—หลายวันหลังจากศึกดวลที่แทบลบ “ป่ามรณะ” ออกจากแผนที่
ฉันกำลังจิบชาชั้นดีอย่างสง่างามอยู่ในสวนของคฤหาสน์
“อืม… ยังไม่เป๊ะนะ อุณหภูมิตอนแช่คงสูงไป กลิ่นของชาเลยบินหายหมด”
“งั้นรึ ชามันซับซ้อนกว่าที่คิดแฮะ”
ไวซ์คุงหน้านิ่งเช่นเคย แต่ดูจ๋อยๆ ยังไงไม่รู้
ใช่แล้ว—ชานี่ไวซ์เป็นคนชงเองเลยนะ
แต่ก่อนหน้าก็เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านแอชลีย์น่ะแหละ
แต่ตอนศึกดวลนั้น เขาโดนดาบผ่าโลกของเจ้าชายเข้าไป…
“ช่างงุ่มง่ามเสียจริง! อย่าทำให้คุณหนูเรย์เต้ต้องทนดื่มชาชุ่ยๆนะเฟ้ย!!”
ใช่ค่ะ ยังไม่ตาย—กลับมาพร้อมพลังเต็มเปี่ยมอีกต่างหาก
แอชลีย์—พ่อบ้านสายแว่นสุดโรคจิต อดีตแก๊งใต้ดินสุดวิปริต กำลังบ่นลั่นด้วยท่าทีฉุนเฉียว
ไม่มีแม้แต่รอยถลอก แถมยังแข็งแรงจนน่าหมั่นไส้อีกต่างหาก
ก็…จะว่าอย่างนั้นซะทีเดียวก็ไม่ถูกหรอกนะ
“แข็งแรงผิดคาดเลยนะคะ แอชลีย์”
“แน่นอนครับ ผมทำงานอย่างกับได้เกิดใหม่เลยล่ะครับ… ในความหมายตรงตัวเลยด้วย”
เขาพูดพร้อมรอยยิ้มสดใสราวกับเพิ่งฟื้นจากนรก
ย้อนกลับไปวันนั้น—เขาโดนดาบของไวซ์คุงแบบเต็มๆ แน่นอนว่าไม่มีคำว่า “ปลอดภัย”
ด้วยพลังลบล้างของเขา เขาเลยไม่กลายเป็นขี้เถ้า
…แต่ก็โดนเผาจนไหม้ทั้งตัว แขนขาก็ขาดหมด—เหลือแค่แฮมหนึ่งก้อนนั่นล่ะ!!!
—ดูไปดูมาเหมือนแฮมคริสต์มาสไหม้ ๆ ยังไงยังงั้น
ที่รอดกลับมาได้เพราะใช้ “เขาแห่งยูนิคอร์นศักดิ์สิทธิ์” ฟื้นพลังให้—ของวิเศษชิ้นเดียวกับที่เคยช่วยไวซ์กับพวกไว้ได้ทั้งกลุ่มนั่นแหละ
จะตายทีก็ช่วยทำคู่มือส่งต่องานไว้ด้วยนะยะ! จะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นกันทีหลัง!
“ขออภัยอีกครั้งครับ คุณหนู… ผมช่างดูแคลนความใจกว้างของคุณหนูเหลือเกิน”
แอชลีย์ (อดีตแฮมคลุกฝุ่น) ก้มโค้งศีรษะอย่างสำนึกผิด
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณหนูยังยอมให้ผมอยู่ต่อ ทั้งที่รู้ว่าผมเคยเป็นถึงผู้บริหารกลุ่ม ‘หมาป่านรก’ น่ะครับ”
“เอ่อ… ก็… แบบว่า…”
พูดกันตรง ๆ ฉันเองก็เริ่มเสียใจอยู่นิด ๆ แล้วล่ะ……..
ลองคิดดูสิ ลูกน้องเป็นอดีตอาชญากรแถมยังเป็นไอ้แว่นโรคจิตเนี่ยนะ!?
ในเขตนี้ ขอมีแค่วายร้ายอย่างฉันคนเดียวก็พอแล้ว!
แต่ก็เข้าใจได้… วันนั้นฉันก็หลุดคอนโทรลไปไม่น้อย
ถ้าคิดแบบเอาตัวรอดจริงๆ ฉันควรจะถีบทั้งหมอนี่กับเจ้าชายออกจากชีวิตไปให้พ้นๆ
แต่ก็นะ…
“ข้าคือเรย์เต้ผู้ยิ่งใหญ่! สิ่งใดที่ข้าตัดสินใจแล้วนั้น—ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!!!… จากนี้ก็รับใช้ฉันต่อไปซะ แอชลีย์!”
“ด้วยความยินดีครับ! ทั้งชีวิตและพรหมจรรย์ ผมขอยกให้คุณหนู!!!”
“ขอแค่ชีวิต! พรหมจรรย์ไม่ต้องเฟ้ยยยย!!!”
พ่อบ้านโรคจิตคนเดิม เพิ่มเติมคือน่าถีบขึ้นทุกวัน
แต่ก็เก่งแหละ… ยกโทษให้ก็ได้
“ที่สอนเจ้าชายที่มีแต่สกิลต่อสู้อย่างไวซ์คุงให้ชงชาได้—ถือว่าฝีมือไม่เลวนี่นา เก่งมากๆ”
“อุฮิฮิฮิฮิ!!!”
ดีใจได้หลอนมาก
เริ่มอยากไล่ทิ้งขึ้นมาแล้วค่ะ…
“ฮึ่ม … ฟังให้ดีนะไวซ์ ตั้งแต่แกกลายเป็นบอดี้การ์ดของคุณหนูแล้ว แกต้องอยู่ข้างเธอ ‘ทั้งวันทั้งคืน’ ทำทุกอย่างให้คุณหนูพอใจให้ได้ เข้าใจไหม?”
“อา เข้าใจแล้วแอชลีย์ ข้าจะเป็นผู้ชายที่ทำให้เธอพอใจ ‘ทั้งกลางวันกลางคืน’ ให้ได้!”
“เดี๋ยว! แกพูดบ้าอะไรฟะ!? ไม่ต้องไปทำให้เธอพอใจตอนกลางคืนนะเฟ้ยย!!”
“หืม? ‘กลางวันกลางคืน’ มันก็หมายถึงแค่ตอนพระอาทิตย์ขึ้นถึงตกไม่ใช่เหรอ?”
ขอแจ้งไว้ตรงนี้เลย… ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้เรียกว่าซับซ้อนขั้นวิกฤต
ฝั่งหนึ่งคือพ่อบ้านโรคจิตขี้วีน ส่วนอีกคนคือเจ้าชายสายซื่อหลุดโลก
คู่นี้ทะเลาะกันประจำ เพราะคุยกันแล้วไม่เคยเข้าใจตรงกันสักที
“โอ๊ยพอได้แล้วสองคน หยุดเถียงกันได้แล้ว!”
“คุณหนูครับ! คุณต้องการให้ใครทำให้คุณพอใจยามค่ำคืนครับ—ผมหรือไวซ์!?”
หุบปาก!ไอ้แฮมคริสต์มาส!!
“ว่าแต่คุณหนูครับ ทำไมแอชลีย์ต้องโกรธด้วยล่ะ? คำว่า ‘ทำให้พอใจ’ มันก็แค่นวดไหล่ไม่ใช่เหรอ? ทำตอนกลางคืนไม่ได้เหรอ?”
“อะ ฮะฮะฮะ ใช่เลย ไวซ์คุง… เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆเถอะนะ!!”
…รอบตัวชักจะป่วนขึ้นเรื่อยๆ ละนะ แต่เอาเถอะ ดีกว่านั่งจ๋อยเงียบๆ แหละ
“เฮอะ… แกยังไม่เข้าใจสินะไวซ์ ที่ควรนวดมันไม่ใช่ไหล่หรอก… แต่เป็นส่วนที่พักนี้ดันโตขึ้นเรื่อยๆ ของคุณหนูเรย์เต้ต่างหาก…”
“เฮ้ย อย่าทำไวซ์คุงแปดเปื้อนนะ ไอ้พ่อบ้านโรคจิต …เอาล่ะ สองคนนั้น—ฟังให้ดี”
จะปล่อยให้คุยกันเรื่อยเปื่อยก็ไม่ไหว ฉันเลยตัดบทแล้วประกาศเลยละกัน!
“ที่ดินแดนฮันกาเรียของเรา กำลังจะมี ‘เทศกาลปลอมตัวครั้งใหญ่’ ในเร็วๆ นี้แล้วนะ”
“ตั้งแต่วันนี้ไป พวกคนรับใช้ทุกคนต้องช่วยชาวบ้านเตรียมร้านและตัดชุดสำหรับงานด้วยล่ะ เข้าใจนะ”
”รับทราบครับ!”
พ่อบ้านจิตหลุดตอบรับอย่างกระฉับกระเฉง ส่วนเจ้าชายกลับเงยหน้ามาด้วยสีหน้าหลงทางสุดฤทธิ์ อะไรของนายอีกล่ะ?
“ขอโทษนะคุณหนูเรย์เต้… แต่ ‘เทศกาลปลอมตัว’ นี่มันคืออะไรเหรอ?”
“หาาา!? เทศกาลเก่าแก่ที่ทำกันมาตั้งแต่ยุคแรกของฮันกาเรียเลยนะยะ!?”
นี่มันเทศกาลประจำถิ่นตั้งแต่ยุคบุกเบิกแคว้นเลยนะ
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อเลยด้วยซ้ำ
เป็นถึงเจ้าชาย อย่างน้อยก็น่าจะเคยได้ยินชื่อบ้างแหละน่า
คนที่จะเป็นผู้ปกครองทั่วแผ่นดินในอนาคต—มันควรจะต้องรู้งานประจำแคว้นทุกแคว้นไม่ใช่เหรอ
“ทำไมไม่รู้!? อย่าบอกนะว่าคิดว่าบ้านนอกอย่างที่นี่มันไม่มีค่าพอให้จำ!?”
“เปล่านะ ไม่ใช่แบบนั้นเลย”
“งั้นทำไมล่ะยะ!?”
เรย์เต้จังโกรธแล้วนะคะ!! แค่รู้สึกเหมือนถูกเรียกว่าบ้านนอกก็น้ำโหแทบระเบิดแล้ว!!
”ไอ้ไวซ์คุง! รีบหาข้อแก้ตัวที่ฉันพอใจมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”
“ก็ได้ๆ… ฟังนะ ที่จริงข้าน่ะ… จำข้อมูลทุกดินแดนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
…เหะ?
ทุกดินแดน?
ทั้งหมด…เลยหรอ?
“หา… เดี๋ยวสิ ว่าไงนะ? ไม่รู้อะไรสักที่เลยเรอะ!?”
“ตอนเป็นเจ้าชาย ข้าก็ถูกสั่งให้เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมกับเทศกาลของแต่ละพื้นที่แหละนะ…”
“แต่หัวข้ามันไม่รับอะไรเลย… แล้วยิ่งซ้อมดาบยี่สิบชั่วโมงต่อวัน ก็หลุดหมดทั้งสติและความจำแล้วล่ะ…”
“งั้นหยุดซ้อมดาบซะทีเซ่ ไอ้เจ้าชายบ้า!!!”
ชมรม “ฝึกโหดจนหลับดับสติ” กลับมาอีกแล้วววววว!!
เจ้าชายคนนี้นอกจากจะฟาดดาบระเบิดได้แล้ว ดูเหมือนจะระเบิดเซลล์สมองตัวเองไปครึ่งนึงด้วยแน่ ๆ!!
“ตอนนี้ไม่ได้ฝึกโหดขนาดนั้นแล้วล่ะ เพราะข้าต้องอยู่ข้างคุณหนูตลอดนี่นา”
“อา… ฟังแบบนี้ค่อยเบาใจหน่อย…”
“แต่ตอนที่เธอหลับ ข้าก็ยังซ้อมดาบอยู่นะ”
“งั้นก็ไปนอนซะทีเซ่ ไอ้บ้าดาบ!!!”
ไวซ์คุงนี่แทบจะติดฉันเป็นเงา 24 ชั่วโมงเลยนะ
แปลว่าเขาแทบไม่ได้นอนเลยน่ะสิ…!
“โอ้… เจ้าชายผู้น่าสงสารของฉัน…”
ได้พลังดาบระเบิดมาก็จริง… แต่ดูเหมือนสมองจะระเบิดตามไปด้วย
นี่สินะ…ราคาของความแข็งแกร่ง คือการสละความเป็นคน…
มนุษย์เราต้องละทิ้งความเป็นคนขนาดนี้เลยเหรอ เพื่อจะได้มาซึ่ง ‘ความแข็งแกร่ง’…?
ฉันดันมาเข้าใจ “ความโหดร้ายของการแสวงหาความแข็งแกร่ง” ในฉากแบบนี้เนี่ยนะ!?
นี่มันฉากพัฒนาจิตใจของฉันรึไงฟะ!? ใครเขียนบทฉันเนี่ย!?!
“ว่าแต่ เทศกาลปลอมตัวนี่มันคืออะไรกันแน่ล่ะ? ข้าจะพยายามจำให้ได้เลย”
“จ้ะ พยายามจำให้ดีเลยนะ… แล้วเดี๋ยวคุยจบเรามานอนกลางวันด้วยกันเลยนะคะ ~♥”
พูดแค่นั้น (ไม่รู้ทำไมกิฟต์ “หิมะนิรันดร์สวรรค์” ของไวซ์คุงถึงสว่างจ้าจนทำพ่อบ้านตาบอดข้างหนึ่งไปชั่วคราว)… แต่เอาเหอะ ปล่อยผ่าน
ฉันจึงเริ่มอธิบายเรื่องเทศกาล
“‘เทศกาลปลอมตัว’ ก็ตรงตามชื่อเลย คือเทศกาลที่ทุกคนจะแต่งตัวกันหลุดโลกตามใจชอบแล้วก็สนุกกันให้เต็มที่”
“ใส่ชุดบ้าแค่ไหนก็ได้ แล้วก็เมาแหลกเต้นยับกันยันเที่ยงคืน!”
“อืม…”
“จริงๆ แล้วเทศกาลนี้มีต้นกำเนิดจากตำนานของผู้นำรุ่นแรกแห่งฮันกาเรียล่ะ”
“บรรพบุรุษของฉันเป็นพวกสายบู๊สุดๆ คุมกองทัพออกไปฟัดกับมอนสเตอร์ด้วยตัวเองเลยนะ”
“แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็ถูกฝูงมอนสเตอร์ในป่ามรณะถล่มยับเยิน จนกองทัพโดนฆ่าเรียบ”
“…อืม” (ยังคงตอบด้วยคำเดียวเหมือนเดิม)
“แต่เดี๋ยว—ตรงนี้แหละที่สนุก!”
“บรรพบุรุษของฉันเหลือรอดแค่คนเดียว แถมยังอยู่กลางแดนศัตรูแบบสุดๆ ไม่มีใครให้พึ่งพาเลย”
“แล้วรู้มั้ยเขาทำยังไง? เขาไปเจอศพโทรลลหมูป่า แล้วก็ถลกหนังมันมาคลุมตัว ทำทีเป็นมอนสเตอร์!”
“ด้วยวิธีนั้น เขาก็เดินทะลุป่ากลับมาแบบเนียนๆ เลยล่ะ~”
“…อืมม…”
“เพราะงั้น เทศกาลปลอมตัวก็เลยเริ่มมาจากการ ‘แต่งเป็นมอนสเตอร์’ นี่แหละ”
“แต่ผ่านไปสองร้อยปี มันก็แปรสภาพเป็น ‘จะแต่งอะไรก็ได้’ จะปลอมตัวหรือใส่ชุดเมดก็ไม่มีใครว่าไปเรียบร้อยแล้ว!”
ฉันเองก็ไม่ได้หัวแข็งอะไร และจะให้ใส่ชุดสยองขวัญก็ไม่ใช่แนว… อยากดูอะไรน่ารักสดใสซะมากกว่า
เพราะงั้น ใครอยากแต่งยังไงก็ปล่อยเลยจ้ะ
“เรียบร้อย~ สรุปเรื่องเทศกาลจบแล้วนะ ไวซ์คุงจำได้หมดมั้ย?”
“…อืม จำได้สิ เพราะว่าเป็นคำพูดของเธอ ข้าก็เลย… พยายามจำให้หมดทุกคำ…”
“ถึงตอนนี้สมองจะใกล้ทะลักออกจากหัวแล้วก็เถอะ… แต่ข้าจะทนไว้!”
…ไวซ์คุงทำหน้าทรมานสุดชีวิต
ถึงขั้นเอามืออุดหูแน่น คงพยายามกักความรู้ไว้ไม่ให้ไหลออกจากรูหูเลยทีเดียว…
ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรเยอะขนาดนั้นเลยนะ…
“ไวซ์คุง งั้นตอนบ่ายเรามานอนพักกันดีไหมคะ…”
”… ฉันจะนั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วลูบท้องกล่อมให้นายหลับเอง… ขอร้องล่ะ พักสมองหน่อยเถอะ…”
เพราะเขาดูน่าสงสารเกินไป ฉันเลยเผลอพูดออกไปแบบนั้น
ไวซ์คุงตอบว่า “ขอบคุณ” ด้วยหน้าไร้อารมณ์… แต่ตัวเขากลับเปล่งแสงจ้าแบบไม่ได้ขอ
อย่าทำแบบนั้นได้ไหม มันแสบตาโว้ย!
แล้วก็…
“อ๊ากกก ตาช้านนน!! สมองก็จะแตกแล้วววว!!”
ฉันหันไปมองพ่อบ้านโรคจิตที่ตอนนี้กลิ้งอยู่กับพื้น พลางละเมอว่า “คุณหนูทำตัวเป็นหม่าม๊าาา…!”
ฉันถอนหายใจ ใส่ความน่าสงสารอีกแบบของหมอนี่ แล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้…
ว่าไปแล้ว… ตอนที่ฉันเก็บแอชลีย์มาเลี้ยง ก็เป็นวัน ‘เทศกาลปลอมตัว’ นี่นา
===================================================================
・ตอนหน้า: มุมมองของไวซ์คุง & แฮม !
MANGA DISCUSSION