ณ ห้องทำงานในคฤหาสน์ของเจ้าเมือง
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ววววว! ไวซ์คุง ฉันจะลาออกจาตำแหน่งเจ้าเมืองแล้วกลับไปเป็นนางร้ายธรรมดา!”
“คุณหนู เป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
“อือ… ก็จริง ชั้นคงทิ้งตำแหน่งเจ้าเมืองง่ายๆ ไม่ได้สินะ…”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ—คุณไม่ใช่นางร้ายต่างหาก”
“ทำไมล่ะยะ!?”
…สรุปก็คือ เรย์เต้ซามะตอนนี้กำลังหมดไฟสุดๆ เลยล่ะ…
แต่การบริหารเมืองกลับไปได้สวยเลยนะ แถมรวยโคตรๆ ด้วย
เพราะดร.ไรน์ฮาร์ทที่เชี่ยวชาญเวทศาสตร์ กับเจ้าชายชาคีร์ที่รู้เรื่องการกลั่นน้ำมัน ได้จับมือกันผลิต “เครื่องใช้ไฟฟ้าจากมาชอนสโตน” กันรัวๆ เลยไงล่ะ
“คนจากแคว้นอื่นก็แห่กันย้ายมาไม่หยุดเลยล่ะ คงเพราะชั้นสั่งให้ขายเจ้า ‘เครื่องใช้ไฟฟ้ามาชอน’—หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘ม้าเด้ง’—ให้เฉพาะคนในแคว้นเท่านั้นไงล่ะ กลัวเทคโนโลยีจะโดนลอกน่ะสิ”
“มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอกครับ การที่คุณช่วยหางานให้คนย้ายมาใหม่ จ่ายค่าเช่าให้ แถมยังช่วยเรื่องค่าครองชีพอีก—ถึงจะไม่มีเทคโนโลยีล้ำๆ ก็เถอะแค่ความห่วงใยของเจ้าเมืองอย่างคุณหนู ก็ทำให้คนอยากอยู่แล้วล่ะครับ”
หึ ห่วงใยเหรอ? ไวซ์คุงเข้าใจผิดอีกแล้วล่ะสิ
“ฉันก็แค่อยากได้ทาส! หลอกล่อด้วยสวัสดิการหวานๆ พอหลงกลมาเป็นชาวเมืองเมื่อไหร่ ฉันก็จะรังแกให้สาสมเลย! กับดักสุดชั่วร้ายของฉัน ฮ่าๆๆ!”
“วันนี้อากาศดีจังนะครับ”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิฟะ!”
นี่หยุดมองฟ้าซะที ไวซ์คุง! เป็นคนซื่อบื้อเหมือนเดิมเลยนะ
“เฮ้อออ… พอเทียบกับไวซ์คุงสมองปุยฝ้ายแล้ว ฉันนี่น่าสงสารชะมัดเลยเนอะ อายุแค่สิบหกแท้ๆ แต่ต้องจมอยู่กับกองเอกสารทุกวัน!”
ต้องมานั่งจัดการทะเบียนราษฎร์ที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด กับบัญชีภาษีการค้าจากร้านค้าทุกสารทิศที่ผุดขึ้นเหมือนเห็ดหลังฝน—ไม่ไหวแล้วววววว!
แถมพอมีเวลาว่างนิดเดียวก็โดนลากเข้าป่าไปเก็บ ‘มาโชเซกิ’ อีก…!
ฉันใช้กิฟต์ “เนตรราชินี” มากไปจนตอนนี้เริ่มเห็นจุดอ่อนของสิ่งมีชีวิตแบบไม่ได้เปิดใช้แล้วนะ!?
แล้วพอฉันบอกว่าแบบนี้จะช่วยให้ใช้พลังได้สบายขึ้น ไวซ์คุงก็พูดว่า “งั้นเราก็เข้าป่าด้วยกันได้มากขึ้นนะ” แบบหน้าตาเฉยอ่ะ! นี่มันซาดิสม์ชัดๆ!
“ไวซ์คุง นายเกลียดฉันใช่มั้ย!?”
“หืม? ข้าพูดอะไรที่ทำให้เจ้ารู้สึกแบบนั้นงั้นหรือ? …เข้าใจแล้ว ข้าจะขอชดใช้ด้วยการคว้านท้อง!”
“เฮ้ย เดี๋ยววว!?”
ว้ากกก!! ไวซ์คุงชักดาบออกมาจริงด้วย! อย่านะ!! อย่าตายเฉยๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยสิーーー!
“ลาก่อน คุณหนู…”
“ม่ายยยยーーーยยยย!”
ตอนที่ฉันกำลังเกาะไวซ์คุงไว้แน่นแล้วพยายามห้ามอย่างสุดชีวิตนั่นแหละ—
ทันใดนั้น เสียงตะโกน “ขออนุญาตーーー!” ก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูถูกกระแทกเปิดอย่างแรง— ห้ะ!? อยู่ๆก็อะไรเนี่ย!?
“เดี๋ยว… นี่นาย…?”
เด็กหนุ่มในชุดกิโมโนที่มัดผมดำเรียบร้อยเดินเข้ามา
“ชื่อเซ็ตสึนะสินะ? ถ้าจำไม่ผิด ตอนงานคอสเพลย์เคยแข่งงัดข้อกับไวซ์คุงใช่ไหม?”
“โอ้ สมกับที่ร่ำลือกันว่าท่านหญิงเรย์เต้ทั้งเก่งทั้งฉลาด ท่านยังจำข้าได้ด้วย!”
ฟุฟุ~ แน่นอนอยู่แล้วล่ะ
“แถมยังไม่โกรธที่ข้าเผลอบุกเข้ามาระหว่างที่ท่านกำลังร่วมรักกันอีก ช่างใจกว้างอะไรเช่นนี้!”
“ใครมันจะไปทำเรื่องแบบนั้นล่ะ ไอบ้าาาาาา!!”
ฉันรีบกระโดดออกห่างจากไวซ์คุงทันที!
“หืมมม งั้นข้าเข้าใจผิดรึ?”
“ไอบ้า! อย่าคิดอะไรเพี้ยน ๆ นะ! ไวซ์คุงน่ะเป็นถึงเจ้าชายเลยนะ!? ถ้าไปทำอะไรแบบนั้นกับผู้หญิงจากดินแดนบ้านนอกแบบชั้น มันจะเป็นการทำให้สายเลือดราชวงศ์แปดเปื้อนเลยนะรู้มั้ย!”
“ห่วงเรื่องนั้นเนี่ยนะ? เดี๋ยว… เจ้าชายงั้นเหรอ?”
อ๊ะ แย่ล่ะ!?
“มะ-หมายถึงคนที่ดูเหมือนเจ้าชายน่ะ! ไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์ตัวจริงที่เรากำลังซ่อนตัวจากเมืองหลวงนะจ๊ะ~!?”
“อ้อ อย่างนั้นเองรึ ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้เข้าใจผิดแบบเสียมารยาท”
อะไรล่ะที่ว่าดี!?!?
“พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าไม่ได้ชอบท่านไวซ์มากถึงขั้นจะ ‘ร่วมหลับนอน’ กับเขาสินะ?”
“ม่ายยยยยยยยยย!!”
เฮ้อ… เหนื่อยจะตาม… ไอ้ซามูไรเวรนี่มันเป็นบ้าอะไรนักหนา!?
ดูดีๆ ดวงตาขุ่นๆ เหมือนไม่ได้นอนเป็นปี ปากก็ยิ้มแป้นแต่โคตรหลอน นี่มันตัวอะไรกัน!?
“ไวซ์คุง หมอนี่อาจเป็นศัตรูก็ได้นะ ระวังตัวไว้ล่ะ”
“ไม่หรอก ข้าอยากเชื่อว่าเขาเป็นคนดี เพราะเขาดูมีวิสัยทัศน์สุดยอดมาก”
“อะไรทำให้นายคิดแบบนั้นฟะ!?”
ไวซ์คุงก็ทำหน้าฟูฟ่องแบบเดิมอีกแล้ว… เฮ้อ ช่วยจริงจังบ้างเถอะน่า
“แล้วตกลงแกมาทำไม ไอ้ซามูไรโรคจิต?”
“ซามูไรโรคจิตเรอะ!?”
ฉันไม่คิดจะพูดดีด้วยหรอก เพราะว่า…
“ก็แก… เป็นคนที่เล่นงานพ่อบ้านของฉันใช่มั้ยล่ะ?”
“――……”
ทันทีที่ฉันพูดจบ รอยยิ้มของหมอนั่นก็หายวับไป
“…เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้นเล่า?”
“มันก็ชัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? หมอนั่นน่ะเป็นไอ้โรคจิตคนเดียวที่กล้าแสดงความใคร่กับฉันน่ะสิ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาได้ง่าย ๆ หรอก”
ก็หมอนั่นถึงขั้นวิ่งตามกลิ่นที่ฉันทิ้งไว้ในวันหยุดเลยนะ ถ้ามีใครไม่รู้จักเข้ามา เขาต้องรู้ตัวแล้วรีบไปจัดการแน่นอน
“โอ้ ดูเจ้าจะเชื่อมั่นในเขามากเลยนะ”
“เชื่อแบบติดลบต่างหากล่ะ! เอาเป็นว่า ที่หมอนั่นยังไม่โผล่มานี่ก็แปลว่า—”
เซ็ทสึนะพยักหน้า แล้วก็—
“ใช่แล้ว ท่านเดาถูกเป๊ะเลย ถึงจะเล่นทีเผลอก็เถอะนะ”
พูดจบก็หยิบอะไรบางอย่างออกจากอกเสื้อแล้วโยนลงพื้น
สิ่งที่ร่วงลงพื้นก็คือแว่นตาของพ่อบ้านโรคจิตนั่นเอง
“แอชลีย์…นายเสียความเป็นมนุษย์ไปหนึ่งในสามแล้วล่ะ..น่าสงสารจัง”
“แค่แว่นหายถึงกับเสียความเป็นคนไปตั้งเยอะเชียว? ความเป็นมนุษย์ของหมอนั่นบางขนาดไหนกันเนี่ย? แต่ช่างมันก่อนเถอะ”
แค่พริบตาเดียว พอรู้ตัวอีกที หมอนั่นก็ถือดาบเล่มบางไว้ในมือแล้ว
เป็นอาวุธต้องห้ามจากอาณาจักรอาคิตสึ—ดาบคาตานะที่ขึ้นชื่อเรื่องความคมกริบ
แถมปลายดาบยังจ่ออยู่แค่ไม่กี่เซนจากลำคอฉันอีก..หมอนี่ชักดาบเร็วขนาดไหนกันเนี่ย?
“ท่านไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยหรือ เลเต้ฮิเมะ? เพราะนี่คือจุดจบของท่านแล้ว”
หึ จบแล้วงั้นเหรอ?
“ประโยคนั้น…น่าจะพูดกับตัวเองมากกว่านะ”
“หือ?”
ถามว่าฉันไม่กลัวเหรอ? หึ ช่างไร้เดียงสา… หน้าฉันไม่กระดิกสักนิดด้วยซ้ำ
ก็เพราะว่า…
“คนที่จะจบ… คือนายต่างหากล่ะ!”
ทันใดนั้นเสียง แกร๊งงงงงง! ก็ดังลั่น ก่อนที่ดาบของหมอนั่นจะแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ
“ดะ…ดาบสุดรักของข้า!?”
จากนั้น…
“อย่าขยับ”
ดาบยาวเล่มหนึ่งถูกจ่อเข้าที่ลำคอของเซ็ทสึนะจากทางด้านหลัง
เป็นไวซ์คุง เขาเข้าประชิดศัตรูได้ภายในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววิ—หรืออาจเร็วกว่านั้นเสียอีก
“ป..เป็นไปไม่ได้!? เจ้าเข้ามาอยู่ข้างหลังข้า แถมยังทำลายดาบเล่มโปรดของข้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”
“เจ้าเผลอกะพริบตาไปครั้งหนึ่งใช่ไหม? ก็แค่นั้นแหละ”
“บ้าไปแล้ว!?”
จะไร้สาระแค่ไหน แต่นั่นก็คือความจริงล่ะนะ
“อย่าประมาทไวซ์คุงเชียวนะ เขาอาจจะดูเพี้ยนๆ ลอยๆ แต่พอจับดาบเมื่อไหร่ เขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดทันทีเลยล่ะ”
“ชิ…”
งั้นก็…ได้เวลาจบละครลิงแล้วล่ะมั้ง
“เซ็ทสึนะ”
ฉันก้าวเข้าไปหาเจ้าซามูไรนั่น
“ช่วยบอกฉันได้ไหม…เป้าหมายของนายคืออะไรกันแน่?”
MANGA DISCUSSION