“แล้วตอนนั้นเอง ตอนที่ข้ากำลังจะหลับตาลง… เป็นครั้งสุดท้าย…”
แอชลีย์เล่าออกมาราวกับเปิดหีบสมบัติที่เก็บไว้ในใจ
“ราชินีแห่งความชั่วร้าย—ได้ปรากฏตัวขึ้น”
รอยยิ้มภาคภูมิผุดขึ้นที่มุมปาก
แอชลีย์พูดออกมาโดยไม่รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย
ว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น—เพื่อได้พบกับเธอ เรย์เต้・ฮังกาเรีย
“อย่างนี้นี่เอง—ท่านเรย์เต้โผล่มาตอนนั้นสินะ”
“ใช่ แต่ตอนนั้นเธอไม่เหมือนตอนนี้เลยนะ ชุดโกธิกสไตล์นางร้ายที่ตอนนี้ใส่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ… ตอนนั้นยังใส่แล้วดูเขินอายอยู่เลยด้วยซ้ำ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็เพิ่งเริ่มเป็นนางร้ายน่ะสิ”
แอชลีย์เล่าต่อ
ตอนนั้นคุณหนูเรย์เต้ยังไม่มีความมั่นใจเหมือนทุกวันนี้
ตรงกันข้าม—เธอกลับตัวสั่น เพราะเห็นใบหน้าอันชั่วร้ายของเขา
“ตอนนั้นข้าคิดว่า ‘ใครวะไอ้เด็กนี่’ แล้วก็ไล่เธอไป …ไม่อยากให้เด็กเห็นศพน่ะ เลยจ้องขู่ไปเต็มที่เลย”
แต่ทว่า
“เด็กคนนั้นถึงจะน้ำตาคลอ ก็ยังเดินเข้ามาใกล้ข้า ข้าตะโกนไล่เท่าไหร่ก็ไม่สะทกสะท้าน แค่สะดุ้งนิดๆ แต่ก็ไม่ยอมหยุด จนสุดท้ายก็เดินมาถึงตัวข้า”
แล้วก็—
“แล้วเธอก็พูดว่า ‘ชีวิตของคนในดินแดนนี้เป็นของข้า—เรย์เต้ ราชินีแห่งความชั่วร้าย! ห้ามตายโดยไม่ได้รับอนุญาต!’ ข้าอึ้งเลย… แถมยังเข้ามารักษาแผลให้ข้าโดยไม่กลัวเปื้อนเลือดอีก!”
แอชลีย์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงตอนนั้น
ตอนนั้นข้าคิดว่า “เด็กนี่มันอะไรกันแน่” และในขณะเดียวกัน—
“ข้าหัวเราะลั่นเลย—ที่ไหนมีตัวร้ายที่ใจดีแบบนี้กัน? แต่เธอกลับทำหน้าจริงจังแล้วตะโกนใส่ข้าว่า ‘ข้าไม่ใช่คนดีนะ! ข้าเป็นตัวร้ายต่างหาก!’ ข้าหัวเราะจนหมดสติไปเลย… แล้วตอนตื่นมาก็อยู่ในคฤหาสน์ แล้วก็เห็นเธอกำลังหลับอยู่ข้างๆ เหมือนเฝ้าข้าไม่ห่างเลย”
ใช่… ก็วินาทีนั้นแหละ
แอชลีย์สารภาพ… ว่าทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนที่เขาเห็นใบหน้าเธอยามหลับ
“เธอน่ารักจนข้ารู้สึกอยากปกป้องสุดหัวใจ”
และนั่น… คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่แท้จริงของเขา
“ไม่รู้ทำไม… ข้าแค่อยากจะเฝ้ามองเด็กสาวที่เรียกตัวเองว่า ‘นางร้าย’ คนนั้นตลอดไป… ข้าตกหลุมรักเธอแบบถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ พอรู้ว่าเธอเป็นเจ้าเมือง ข้าก็รีบสมัครงานทันที แล้วก็ได้มาเป็นพ่อบ้านของเธอจนถึงทุกวันนี้”
“อย่างนี้นี่เอง…”
เจ้าชายพยักหน้าสั้นๆ
ถึงสีหน้าเขาจะเรียบเฉย แต่ภายในกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
“ดีใจด้วยนะ แอชลีย์… แต่ก็อดรู้สึกอิจฉานิดๆ ไม่ได้เลย”
ในอกนั้นเปี่ยมด้วยความยินดีที่เพื่อนรอดมาได้
แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกหึงหวงที่ไม่ค่อยเกิดกับไวซ์ก็ก่อตัวขึ้น
“เจ้ารู้จักคุณหนูเรย์เต้ในแบบที่ข้าไม่เคยเห็น… แถมมาตั้งหกปีแล้วด้วย”
“ฮ่าๆๆ อิจฉาล่ะสิ อิจฉาแน่ๆ! แล้วคุณหนูเรย์เต้ของข้าน่ะเก่งมากเลยนะ! พัฒนาแคว้นได้สุดยอดขึ้นทุกวันๆ เลยล่ะ!”
พอได้ยินไวซ์พูดว่า “อิจฉา” แอชลีย์ก็ยิ้มหน้าบานทันที
พักนี้เขารู้สึกว่าเรย์เต้สุดที่รักของตนนั้นถูก “แย่งชิง” ไปบ่อยเหลือเกิน ทำเอาสมองแทบลุกเป็นไฟ
เขาก็เลยตั้งใจจะโชว์เหนือเต็มที่ ด้วยการสาธยาย “ตำนานรักเรย์เต้” แบบไม่กั๊ก!
“จริงๆ ข้ายังมีเรื่องเด็ดอย่าง คุณหนูเรย์เต้เดินเล่นแล้วได้เขายูนิคอร์นมาแบบชิลๆ ไว้เล่าต่อ… แต่ตอนนี้ก็ดึกแล้วนี่ เจ้าคงง่วงแล้วล่ะมั้ง?”
“เปล่าเลย ยิ่งได้ฟังเรื่องคุณหนูเรย์เต้ ข้ายิ่งตาสว่างเลยล่ะ”
“ก็แน่ล่ะสิ ~ แต่จะดีเหรอถ้าข้าจะเล่าความทรงจำแสนล้ำค่าระหว่างข้ากับคุณหนูเพิ่มอีก~? เอายังไงดีน้า~?”
แอชลีย์ส่งยิ้มแบบน่าขนลุกสุดๆ
ใช่ว่าเขาจะจิตใจดีอะไร เขาหวังจะทำให้ไวซ์หึงจนเดือดต่างหาก
แต่แล้ว…
“อยากฟังจริงๆ นะ เพราะตอนนี้ข้านอนไม่หลับเลย… แถมช่วงกลางวันข้าก็โดนกล่อมให้นอนนิดหน่อย…เลยรู้สึกเหมือนพลังยังเหลือเฟืออยู่”
“หือ…? โดนกล่อมให้นอน…?”
คำพูดนั่นมันฟังดู…แปลกๆ
แล้วไวซ์ก็ตอบกลับแบบหน้าตาย… ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยว่าเขากำลังจะก่อสงคราม
“ใช่ คุณหนูเรย์เต้ให้ข้านอนหนุนตัก แล้วลูบท้องกล่อมให้ข้าหลับด้วยล่ะ”
“ว๊ากกกกก!!?!?”
ในวินาทีนั้น สมองของพ่อบ้านแตกเป็นเสี่ยงๆ…!
ตาชั่งแห่งการโชว์เหนือหักคอทันที แอชลีย์ร่วงลงสู่พื้นโลกอย่างสง่างาม
“แต่ก็นะ เจ้าอยู่กับเธอมาตั้งหกปี คงเคยได้หนุนตักมาแล้วสินะ?”
“ไม่มีเว้ยย ไอ้ง่าว!!!”
และพ่อบ้านก็ได้แต่น้ำตาไหลเป็นสายเลือด… ขณะที่เจ้าชายเยือกแข็งยังทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพังขนาดนั้น
MANGA DISCUSSION