“แย่ล่ะ… นอนไม่หลับเลยแฮะ…”
คืนนั้นเอง ไวซ์ สเตรน ลุกออกจากเตียงมุ่งหน้าไปยังสวนในคฤหาสน์อย่างเงียบๆ
เหตุผลก็แน่นอน—เพื่อฝึกฝนร่างกายนั่นเอง
“พละกำลังของข้า… มันเหลือเฟือเกินไปแล้ว…!”
นี่มันอาการเข้าขั้นวิกฤตแล้วจริงๆ
เจ้าชายคนนี้ใช้ชีวิตมาหลายปีด้วยการนอนแบบสั้นๆ (หรือจะเรียกว่าหมดสติชั่วคราวก็คงไม่ผิด)
แม้เรย์เต้จะดุใส่เขาแบบคุณแม่สั่งลูกว่า “กลางคืนก็ต้องนอนดีๆ เข้าใจมั้ย!?” แต่ร่างกายเขากลับต่อต้านคำสั่งนั้นโดยสิ้นเชิง
“ชิ… ตอนที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยแผลไฟลวก ข้ายังหลับได้แทบตลอดวันแท้ๆ…”
อันนั้นมันเรียกว่า “โคม่า” ต่างหาก
“อืม… การนอนหลับนี่มันช่างเป็นเรื่องยากเสียจริงๆ…”
เขาพึมพำปัญหาระดับเด็กประถมพลางเดินผ่านเขตที่พักของพวกคนรับใช้
อาคารหลังนี้เป็นคฤหาสน์แบบตะวันตกที่เชื่อมต่อกับตัวอาคารหลัก สร้างขึ้นเพื่อให้เหล่าผู้ที่ปฏิบัติงานประจำ เช่นเขาและเหล่าคนรับใช้ พักอาศัย
และเมื่อเดินผ่านห้องพักของคนรับใช้ในยามดึกเช่นนี้ ก็จะได้ยินเสียง…
“อาาาาา… คุณหนูเรย์เต้… ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงปลอดภัยตลอดทั้งวันนนนน…”
“ซู้ดด—ฮ้าาา—ซู้ดด—ฮ้าา!! ถ้าเพิ่มปอดให้ใหญ่ขึ้น ฉันจะได้สูดลมหายใจของคุณหนูได้ตรงๆไงล่ะ! ลมหายใจแห่งรักกกกก!!”
“ขอให้เมื่อตื่นมาตอนเช้า ฉันกลายเป็นหมอนของคุณหนูเรย์เต้ด้วยเถิด ขอให้กลายเป็นหมอน ขอให้กลายเป็นหมอนนน!!”
…สยองขวัญสุดๆ
เหล่าคนรับใช้ปิดท้ายวันด้วยการพร่ำเพ้อถึงคุณหนูเรย์เต้…
ได้ยินเสียงโหยหวน “เรย์เต้ซามะ… เรย์เต้ซาม้าา…” ภายในอาคารเต็มไปหมด
ทุกคนล้วนมีอดีตอันตราตรึงที่ถูกเด็กสาวผู้นั้นช่วยชีวิตไว้
ความจงรักภักดีของพวกเขารุนแรงขนาดที่ว่า ถ้าเธอสั่งว่า “ไปตัดหัวราชามาให้ฉันสิ” พวกเขาก็พร้อมกลายเป็นกบฏล้มบัลลังก์ทันทีโดยไม่ลังเล
สรุปสั้นๆ—พวกเขาเพี้ยนไปหมดแล้ว
“อืม… ดูท่าคุณหนูเรย์เต้จะเป็นที่รักมากเลยนะ”
ส่วนเจ้าชายจอมซื่อก็แค่คิดว่า “นั่นก็ดีนี่นา” แล้วก็ปล่อยผ่าน… แบบนี้คงหมดทางเยียวยาแล้วล่ะ
“งั้นก็… ลองเหวี่ยงดาบสักสี่ชั่วโมงน่าจะช่วยให้ข้าง่วงได้ละมั้ง…”
กล่าวคำไร้สติพลางเดินออกไปยังลานสวน
แต่ปรากฏว่ามีคนมาถึงก่อนแล้ว
“ฮึ่ก… ฮึบ!”
ชายในชุดทักซิโด้กำลังปล่อยหมัดอย่างเฉียบคมในความมืด
แสงจันทร์สาดสะท้อนผ่านเลนส์แว่นตาอย่างแวววาว—
“ซ้อมอยู่เหรอ แอชลีย์”
“หืม… ไวซ์เหรอ”
แอชลีย์ อดีตผู้บริหารจากกิลด์ทหารรับจ้างนามว่า “หมาป่านรก”
ตอนนี้เป็นพ่อบ้านของเรย์เต้ และเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งกลายเป็นแฮมม้วนไปหมาดๆ
“เจ้าโดนคุณหนูเรย์เต้สั่งให้ไปนอนดีๆ ไม่ใช่หรือไง!? นี่มันละเมิดคำสั่งนะ!”
“ขออภัย ข้าแค่ไม่ชินกับการไม่ได้ฝึก เลยกะจะออกมาฟันดาบสักหน่อยก่อนจะไปนอน…”
“ข้าไม่สน! ขัดคำของคุณหนู มีโทษประหาร…!”
แอชลีย์เริ่มปล่อยคลื่นพลังบ้าคลั่ง พร้อมจะซัดเจ้าชาย
“อีกอย่าง ข้าอยากฝึกให้เก่งขึ้น… เพื่อปกป้องคุณหนูเรย์เต้”
“งั้นก็โอเค!”
จบง่ายๆ แค่นั้นเลย
แอชลีย์เป็นพวกคลั่งคุณหนูเรย์เต้แบบสุดลิ่มทิ่มประตู
ถ้าให้ทำอะไรเพื่อเรย์เต้ ต่อให้ฆ่าคนเป็นร้อย เขาก็พร้อมจะยิ้มรับได้หมด
“เหอะ เจ้าชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในประเทศมาเป็นบอดี้การ์ดเนี่ยนะ… ก็น่าอุ่นใจดีล่ะนะ ถึงข้าจะไม่ถูกชะตาเจ้าก็เถอะ แต่พลังของเจ้าน่ะ ข้ายอมรับ”
“ขอบคุณ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการยอมรับจากเจ้าขนาดนี้ หวังว่าเราจะเป็นมิตรกันได้ต่อไป”
“หึ… เจ้านี่ก็ยังพูดจริงจังแบบบื้อๆ ไม่เปลี่ยนเลยนะ…”
แอชลีย์พึมพำว่าคนแบบนี้ไม่เหมาะจะเป็นผู้นำชาติเลยจริงๆ
แต่ก็แอบยิ้มมุมปากเล็กๆ ออกมา
“ด้านการรบก็มีเจ้า ‘เจ้าชายน้ำแข็ง’ ส่วนด้านเทคนิคก็มีด็อกเตอร์ไลน์ฮาร์ท ผู้ถูกขนานนามว่าอสูรแห่งวงการวิชาการ… ตอนนี้วงในของคุณหนูเรย์เต้ก็ใกล้จะไร้จุดอ่อนแล้วสิ”
“ใช่ แล้วยังมีแอชลีย์ อดีตหนึ่งใน ‘ห้าขุนพลหมาป่านรก’ ด้วยนี่นะ”
“ชิ… ข้าน่ะห่างชั้นจากพวกเจ้าชัดๆ เรื่องพละกำลังก็สู้เจ้าไม่ได้ ด้านทักษะก็แค่ชงน้ำเสิร์ฟอาหารได้พอถูไถ ไม่มีอะไรพิเศษสักอย่าง”
พ่อบ้านพูดเหมือนกำลังสาปแช่งตัวเอง แต่ไวซ์กลับไม่เข้าใจอะไรเลย
แล้วก็เอ่ยกลับด้วยความจริงใจล้วนๆ
“ข้าไม่เข้าใจเลย เจ้าน่ะยอดเยี่ยมกว่าใครทั้งนั้น”
“หา!?”
“เจ้ามีพลังมากพอที่ข้าไม่อาจออมมือได้ แถมยังสง่างาม มีฝีมือดูแลคุณหนูเรย์เต้ให้พอใจได้ เจ้าคิดว่าตัวเองไม่มีค่าได้ยังไง?”
“อึก!?”
คราวนี้ถึงกับสะดุ้ง รับคำชมไม่ไหวเลยทีเดียว
ไวซ์ สเตรน เป็นผู้ชายที่ซื่อจนดูทึ่มและไร้มารยา
แต่ความซื่อสัตย์และจิตใจดีของเขาโดดเด่นยิ่งกว่าผู้ใด
ต่อให้แอชลีย์จะเพี้ยนหรือคลั่งแค่ไหน ไวซ์กลับมองแต่ด้านที่ดีในฐานะมนุษย์
“แอชลีย์ ข้านับถือเจ้านะ”
“!?”
“ข้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้าอย่างจริงใจ”
“!?!!?”
“เจ้ากล้าทิ้งสมาคมทหารรับจ้างสุดชั่วร้ายด้วยเจตจำนงของตัวเอง เจ้าทุ่มทั้งใจเพื่อคุณหนูเรย์เต่ และแม้แต่คิดจะจากเธอไปเพื่อความปลอดภัยของเธอ… ข้าขอนับถือในทุกอย่างนั้น”
“!?!!?!”
“ต่อไปนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ แอชลีย์”
—ด้วยพลังคำพูดสุดจริงใจที่ไวซ์ยิงใส่ไม่ยั้ง แอชลีย์ถึงกับรับไม่ไหวจนชะงักไป
“ก-แก… ทำไมพูดอะไรน่าอายแบบนั้นได้หน้าตาเฉยฟะ…!?”
“น่าอายตรงไหนกัน กับการชมเพื่อนที่ข้านับถือ?”
“กรอดดด!?”
รับไม่ไหวแล้ว! แอชลีย์ถึงขั้นระเบิดอารมณ์—
“เจ้านี่คิดอะไรกันแน่วะ! จะจีบข้าแทนที่จะไปจีบคุณหนูเรย์เต้รึไงหา!?”
เขาตะโกนใส่แบบสุดกลั้น
ส่วนไวซ์… ก็ยังงงเต็มเหนี่ยวว่ามันผิดตรงไหน
“หืม? ข้าไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษหรอก ก็แค่พูดในสิ่งที่คิดน่ะ”
“เจ้า… เฮ้อ ไม่พูดด้วยละ”
แอชลีย์ถอนใจยาว ราวกับยอมแพ้ต่อความโงซื่อของเจ้าชาย
อา… เจ้าชายคนนี้มันน่าปวดหัวชะมัด
จริงใจ แข็งแกร่ง และมีความซื่อบื้อแบบที่ทำให้ใครๆ ก็ทิ้งไม่ลง
แอชลีย์ก็เข้าใจในที่สุด ว่าทำไมพวกอัศวินกับทหารถึงได้ตกหลุมรักไวซ์กันเป็นแถว
“…เจ้าน่ะ ตรงข้ามกับซัคส์ โรอา แห่งหมาป่านรกโดยสิ้นเชิงเลยนะ หมอนั่นใช้ความเจ้าเล่ห์ ความกลัว แล้วก็การแสดงเพื่อดึงคนเข้าหา”
“อืม… ข้าคงทำแบบนั้นไม่ไหวหรอก”
“เจ้ามันพวกซื่อเกินไปจริงๆ …เอาเข้าจริงก็คล้ายกับคุณหนูเรย์เต้อยู่นะ”
แอชลีย์เงยหน้ามองฟ้าค่ำ พลางนึกถึงหญิงสาวที่เขารักยิ่งกว่าสิ่งใด
“ก็น่าจะหกปีก่อน ตอนนั้นแหละที่ข้าหนีมาอยู่ที่นี่…พอดีกับช่วงเทศกาลใหญ่ ‘งานปลอมตัวประจำปี’ นั่นล่ะ”
“หืม?”
พ่อบ้านเริ่มเล่าให้ฟัง—ว่าดินแดนฮังกาเรียในตอนนั้น ต่างจากปัจจุบันราวฟ้ากับเหว
“จะเรียกว่าไม่มีที่ให้ยิ้มก็ได้ ทั้งผู้คนก็เบาบาง รอยยิ้มยิ่งหาแทบไม่เจอ แล้วก็แทบไม่มีใครแต่งชุดอะไรออกมาเลย ซึ่งก็สมควรอยู่หรอก”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็เพราะที่นี่มันคือชายแดนสุดปลายขอบของอาณาจักรไงล่ะ ทุกวันต้องสู้กับพวกอสูรที่บุกมาจาก ‘ดินแดนไร้การสำรวจ’ อยู่ตลอด”
ใช่—จริงๆ แล้วทุกวันนี้ที่มีผู้คนและรอยยิ้มเต็มเมืองต่างหากที่แปลก
ชายแดนแบบนี้เต็มไปด้วยอันตราย การสูญเสียเพื่อนหรือครอบครัวจากสงครามเป็นเรื่องปกติ
บางทียังมีมอนสเตอร์หลุดเข้ามาในเมืองแล้วกัดกินผู้หญิงเด็กๆ อีกต่างหาก
แบบนั้นจะมีใครกล้าออกมาเฉลิมฉลองเทศกาลได้อีกล่ะ?
“ยิ่งไปกว่านั้น คู่สามีภรรยาผู้ปกครองเขตนี้ก็ดันมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในปีนั้นอีก แล้วใครล่ะที่ต้องรับช่วงต่อ? ก็ท่านเรย์เต้ที่ตอนนั้นอายุแค่สิบขวบน่ะสิ… จะไม่ให้ชาวบ้านสิ้นหวังได้ยังไงกัน”
แดนเถื่อนยังไม่พอ ยังมาได้ผู้นำเด็กอีก—เรียกว่าซ้ำเติมกันชัดๆ
“งั้นเอง… แปลกแฮะ ที่คนไม่พากันหนีออกไป”
“ไม่ใช่ไม่อยากหนี—แต่หนีไม่ได้ต่างหาก แคว้นชายแดนแบบนี้ถูกใช้เป็น ‘แดนเนรเทศ’ มานานแล้ว พวกที่ป่วยด้วยโรคประหลาด นักโทษที่พ้นโทษ หรือคนที่มีความเชื่อหรือความคิดผิดแผกจากส่วนกลาง… ราชอาณาจักรจะจดชื่อแล้วส่งตัวพวกเขามาไว้ที่นี่ทั้งนั้น”
“…ข้าไม่รู้เรื่องนั้นเลย แต่อย่างน้อยก็ควรรู้ไว้”
“เอาไว้คราวหน้าค่อยศึกษาก็ยังไม่สาย… นั่นล่ะเหตุผลว่าทำไมคนที่พลาดหรือก่อเรื่องที่อื่น ถึงได้หลบมาที่นี่กันนักหนา”
สรุปก็คือ ทุกคนที่นี่มันก็ไม่มีที่ให้ไปทั้งนั้นล่ะ—แอชลีย์พูดพลางหัวเราะหยันตัวเอง
เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ข้าเกิดในสลัม ไม่มีพ่อแม่ ต้องใช้กำลังเอาตัวรอด จนสุดท้ายก็ติดใจรสชาติของความรุนแรงเข้าเต็มๆ แล้วนั่นแหละถึงได้ไปอยู่กับ ‘หมาป่านรก’ คิดแค่ว่า… คนเลวอย่างข้า ก็ควรอยู่กับที่แบบนั้น”
แต่ทว่า—
“สิ่งที่พวกมันทำ… มันโหดเหี้ยมเกินไป ข้าก็พยายามจะสนุกด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ไหวจริงๆ จะมีใครกันที่ยิ้มได้ตอนตะบันหน้าผู้หญิงกับเด็กที่ไม่มีทางสู้จนตายต่อหน้า…?”
“…ข้าทำไม่ลงหรอก”
“ใช่ ข้าทำไม่ได้… แต่พวกที่ทำแบบนั้นได้นั่นแหละ คือสมาชิกของกลุ่ม‘หมาป่านรก’”
“แล้วในช่วงเวลานั้นเอง ข้าก็ดันได้พลัง ‘กิฟต์’ ขึ้นมา แถมยังเป็น ‘พลังต่อต้านกิฟต์’ อีกต่างหาก… แน่นอนว่าทั้งองค์กรก็ยกข้าขึ้นหิ้งกันหมด”
—กิฟต์คือพลังที่เชื่อกันว่าเทพอาริสเฟียประทานให้แก่นักรบร้อยคน เพื่อช่วยมนุษยชาติจากเหล่าอสูร
นักรบทั้งร้อยคนได้ใช้พลังพิเศษเปิดเส้นทางให้มนุษย์อยู่รอดและขยายขอบเขตอารยธรรมของมนุษย์ออกไป
แน่นอนว่าพวกเขาถูกยกฐานะเป็นขุนนางหรือราชวงศ์ และลูกหลานของพวกเขาที่สืบเชื้อสายมาก็มีแนวโน้มจะได้รับกิฟต์มากกว่าผู้อื่น
“แอชลีย์ ถ้าเจ้ามีกิฟต์ได้… แบบนี้ต้นตระกูลของเจ้าก็…”
“ก็คงมีสายเลือดขุนนางล่ะมั้ง ลูกนอกสมรสที่เกิดกับสาวใช้หรือโสเภณีอะไรทำนองนั้น”
พ่อบ้านคนนี้ยักไหล่เบาๆ อย่างกับว่าทั้งเรื่องนี่มันน่ารำคาญสิ้นดี
เพราะแบบนี้แหละ เขาถึงถูกทิ้งไว้ในสลัม แล้วยังมาได้กิฟต์อีก—ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่
“กิฟต์ของข้าเหมาะจะใช้ฆ่าพวกใช้พลังพิเศษที่เป็นไพ่ตายฝั่งตรงข้าม พอเป็นแบบนั้น ซัคส์ โรอา—หรือที่ข้าเรียกว่าซัคส์ซัง—ก็เลยเอ็นดูข้า เงินก็ให้เยอะ ข้าเองที่โตมาในสลัมจนติดนิสัยยาจก ก็เลยอยู่รับใช้มันไปตั้งหลายปี”
สุดท้าย แอชลีย์ก็ขาดความกล้าที่จะหนีออกมา
ซึ่งก็ไม่แปลกเลย
ในฐานะผู้มีพลังพิเศษอันหาได้ยาก องค์กรยิ่งดูแลเขาราวกับของล้ำค่า และสำหรับเด็กกำพร้าที่ขาดความรักอย่างเขา—การได้รับการเอาใจใส่แบบนั้น มันคือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันมาโดยตลอด
“ซัคส์ซังมันฉลาดมากเลยนะ พอเห็นข้าเริ่มมีท่าทีต่อต้านองค์กร มันก็จะคว้าเหล้าดีๆ มาชวนดื่ม ‘มาชนหน่อยสิ’ ทำตัวเหมือนพี่ชายหรือพ่อยังไงยังงั้น”
เหมือนเอาน้ำอุ่นราดลงบนถ่านร้อนที่กำลังปะทุ… หรือไม่ก็ยัดยาพิษให้คนป่วยที่เพิ่งจะฟื้นตัว
แบบนั้นแหละ ข้าถึงได้ติดอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะกับตัวเองเรื่อยมา… จนกระทั่งวันหนึ่ง—มันก็ถึงขีดสุด
“มันถึงตอนที่ข้าทนไม่ได้แล้วจริงๆ …ตอนที่เห็นซัคส์ซังพยายามฆ่าเด็กกำพร้าเหมือนข้า… ข้าก็ระเบิดโทสะขึ้นมาทันที มันช้าไปมากก็จริง เพราะข้าเองก็เคยฆ่าคนในสนามรบมานักต่อนักแล้ว”
“จากนั้นเจ้าก็หนีมาที่นี่สินะ”
“ใช่ ถูกซัคส์ซังอัดจนเกือบตาย หนีมาแบบร่อแร่สุดๆ เลยล่ะ”
แอชลีย์หัวเราะแห้งๆ ขึ้นมา พูดให้ถูก…เขากับเจ้าชายนี่ก็คือ “เหยื่อเกือบตายจากซัคส์” เหมือนกันสินะ
“แน่นอนว่าคนที่นี่ก็ปล่อยให้ข้าตายไปนั่นแหละ ใครจะมีเวลามาสนใจคนหน้าโจรอย่างข้าได้ล่ะ ทุกคนทำเป็นไม่เห็น กลัวจะซวยไปด้วย”
ข้าเลยนอนแน่นิ่งอยู่ในเงามืด ปล่อยให้ชีวิตมันดับไปเงียบๆ
“เหมือนได้ย้อนกลับไปตอนอยู่ในสลัมเลย ต่อให้ข้าจะบาดเจ็บหรืออ่อนแรงแค่ไหน ก็ไม่มีใครชายตามอง ทุกคนเดินผ่านหน้าไปแบบไม่สนใจ… มันเศร้า… แล้วก็ทรมานมากเลยล่ะ”
ชีวิตนี้มันมีความหมายอะไร?
ฆ่าคนมามากมายโดยไร้ค่า หนีก็ไร้จุดหมาย แล้วจะจบชีวิตอย่างไร้ความหมายอีกงั้นเหรอ?
ในห้วงความสิ้นหวังนั่น แม้ยามสนธยาจะลับลง ไม่มีใครยื่นมือมา… จนกระทั่งเข็มนาฬิกาชี้เที่ยงคืน
เสียงระฆังจากหอนาฬิกากลางเมืองดังก้องขึ้น
เป็นสัญญาณปิดฉากวันสิ้นสุด ‘เทศกาลปลอมตัว’ และ…เป็นช่วงที่ชีวิตของแอชลีย์กำลังจะดับสิ้นลง
“แล้วตอนที่ข้ากำลังจะหลับตาลง… เป็นครั้งสุดท้าย…”
ในยามที่ชายผู้มีชีวิตหม่นหมองกำลังจะหมดลมหายใจ—
“ราชินีแห่งความชั่วร้าย—ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า”
MANGA DISCUSSION