“แก… ดร.ไรน์ฮาร์ท!”
“อะแฮ่ม ใช่ ฉันเอง~”
คนที่มาห้ามไวซ์คุงไม่ให้บีบพุงฆ่าฉัน ก็คือลุงผมยาวเจ้าของเนื้อหมูโทรลนั่นเอง
ก็อยากจะตะโกนว่า “ลุงเข้ามาในเขตบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนะคะ!?” แต่ก่อนอื่น…
“ไวซ์คุง ขอร้องล่ะ… ปล่อยฉันลงเถอะค่ะ~!”
“อ๊ะ ข-ขอโทษ!”
เขาค่อยๆ วางฉันลงบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง
ฉันรีบยกน้ำขึ้นซดรัวๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะกดเจ้าหมูโทรลที่เกือบจะคลอดออกมากลับลงไปให้ได้!
ฟู่ว… รอดไปที…!
“ฉันได้ยินบทสนทนาเกือบหมดเลยล่ะ ดูเหมือนเจ้าชายจะไม่ค่อยเชื่อถือความปลอดภัยของของขวัญฉันเลยนะ~”
“แน่นอนอยู่แล้ว ใครจะไปไว้ใจคนที่เคยทำการคืนชีพศพจนกลายเป็นมหกรรมพังพินาศแบบนั้นล่ะ แล้วเนื้อนั่นล่ะ ปลอดภัยจริงหรือเปล่า?”
“อันนั้นก็ไม่แน่ใจนะ~ ก็เลยให้เธอเป็นหนูทดลองยังไงล่ะ”
“ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”
ไวซ์คุงคว้าด้ามดาบเร็วจี๋ เตรียมจะฟันลุงทันที—เดี๋ยวๆ หยุดก่อนนนน!
“ไม่ใช่น้าไวซ์คุง! คือก็ใช่…แต่ก็ไม่ใช่นะ!”
“หมายความว่าไง?”
“คือว่า… ไม่ใช่ว่าด็อกเตอร์บังคับอะไรนะ ฉันอาสาเป็นหนูทดลองเองต่างหากล่ะ…!”
“หือ!?”
ไวซ์คุงทำหน้าตกใจสุดขีด
ก็…ก็เรื่องมันฟังดูเพี้ยนจริงแหละ ด็อกเตอร์ ช่วยอธิบายทีสิ
“คือจริงๆ แล้ว แนวคิดเรื่องการทำให้เนื้อปีศาจกินได้ มาจากคุณหนูเรย์เต้นั่นแหละ เธอบอกว่า ‘แค่ฆ่ามอนสเตอร์มันดูเสียของไปหน่อยอะ กินมันได้มั้ยล่ะ?'”
ใช่ค่ะ คนเสนอความคิดนั้นก็คือฉันเอง
“ฉันเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันนะ ปกติก็แค่เก็บชิ้นส่วนพิเศษของพวกมันมาทำของ… แต่จะเอาไขมันก้อนเบ้อเริ่มมาแปรรูปกินเนี่ยนะ?”
“เพราะการกินอสูรเคยถูกมองว่าไม่ต่างอะไรจากกินคน เป็นข้อห้ามที่ฝังแน่นในสังคมมานาน… แม้แต่ฉันเองก็เคยถูกกรอบความคิดนั้นครอบงำ—”
“ดร.คะ พูดนอกเรื่องอีกแล้ว เข้าเรื่องสักทีเถอะค่ะ”
“อะแฮ่ม ขอโทษที… เอาเป็นว่าสรุปผลการวิจัยแล้ว หมูทรอลในเขตนี้เหมาะจะกินที่สุดเลยนะ”
“พอให้หนูกับหมาลองกินดูก็ไม่พบอาการแพ้อะไรเลยด้วย”
ดร.ไรน์ฮาร์ทพูดต่อแบบแอบบ่น “ฉันลองเปิดรับอาสาสมัครมนุษย์ด้วยนะ… แต่ไม่มีใครสมัครเลยน่ะสิ…”
“แต่ตอนนั้น… เรย์เต้คุงก็บอกว่า ‘งั้นฉันจะลองกินเอง’ ฉันเลยส่งชุดเนื้อหมูโทรลชั้นเยี่ยมไปให้เลย”
“…เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่านายไม่มีเจตนาร้าย ฉันขอโทษด้วยแล้วกัน”
แต่ทว่า—
ไวซ์คุงหันมามองฉันแบบหรี่ตามาเลย อะไรอีกล่ะ!?
“เรย์เต้… เธอเป็นถึงผู้นำของดินแดนนี้ เป็นคนที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ จะมากินอะไรที่ไม่รู้ว่าปลอดภัยไหมแบบนี้มันเสี่ยงเกินไปนะ”
“ก็แหม… ก็ฉันมันคนรักเนื้อนี่นา…!”
แล้วก็…อีกอย่างหนึ่งน่ะ
“แล้วก็—มันน่าโมโหนะ! มนุษย์ต้องกลัวอสูรไปถึงเมื่อไหร่? งั้นในฐานะตัวร้าย ข้าจะเอาชนะมันด้วยการ ‘กินมันซะเลย’ ถือเป็นชัยชนะล่ะ!”
พอฉันพูดจบ ไวซ์ก็ก้มหน้าครุ่นคิด แล้วพยักหน้าช้าๆ
“แนวคิดนั้น…อาจไม่เลวก็ได้ จริงอยู่ที่อสูรถูกตีตราว่าเป็น ‘นักล่ามนุษย์’ ตามคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์…”
“แต่หากเราทำลายค่านิยมนี้ลงได้ บางทีนักรบผู้กล้าก็จะเพิ่มขึ้น และผู้คนก็จะมีใจสู้มากขึ้นเช่นกัน”
“ใช่ไหมล่ะ!?”
“แต่ยังไงก็เถอะ เรย์เต้ อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามก็แล้วกัน… ข้าเป็นห่วงเจ้านะ”
อึ๊ก… พอพูดแบบนี้ ฉันก็เถียงไม่ออกเลยสิ!
ปกติแล้วก็ดูซื่อๆ เหม่อๆ อยู่หรอก… แต่พอเรื่องการต่อสู้หรือห่วงคนอื่นขึ้นมา นี่ซีเรียสจริงจังเฉยเลยนะเจ้าคนนี้…
“เฮ้ออ… ก็ได้จ้ะไวซ์คุง ขอบใจที่เป็นห่วงนะ? เดี๋ยวฉันจะตั้งนายให้เป็นมือขวาแห่งความชั่วร้ายเอง”
“ขอผ่านละกัน”
“หา!? ทำไมเล่าาาาา!?”
—ระหว่างที่เรากำลังเถียงกัน (อย่างเป็นมิตร) อยู่นั่นเอง…
ด็อกเตอร์ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “สองคนนี้สนิทกันดีจังนะ” แล้วก็เสนออะไรบางอย่างขึ้นมา
“ว่าแต่เรย์เต้คุง ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องหน่อยน่ะ”
“ขอร้องอะไรล่ะ?”
อะไรของลุง ทำลับๆ ล่อๆ อีกแล้ว
“ถ้าอยากได้ค่าขนมเพิ่มก็มานวดไหล่ฉันก่อนสิยะ”
“เธอเป็นแม่ฉันรึไง? เงินวิจัยฉันก็ได้พอแล้วล่ะน่า ไม่ใช่เรื่องนั้น”
งั้นอะไรล่ะ?
“ฉันชอบแนวคิดของเธอนะ ที่ว่าอยากใช้ประโยชน์จากร่างกายของมอนสเตอร์ให้คุ้ม ๆ น่ะ เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าจะเริ่มวิจัยเรื่อง ‘ผลึกเวทมนตร์’ ที่เล็งไว้นานแล้วสักที”
MANGA DISCUSSION