“ห้าสัตว์เดรัจฉานงั้นหรอ?”
ชาคีลพยักหน้ารับคำถามของฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อืม ในหมู่กองทัพหมื่นนายที่บุกยึดราชรัฐแร็กไทม์ของข้า—เหล่าคนของ ‘หมาป่านรก’ นั่นแหละ—ยังมีห้าคนที่โหดเหี้ยมเป็นพิเศษอยู่ด้วย”
“แอชลีย์เคยพูดถึงเหมือนกันนะ ว่ามี ‘ห้าขุนพล’ อะไรสักอย่างในหมู่ผู้บริหารของพวกมัน”
กลุ่มทหารรับจ้าง “หมาป่านรก” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหด—และพวกมันห้าคนนั้นก็คือระดับหัวกะทิของบรรดาอสูรทั้งหมด
“ได้ยินว่าพวกนั้นมี ‘กิฟต์’ ที่ทรงพลังกันทุกคนเลยล่ะ โดนพวกนั้นบุกใส่นี่…ก็ขอแสดงความเสียใจด้วยแล้วกัน”
“อา…เพราะพวกมัน เมืองทั้งเมืองถึงกลายเป็นทะเลเลือดในพริบตา ข้าจะไม่มีวันลืม…เหล่าอสูรต่ำช้าพวกนั้นเด็ดขาด!”
แล้วเจ้าชายชาคีลก็เริ่มเล่าเรื่องราวออกมา
เรื่องราวของหมาป่าผู้เลวร้ายที่สุด…ที่ทำให้ประเทศของเขาล่มสลาย
———————————————————-
“—มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”
ที่พระราชวังบนเนินเขา
ชาคีลตะโกนขึ้นขณะมองลงไปยังเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟ
“ทำไม!? ทำไมทหารจากอาณาจักรถึงได้คลั่งกันแบบนี้!?”
มันคือการจู่โจมสายฟ้าแลบที่เลวร้ายที่สุด
วันนั้น…ทหารหนึ่งหมื่นนายจากพันธมิตรอาณาจักรสเตรน ได้เหยียบย่างเข้าสู่เมืองหลวง โดยอ้างว่าจะร่วมซ้อมรบกัน
แล้วโศกนาฏกรรมก็เริ่มต้นขึ้น
“องค์ชาย! ขอทรงหนีเถอะพ่ะย่ะค่ะ! พวกเราถูกหลอกเต็มๆ! ศัตรูกำลังสังหารประชาชนอย่างโหดเหี้ยมและมุ่งหน้ามายังพระราชวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“บัดซบ!”
ชาคีลกำหมัดแน่นด้วยความโกรธหลังได้ยินคำรายงานนั้น
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะถูกหักหลังอย่างเลวทรามได้ขนาดนี้…!”
เขาไม่อาจเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ได้เลย
ทั้งที่อาณาจักรนั้นยังมีเพื่อนผู้จริงจัง เป็นคนหน้าตึงแต่มีจิตใจอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยอุดมการณ์อย่างเจ้าชายไวซ์อยู่แท้ๆ
เกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรนั่นกันแน่? ทั้งที่แค่เดือนก่อนยังร่วมงานสังสรรค์ฉันมิตรอยู่เลย…
“ไวซ์…เกิดอะไรขึ้นกับประเทศของเจ้ากันแน่…!?”
แคว้นแร็กไทม์เป็นเหมือนเกาะกลางทะเลทราย ถูกห้อมล้อมด้วยผืนทรายรอบด้าน
ซึ่งทำให้แม้จะยากต่อการรุกรานจากภายนอก ก็แลกมาด้วยการเข้าถึงข่าวสารที่ล่าช้าไม่แพ้กัน
ด้วยเหตุนี้เอง ชาคีลจึงไม่รู้เลยว่า…
รัฐบาลของอาณาจักรถูกบิดเบี้ยวจากการปฏิวัติ และองค์กรชั่วร้ายที่สุดอย่าง “หมาป่านรก” ได้แทรกซึมเข้าสู่ศูนย์กลางของรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
“…องค์ชายชาคีล พวกเราจัดเตรียมตัวปลอมไว้เรียบร้อยแล้ว ขอทรงเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นทหารยศล่าง แล้วเสด็จหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“มะ…ไม่ได้! ราชวงศ์จะหนีเอาตัวรอดในยามคับขันได้อย่างไรกัน!”
การที่เมืองหลวงถูกตีแตกนั้นคือหายนะชัด ๆ
แต่ว่าศัตรูก็มีแค่หมื่นเดียว… ถึงแร็กไทม์จะเล็กเพราะอยู่กลางทะเลทราย แต่เมืองหลวงก็ยังมีทหารประจำการกว่าหนึ่งแสน
“หากเราระดมกำลังทั้งหมด ก็ยังมีสิทธิ์ผลักศัตรูกลับได้! ในฐานะราชวงศ์ ข้าจะเชื่อมั่นในทหารของเรา แล้วบัญชาการจากแนวหลัง—”
ชาคีลเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น แต่คำพูดของเขากลับถูกขัดจังหวะโดยทหารที่พรวดเข้ามา
“——รายงานครับ! กองกำลังชั้นแนวหน้าของศัตรูได้ทำให้ทหารเรากว่าครึ่งสิ้นสภาพแล้ว! พวกเรากำลังจะถูกล้างบาง!”
“อะ…อะไรนะ……!?”
…กองทัพพินาศไปครึ่ง นั่นก็เท่ากับว่า เมืองหลวงจะล่มสลายในอีกไม่กี่อึดใจ
นี่มัน…ราวกับฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริง
“เป็นไปไม่ได้… ไม่จริงน่า…”
ชาคีลยืนนิ่งอึ้ง ดวงตาจับจ้องไปยังเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟ
ในสายตาเขา เห็นแต่ชาวเมืองถูกเข่นฆ่าราวกับของเล่นกลางเสียงกรีดร้อง และในหมู่หมื่นกองทัพนั้น มีเหล่าหมาป่าชุดดำอันดุร้ายกำลังอาละวาด
“—ขอบคุณท่านซัคส์เลยเฟ้ย! ที่ให้ฉันกินพวกมันให้เรียบเลยแบบนี้น่ะ โฮ่ฮ่าฮ่าฮ่า!!”
ตัวแรกปรากฏเป็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าราวกับสัตว์ป่า
เขาแยกเขี้ยวแหลมคม เลือดพุ่งออกจากข้อมือทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง
“ปลดปล่อยพลังพิเศษ—『Kiss Upon Petals กลัตโทนี่・เซาเกอร์』!”
เลือดที่ไหลออกมารวมตัวกลายเป็น ‘มังกรคู่’ แล้วคำรามกึกก้อง
มังกรโลหิตทะยานพุ่งเข้าหาเหล่าชาวบ้านที่กำลังหนีตาย และในชั่วพริบตาที่เขี้ยวแหลมกัดถึงตัว ก็เกิดเรื่องสยองยิ่งกว่าเดิมขึ้นทันที
“เอาเลือดมาให้ข้าอีกกกกกกกก!!”
“อ็ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
ร่างของผู้เคราะห์ร้ายแห้งเหือดในพริบตา แลกกับมังกรโลหิตที่ยิ่งทวีความใหญ่โต
นี่คือความสามารถควบคุมและดูดกลืนเลือด
เป็นความสามารถสังหารสุดโหดของจอมคลั่งในสงคราม คนโปรดของซัคส์—“ดยุกแวมไพร์ แวมพีด”
และจากนั้น…
“โถ่ คุณแวมพีด อย่ากั๊กคนเดียวสิครับ… ขอผมร่วมสนุกด้วยคนเถอะ”
ตัวที่สองคือสุภาพบุรุษผู้มีรอยยิ้มสุภาพนุ่มนวล… แต่แฝงความน่าสะพรึงไว้เบื้องหลัง
เขาดูไม่เข้ากับสนามรบเอาเสียเลย… เดินถือไม้เท้า ลูบหนวดเรียบร้อยราวกับกำลังทักทายแขกในงานเลี้ยง
ท่าทีที่ดูไร้พิษภัยนั้นทำให้ทหารของฝั่งรัฐอิสระพุ่งเข้าจู่โจมพลางตะโกนว่า “อย่างน้อยก็ฆ่าหมอนี่ให้ได้ก่อน!”—แต่ทว่า…
“ปลดปล่อยกิฟต์—『Unstoppable Obsidian Impulse อาวาริเทีย・อาเมนเดส』!”
เพียงเสี้ยววินาที ทหารทั้งหมดก็ถูกฉีกกระชากจนร่างแหลกละเอียด
ไม่ใช่ดาบ ไม่ใช่คมมีด—แต่คือ ‘เงา’ ที่พุ่งพรวดจากใต้เท้าของชายผู้นั้น แล้วแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดกระชากชีวิตไปในพริบตา
“เงาที่ไม่อาจถูกทำลาย ย่อมกลายเป็นคมมีดที่ไม่มีวันหัก พวกเจ้าทั้งเกราะแข็งกล้า ทั้งกล้ามเนื้อที่ฝึกจนแทบตาย—แต่ก็ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง”
ร่างทหารกลายเป็นเศษเนื้อกระจัดกระจาย
ต่อหน้าศพที่สละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดิน เขาเพียงพึมพำเบาๆ ว่า “ไม่ใช่สเปคฉันเลยแฮะ”
“อา~ ถ้าจะฆ่าละก็ขอเลือกเฉพาะผู้หญิงดีกว่า… ตัวเล็ก นุ่มนิ่ม งดงาม… เหมือนภรรยาคนแรกของผมเลย”
เขาจ้องมองหาเหยื่อใหม่ด้วยแววตาแห้งผากปราศจากอารมณ์
เขาคือ “บรูโน่ จอมเชือด” —นักฆ่าจอมบ้าคลั่งแห่งสมาพันธ์ ผู้ที่ฆ่าหญิงสาวมาแล้วนับพันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
แล้วก็…
“อ๊า~ ฉันเริ่มเหนื่อยแล้วน้าา~☆ คุณตา~ ช่วยทำงานแทนฉันหน่อยสิ~♡”
“อย่ามาสั่งข้า ไอ้เศษขยะ”
“ขยะเรอะ!?”
ผู้ที่ปรากฏตัวตามมาเป็นคนที่สามและสี่คือ เด็กสาวที่งามจนผิดธรรมชาติ และชายชราเผือกตาบอดสนิท
เด็กสาวกับชายชรา—คู่หูที่ดูจะหลุดมาจากคนละโลกยิ่งกว่าชายคนนั้นเสียอีก ทหารจำนวนมากล้อมพวกเขาไว้หวังฆ่าทิ้งก่อนที่อีกฝ่ายจะลงมือ แต่ทว่า――
“คุณตาขา~♡”
“หึ…”
เพียงพริบตา เหล่าทหารของฝั่งราชรัฐก็สิ้นใจพร้อมกัน
“ปลดปล่อยกิฟต์ — [ Fallen Heaven’s Severance ] มาคัตสึ・อารากามิ”
แล้ว แรงโน้มถ่วงมหาศาล ก็กระหน่ำลงมา
พื้นที่โดยรอบชายชราเกิดการบิดเบี้ยว
เหล่าทหารที่อยู่แนวหน้าถูกเล่นงานก่อน
มวลอากาศรอบตัวชายชราบิดเบี้ยว ก่อนทหารที่กรูกันเข้าไปจะกลายเป็นคราบเลือดติดพื้นทีละราย
“เฮ้อ… ดินแดนแห้งแล้งนี่ก็เช่นเคย ไม่มีใครคู่ควรให้ข้าชักดาบออกมาเลยสักคน”
เขาลูบเบา ๆ ที่ดาบซึ่งเหน็บไว้ตรงเอว
ยอดฝีมือเฒ่าจากแดนบูรพา ‘ปีศาจเฒ่ารันโก’ ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
ขณะเดียวกัน
“เหวอ! เดี๋ยวก๊อนนนน~! ชั้นก็โดนบดเละไปด้วยแล้วเนี่ยยย!?”
หญิงสาวที่เคยเกาะแน่นอยู่กับรังโก
ร่างอันเย้ายวนของเธอถูกบิดเบี้ยวจนไม่เหลือซาก หัวก็ระเบิดจนเนื้อสมองกระจายเกลื่อน
ทว่า…
“หึ… กิฟต์ของข้ามันไม่เลือกเป้าหมายนี่นา โทษตัวเองเถอะ”
“หูวว~! ตาจ๋ายิ้มเหรอ!? น่าร๊ากกก~♡”
“ตายไปซะ”
“ว่าแล้วเชียว โหดร้ายยย!”
เด็กสาวยังไม่ตาย… แม้ร่างจะระเบิดเละ แต่ก็ยังมองขึ้นมาพูดกับชายชราอย่างหน้าตาเฉย
“แหม~ ไม่เป็นไรหรอก~☆ ยังไงรอบตัวก็มีศพให้เล่นอีกเพียบเลยนี่นา~”
จากนั้นเธอก็ยิ้ม—ด้วยใบหน้าที่งามเกินมนุษย์มนา…
“ปลดปล่อยกิฟต์— Sleepless Night : ลักเซอเรียน ฮาร์ทเลส ”
ชั่วพริบตา เศษเนื้อของหญิงสาวนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าไปรวมที่ร่างเด็กสาว
พวกเธอสวมชุดพื้นเมือง—คือหญิงสาวและเด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าตายในสงครามบุกยึดครั้งนี้
และต่อหน้าซากศพอันน่าสงสารเหล่านั้น เด็กสาวคนนั้น—ไม่สิ—
“อ๊าาา~ เด็กๆที่น่ารักของฉัน~! ขอแบ่ง ‘ชิ้นส่วนที่มีเสน่ห์’ ของพวกเธอให้ดิฉันหน่อยนะจ๊ะ~♡”
—‘เอลซาฟรานผู้น่าขยะแขยง’ อดีตชายผู้หลงใหลศพหญิง หัวเราะคิกคักพลางเลือกเนื้อหนังอย่างพิถีพิถันมาแปะบนร่างตัวเอง
“อืม~ ผิวแทนแดดมันไม่ใช่แนวอิฉันเลยเนอะ~งั้นเอาผิวเด็กขาวนุ่มนิ่มมาแปะดีกว่า!”
“เสร็จแล้วค่าาา~ เอลซาฟรานจังเวอร์ชันใหม่ล่าสุด DEATH เดส☆ แวมพีดจัง บรูโนจัง ช่วยชมอิฉันหน่อยน้าา~♡”
“แหวะ แกแม่งน่าขยะแขยงฉิบหายว่ะ ไอ้เก้ง”
“ฆ่าตัวตายซะน่าจะดีกว่านะ?”
“พวกแกมันใจร้ายอ๊าาา~ แงงงงง ที่ทำงานบ้านี่มันอะไรกันนน~!?”
แม้บรรยากาศจะวิปลาส แต่ก็เหมือนพวกเขาจะ ‘กลมเกลียวกันดี’ อย่างประหลาด… แม้รอยเท้าของพวกเขาจะเบาจนน่าสยองก็ตาม
“เฮ้ย บรูโน แกลองเฉือนไอ้ซอมบี้โรคจิตนี่ดูสิวะ เผื่อจะได้ระบายตัณหาฆ่าคนบ้าของแกลงบ้าง อย่างน้อยก็หน้าตาดีอยู่นะ ฮ่า ๆ”
“เฮ้อ…แวมพีดคุง ข้าเองก็ชอบเด็กสาวก็จริง แต่เด็กสาวที่แท้จริงต้องมีจิตใจที่งดงาม ส่วนไอ้เอลซาฟรานน่ะ…เอาเป็นว่าเหมือนถังน้ำเน่าสวมวิญญาณก็แล้วกัน…”
“ถังน้ำเน่าสวมวิญญาณเรอะ!? ฉันจะฆ่าแกให้ตาย ไอ้โรคจิตมีหนวด!!”
“ฟุ… คุคุคุ…”
“เห้ย! รันโกกำลังกลั้นขำอยู่ว่ะ!”
“หุบปาก”
ชายหนุ่ม… สุภาพบุรุษ… เด็กสาว… และเฒ่าชรา—
ต่างสนุกสนานกับ “ชีวิตประจำวัน” ของตนอย่างเป็นธรรมชาติจนน่าสะอิดสะเอียน
เพราะสำหรับพวกมัน—สนามรบอาบเลือดนี่แหละ คือ “ความปกติ”
“พวกมัน… พวกมันเป็นตัวอะไรกัน!?”
ภาพนั้นทำให้หัวใจของชาคีลถูกกลืนด้วยความหวาดกลัวจนแทบคลั่ง
เดินไปพลางฆ่าชาวบ้านไปพลาง
พูดคุยไปพลางสังหารทหารไปพลาง
หัวเราะชอบใจพลางเหยียบเด็กทารกที่ร้องไห้จมดินอย่างเลือดเย็น
พวกสัตว์เดรัจฉานที่ฆ่าคนราวกับเป็นการหายใจ
และเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกมัน… ชาคีลก็สิ้นไร้ซึ่งแรงต่อต้านโดยสิ้นเชิง
—แล้วในวินาทีนั้นเอง
“พวกนั้นนี่มันน่าปวดหัวจริง… งานก็ควรทำให้เสร็จโดยไม่เสียเวลาแท้ ๆ”
สันหลังของเขาสั่นวาบ
เพราะเสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากยอดหอคอยของพระราชวัง
ถัดจากนั้นเพียงชั่ววินาที—
“ปลดปล่อยกิฟต์— Darkness, Gracefully to the End : วานิชชิ่ง เอตาเอนด์”
ความมืดมหาศาลแปรเปลี่ยนเป็นแสงระเบิด เจาะพระราชวังจนเป็นโพรงขนาดยักษ์
“อ๊ากกกกกกก!!?”
“อะ…อะไรกันน่ะ!?”
“ท่านชาคีล!!?”
เหล่าคนรับใช้โดนกลืนหายไปในความมืด เสียงกรีดร้องสุดท้ายของพวกเขาถูกแสงสีดำกลืนจนเงียบสนิทในชั่วพริบตา
ราวกับพวกเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน… ชาคีลไอเพราะฝุ่นที่ลอยฟุ้ง และเริ่มรู้สึกถึงความหวาดกลัวประหลาดที่คืบคลานเข้ามา
ไม่นานความมืดก็จางหายไป แล้วจากโพรงใหญ่บนเพดาน ชายสวมหน้ากากก็ร่อนลงมา
“ทำแบบไม่เกินหน้าที่ ไม่ต่ำกว่าค่าจ้าง… เอาล่ะ ชาคีลอยู่ไหนกันนะ…”
ดวงตาสีเลือดที่ลอดออกมาจากหน้ากากกวาดมองไปรอบๆ
แล้วก็…
“อา เจอแล้วล่ะ ชาคีล”
ดวงตาประสานกัน
“บ-บังอาจ! อย่าได้เฉียดเข้ามาใกล้ข้า ชาคีลผู้สูงศักดิ์!”
แต่คนพูดไม่ใช่ชาคีลตัวจริง… เป็นตัวแทนที่ถูกจัดไว้เพื่อปกป้องเขาต่างหาก
แค่ประชาชนคนหนึ่งที่ไม่มีความผิดอะไรเลย
“เดี๋ยว… คนนั้นไม่ใช่ข้า—!”
“เฮ้ย! เจ้าทหารชั้นล่าง รีบหนีเร็วเข้า!”
คำพูดของชาคีลถูกขัดโดยทหารวัยกลางคนที่ดึงแขนเขาพาหนี พอพ้นหัวมุมทางเดินก็ยัดเกราะกับหมวกเหล็กให้ทันที
“ตรงทางลับข้างหน้ามีทหารรออยู่ราวสามสิบคน รีบหนีไปกับพวกเขาเถอะครับ”
“เดี๋ยวก่อน! ข้าก็สู้ได้นะ!? เจ้าก็รู้นี่ว่าข้ามีกิฟต์!”
“ต่อให้โค่นได้หนึ่งหรือสองคน สถานการณ์ก็ไม่เปลี่ยนครับ! …เพราะฉะนั้น ขอทรงหลบหนีเถอะพะยะค่ะ!”
“อึก…!”
ตอนนี้ไม่มีเวลามานั่งถกเถียงอีกแล้ว
แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่เสียงกรีดร้องของเหล่าข้ารับใช้ที่ถูกชายสวมหน้ากากฆ่าทิ้งทีละคนก็ยังได้ยินชัดเจน
เสียงคำรามทุ้ม ๆ ปนเสียงกรีดร้องเล็ก ๆ ที่แทรกเข้ามานั้น เป็นของพ่อกับน้องชายของชาคีล
และยังไม่หมดแค่นั้น…
“อ๊า~ ฟาบิจังอะ ขี้โกง!☆ ให้ชั้นฆ่าเชื้อพระวงศ์มั่งสิค้าาา~!♡”
“อย่าเรียกข้าว่าฟาบิจัง เรียก ฟาบิโอไลท์ ต่างหาก ไอ้ตะกอนน้ำเน่า”
“นี่มันอะไรกันยะ!? ทำไมทุกคนถึงดูถูกชั้นกันนักล่ะ!?”
…เสียงประตูวังพังทลาย และฝีเท้าของเหล่าสัตว์เดรัจฉานที่บุกทะลวงเข้ามา
—”ดยุคแวมไพร์ แวมพีด”
—”บรูโน่ จอมเชือด”
—”อสูรปีศาจ รันโกว”
—”เอลซาฟรานผู้สยดสยอง”
—และสุดท้าย “ฟาบิโอไลท์แห่งความว่างเปล่า”
ศูนย์กลางของราชรัฐแร็กไทม์ในตอนนี้ กลายเป็นที่รวมตัวของ ‘ห้าขุนพลหมาป่านรก’ ไปเสียแล้ว
“…องค์ชายชาคีล ข้าจะย้อนกลับไป ขอแค่ถ่วงเวลาให้ท่านได้อีกสักไม่กี่วินาทีก็ยังดี”
“ดะ เดี๋ยวก่อน! ถ้าเจ้าทำแบบนั้นล่ะก็ เจ้าจะต้อง—!”
“ในบรรดาผู้ติดตามที่ข้ามอบให้ท่านนั้น มีลูกชายโง่ๆ ของข้าอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าอัคนาดิน… ขอร้องล่ะ ขอให้ท่านดูแลเขาแทนข้าด้วย”
“เจ้า…!”
ชาคีร์ไม่อาจรั้งทหารที่วิ่งสวนออกไปได้อีกต่อไป
เขาทำได้แค่ตอบรับในใจว่า “เข้าใจแล้ว” และรีบมุ่งหน้าไปยังเส้นทางหลบหนี
หลังจากนั้น… เขาก็ไม่อาจจดจำอะไรได้อีก
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!”
แม้จะโดนเศษซากอาคารกระแทกใส่
แม้จะถูกทหารกล้ามใหญ่ของ “หมาป่านรก” รุมฟันเละ
เขาก็ยังวิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่งต่อไป
และในวินาทีที่เขากำลังจะหนีออกจากเมืองหลวงได้สำเร็จ—ในตอนที่สติเริ่มเลือนราง…
“—ขึ้นมาซะพี่ชายทั้งหลาย! เดี๋ยวฉันจะพาพวกนายไปสวรรค์เอง!”
และแล้ว… ชาคีร์กับพวกพ้องก็ถูกจับได้ โดยพ่อค้าทาสหัวเห็ดคนนั้นเอง
MANGA DISCUSSION