าง
ว่าแต่ หมอนี่ก็อดีตแกนนำหมาป่านรกเหมือนกันนะ… ชีวิตฉันนี่มีแต่ระเบิดอยู่รอบตัวจริงๆ
“เฮ้อ~ ตอนนี้กำลังแฮปปี้กับการกอบโกยเงินแท้ๆ พอเจอความจริงก็หมดแรงเลยสิ… สันติน่ะ ดีที่สุดแล้วจริงๆ นะ”
“สมกับเป็นคุณหนูจริง ๆ ครับ ถึงกับเป็นห่วงว่าชาวเมืองอาจจะตกอยู่ในอันตราย”
ไม่ใช่ซะหน่อย! ฉันก็แค่ห่วงตัวเองเฉย ๆ ต่างหากล่ะ!
“หึ… เคเนะเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่มีพลังพิเศษนี่นา ถ้ามาช่วยได้ก็คงอุ่นใจล่ะนะ… แต่จะให้ฉันลากเขาเข้าไปยุ่งดื้อๆ มันก็…”
“เฮ้ พวกเธอคุยอะไรกันอยู่น่ะ?”
เพื่อนสมัยเด็กของฉันเอียงคออย่างงงๆ ดูยังไม่เข้าใจอะไรสักนิด
“ปะ…เปล่าเลย! ไม่มีอะไรหรอก!”
“เรย์เต้ อย่ามาเนียนกลบเกลื่อนเลย ฉันดูออกนะ ว่าเธอกำลังแบกอะไรยุ่งๆ ไว้อยู่”
“อึก…”
เคเนะจ้องฉันด้วยแววตาจริงจังผิดปกติ ทั้งที่เมื่อก่อนเอาแต่ทำหน้าโหดใส่กันแท้ๆ…
“…ตอนนี้ฉันกับแม่อยู่ในความดูแลของเธอ เรียกว่ากินข้าวฟรีแบบน่าสมเพชก็ยังได้ ในฐานะผู้ชาย ฉันจะอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอก”
เพราะแบบนั้นเขาเลยขอร้องให้ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ส่วนแอชลีย์ก็ตะโกนเชียร์ว่า “ช่างน่ายกย่องจริง ๆ!”
“ข้าขอปฏิญาณในนาม เคเนริค ออร์ไบรท์! ในฐานะทายาทของตำแหน่งผู้นำตระกูล และยิ่งไปกว่านั้นในฐานะลูกผู้ชาย ข้าจะรับฟังเรื่องราวไม่ว่าจะยุ่งยากแค่ไหน โดยไม่มีวันเสียใจภายหลัง!”
“โอ้วววว ประกาศกร้าวได้ดีมากขอรับ! ผมเปลี่ยนความคิดที่มีต่อคุณเคเนริคแล้วจริงๆ! เอาล่ะครับคุณหนู ในเมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้…”
อืออออออ… งั้นก็เล่าให้ฟังก็ได้มั้ง…
เอาเลยก็แล้วกัน
“เคเนะ”
“ว่าไงล่ะ!?”
“ที่ชื่อไวซ์น่ะ คนที่คอยคุ้มกันฉันอยู่ตลอดน่ะ”
“คนนั้นน่ะเหรอ ที่ทั้งเก่งและหน้าคล้ายเจ้าชายที่ว่าตายไปแล้วน่ะ?”
ใช่ คนนั้นแหละ
“หมอนั่นน่ะ เป็นองค์ชายรัชทายาทจริง ๆ เลยนะ”
“…หา?”
“รัฐบาลชุดปัจจุบันถึงขั้นปลอมข่าวว่าเขาตายแล้ว เพื่อให้ประชาชนสงบปากสงบคำกันไป ถ้าเกิดเขาถูกพบเข้าเมื่อไหร่—บริเวณนี้ทั้งแถบได้หายวับจากแผนที่แน่นอน”
“………”
“แล้วก็ชาคีลคุง คนที่คุมโรงงานน้ำมันน่ะนะ เขา…”
“เขาเป็นเจ้าชายรัชทายาทของรัฐปกครองพิเศษที่เพิ่งล่มสลายไปเมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละ ถ้าเกิดคนรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ พวกชาวรัฐที่หนีตายไปกระจัดกระจายจะลุกฮือขึ้นพร้อมกัน—แบบนั้นรัฐบาลกลางก็จะอยากล้างบางเราด้วยอีกคน!”
“เฮ้ย เฮ้ย!?”
“แล้วก็—ยังมีทหารจากอาณาจักรสเตรนกับรัฐแร็กไทม์ที่เราซ่อนตัวไว้เป็นโหลๆ อีกด้วยนะ ส่วนแอชลีย์ที่นั่งอยู่นั่นก็เป็นอดีตหัวหน้าหน่วยของ ‘หมาป่านรก’—กลุ่มทหารรับจ้างที่คุมเบื้องหลังรัฐบาลปัจจุบันนั่นแหละ หลบหนีออกมาจากพวกมันเลยด้วย แล้วอีกอย่าง…ลืมบอกไปว่าเจ้าชายอันดับสองชวาลที่ขึ้นเป็นกษัตริย์ตอนนี้น่ะ—ไวซ์บอกว่าเขาท่าทางแปลกๆ มาก อาจโดน ‘ราชาทหารรับจ้าง แซคส์ โรอา’ ล้างสมองอยู่ก็ได้ แล้วก็นั่นแหละ สรุปสั้นๆ ก็คือประเทศนี้ใกล้พังเต็มทีแล้วล่ะจ้ะ”
“………………”
อ้าวแย่ละ เคเนจังเงียบไปเลยแฮะ เฮ้~ ยังอยู่มั้ย?
“หรือว่า…เริ่มเสียใจที่อยากรู้ขึ้นมาแล้ว?”
“ม-ไม่ได้เสียใจซักหน่อย!!”
เขาตะโกนตอบกลับมา ตาแดงก่ำจะร้องไห้ซะให้ได้… เอ่อ ขอโทษนะ~?
MANGA DISCUSSION