ขณะที่ฉันเฝ้าดูสถานการณ์โดยรวมๆ กองทัพริปเปอร์ของฉันก็บุกโจมตีพื้นที่ทางเหนือและทางใต้ของอาณาจักร กลยุทธ์การโจมตีแต่ละครั้งก็เหมือนกัน นั่นคือ กองทัพดิกเกอร์จะทำลายประตู ทำให้ไม่สามารถรับมือกับกองทัพริปเปอร์ที่บุกเข้ามาในเมืองได้
เหล่าอารัคเนได้ชูธงแห่งการนองเลือด ประกาศคำขวัญแห่งการสังหารหมู่ และลงมือสังหารอย่างรวดเร็ว
Veni, vidi, vici. (ข้ามา ข้าเห็น ข้าพิชิต)
กองทัพริปเปอร์ได้สังหารทหารและชาวเมืองโดยไม่ปรานีแม้แต่น้อย และกองทัพเวิคเกอร์ก็ได้รวบรวมศพทั้งหมดไว้ในที่เดียว ตอนนี้เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำ
“ได้เวลาทำลูกชิ้นแล้ว” ฉันบอกกับเหล่าเวิคเกอร์
“ลูกชิ้น?” หนึ่งในเหล่าอารัคเนถามออกมา
“ใช่ เหมือนกับในเกมใช่ไหม ที่เปลี่ยนซากศพทั้งหลายให้กลายเป็นลูกชิ้น เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขนไปที่เตาปฏิกรณ์ และยังไม่สิ้นเปลืองพื้นที่อีกด้วย”
“ท่านต้องการให้เรารวบรวมศพเป็นก้อนกลมหรือ? เข้าใจแล้ว เราจะเริ่มในไม่ช้านี้”
“ขอบคุณนะ!”
เห็นได้ชัดว่าเหล่าเวิคเกอร์เข้าใจคำขอของฉัน พวกมันจัดการกับร่างของเหยื่อโดยเปลี่ยนให้กลายเป็นเนื้อสับด้วยกรงเล็บและเคียว เสื้อผ้าและชุดเกราะของเหยื่อได้ถูกผสมรวมกับน้ำลายของเวิคเกอร์เพื่อยึดติดเข้าด้วยกันในขั้นตอนสุดท้าย
ในบรรดาศพมีช่างตัดเสื้อและคนขายเนื้อที่ฉันไปเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับการตายของพวกเขาเลย นี่คือสงคราม เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการสูญเสียชีวิต
นี่เป็นแนวคิดของจิตส่วนรวมหรือไม่? ตอนนี้จิตสำนึกของฉันถูกควบคุมโดยส่วนรวมอย่างสมบูรณ์แล้วหรือไม่? ฉันถูกครอบงำโดยเจตนาของเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อนที่มองว่าเผ่าพันธุ์อื่นเป็นเหยื่อที่จะถูกกลืนกินหรือไม่?
ไม่เลย ช่างตัดเสื้อและคนขายเนื้อทำให้พวกเอลฟ์กลายเป็นปีศาจ โดยเรียกพวกเขาว่าคนป่าเถื่อน… และที่แย่กว่านั้นคือ เป็นเพราะความเกลียดชังที่ไร้เหตุผลและเรื่องซุบซิบไร้สาระของพวกมัน อาณาจักรมาลุกจึงได้รวบรวมกองทัพเพื่อโจมตีพวกเอลฟ์ตั้งแต่แรก
พวกเขาเป็นคนเริ่มสงครามนี้ขึ้น ฉันเพียงแค่สนองความต้องการเหล่านั้นเท่านั้น
ฉันแน่ใจว่าหากฉันปล่อยให้พวกมันใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตามลำพัง ไม่นานพวกเขาก็คงโจมตีพวกเอลฟ์อีกครั้ง—หรือบางทีอาจรวมถึงพวกเราด้วย
ขณะที่ฉันกำลังนั่งครุ่นคิด เหล่าเวิคเกอร์ก็ยังคงทำเนื้อสับต่อไป เมื่อพวกมันทำเสร็จแล้ว พวกมันก็แบ่งเนื้อสับออกแล้วห่อเป็นก้อนกลมๆ จากนั้นก็เสร็จสมบูรณ์ เหล่าเวิคเกอร์เรียกเนื้อสับเหล่านี้ว่าลูกชิ้นศพ ดังนั้นคำนี้จึงน่าจะถูกต้องกว่าที่จะใช้ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่สำคัญหรอกใช่ไหมล่ะ?
“องค์ราชินี ขั้นตอนต่อไปคือ?”
“ใส่ลงไปในเตาปฏิกรณ์แค่สองในสามจากทั้งหมด เตาปฏิกรณ์อันใหม่สร้างมันเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“พะยะค่ะ การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์”
อาณาจักรมาลุกนั้นใหญ่โตจนน่ารำคาญ และการต้องเดินทางไปกลับฐานของเราในอุโมงค์ทุกครั้งก็ใช้เวลานานเกินไป ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการบุกโจมตี
ในเรื่องนี้อารัคเนเป็นกลุ่มที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกลยุทธ์ประเภทนี้ การผลิตกองทัพริปเปอร์นั้นราคาถูกและรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่าสามารถรวบรวมกองทัพขนาดใหญ่ได้ในช่วงต้นเกม กล่าวได้ว่ากองทัพริปเปอร์มีประสิทธิภาพในช่วงต้นเกม
ยูนิตเหล่านี้มีอายุสั้นและสามารถพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดายโดยยูนิตอื่นๆที่ผ่านการพัฒนาในช่วงท้ายเกม
อาณาจักรมาลุกนั้นใหญ่โต และจำนวนกองทัพของเราในปัจจุบันไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมทั้งหมด ฉันตั้งใจจะทำลายทุกสิ้งทุกอย่างลงไปตั้งแต่หมู่บ้านที่เล็กที่สุด ซึ่งจะต้องใช้จำนวนที่มาก เพื่อจุดประสงค์นั้น ฉันจึงตัดสินใจสร้างฐานทัพขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งปลูกสร้างขั้นต่ำของฐานทัพขนาดเล็ก เตาปฏิกรณ์สำหรับผลิตยูนิต และโกดังสำหรับเก็บเนื้อหรือทรัพยากร
เราตั้งฐานขนาดย่อมๆขึ้นหนึ่งแห่งโดยมีสิ่งที่จำเป็นเพียงเล็กน้อยตรงจัตุรัสกลางเมืองลีน เราจะใช้สถานที่นี้เพื่อผลิตอารัคเนเพิ่มเติมเพื่อส่งออกไปยังแนวหน้า
โดยปกติแล้วฉันจะไม่ลำบากมากขนาดนี้สำหรับการบุกโจมตีของกองทัพริปเปอร์ ซึ่งคุณต้องเสี่ยงทุกอย่างกับความเร็ว พูดง่ายๆ ก็คือ ศัตรูมีศักยภาพที่จะต้านทานการบุกโจมตีในครั้งนี้ ดังนั้น ฉันจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ศัตรูมีกำแพง และสามารถเรียกสิ่งมีชีวิตทรงพลังอย่างทูตสวรรค์ตัวนั้นออกมาได้
พูดถึงเรื่องนั้น ฉันสาบานว่าฉันรู้จักทูตสวรรค์นั้นจากที่ไหนสักแห่ง ฉันจำได้แน่นอนว่าฉันเคยฆ่าทูตสวรรค์แบบนั้นครั้งหนึ่ง… แต่ช่างเถอะ
ไม่ว่าศัตรูจะออกมาต้อนรับเราหรือเราจะเดินทัพเข้าหาพวกมัน เราก็ต้องเหยียบย่ำพวกมันให้สิ้นซาก กองทัพริปเปอร์จะบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นเนื้อสับและเปลี่ยนพื้นดินที่พวกมันเหยียบย่ำให้กลายเป็นทะเลเลือดอันแสนโหดร้าย
“เตาปฏิกรณ์ทุกเตาผลิตริปเปอร์”
ฉันเคยคิดที่จะผลิตยูนิตระดับกลาง แต่ตอนนี้ตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปที่ริปเปอร์แทน พวกมันเป็นยูนิตที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดที่ โดยที่ดิกเกอร์เป็นอันดับสอง การผสมยูนิตที่เคลื่อนที่ช้าลงไปอาจทำการให้การโจมตีล่าช้าลงพอสมควร และตอนนี้ยังมีความล่าช้าอยู่นิดหน่อย
อย่างที่ฉันได้กล่าวไปแล้ว ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบุกโจมตี ฉันต้องกำจัดศัตรูให้หมดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกมันจะมีเวลาจัดการกับเรา
“ฐานทัพทางเหนือและใต้สร้างเสร็จแล้ว และขณะนี้กำลังผลิตกองทัพริปเปอร์จำนวนมาก ในเร็วๆ นี้จะมีพวกมันถึงแสนตัว… ถ้าฉันเล่นเกมนี้บนพีซี มันอาจจะทำให้เครื่องร้อนเกินไปและปิดตัวลง”
กองทัพริปเปอร์ยังได้เอาชนะกองทัพทางเหนือและทางใต้ด้วย โดยกลืนกินผู้อยู่อาศัยเพื่อเพิ่มกำลังพลให้มากขึ้น จิตสำนึกของฉันเชื่อมโยงกับฝูงริปเปอร์มากกว่า 100,000 ตัว และฉันรู้สึกได้ถึงสัญญาณของพวกมันในจิตสำนึกส่วนรวมที่แผ่กระจายไปทั่วสมองของฉัน
“กองทัพริปเปอร์จะออกเดินทางเป็นกลุ่มๆ ละ 50 ตัว และโจมตีเป็นระลอก ฉันจะสอนพวกมันให้รู้ว่าการจู่โจมของกองทัพริปเปอร์นั้นน่ากลัวแค่ไหน แสดงให้เห็นว่าพวกมันจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า และทำลายแม้แต่ป้อมปราการที่แข็งแกร่ง”
จิตสำนึกส่วนรวมนั้นสะดวกสบายอย่างแน่นอน ฉันไม่จำเป็นต้องขยับนิ้วเลย คำสั่งของฉันเกิดขึ้นทันที เหมือนกับตอนที่ฉันเล่นเกม มันทำให้ฉันสังเกตทุกอย่างราวกับว่ากำลังมองจอมอนิเตอร์ ซึ่งช่วยให้ฉันคิดกลยุทธ์ที่ดีที่สุดออกมาได้
“เซริเนียน มาที่แนวหน้ากับฉันหน่อย ฉันอยากดูสถานการณ์ด้วยตนเอง”
“พะยะค่ะ ราชินี แต่จะดีกว่าไหมถ้าพระองค์อยู่ต่อที่ปลอดภัย”
อืม เธอมีเหตุผล ฉันไม่ได้มีประโยชน์มากนักในแนวหน้าของการต่อสู้ ถ้ามีอะไรเกิด ฉันเป็นตัวถ่วงอยู่แน่ๆ ยูนิตของอารัคเนคือกำลัง ส่วนราชินีคือสมอง
“ยังไงก็ตาม ฉันก็อยากไป ฉันอยากเห็นว่าฉันทำอะไรลงไปด้วยตาของฉันเอง”
ฉันตัดสินใจที่จะไปในที่สุด ฉันต้องเป็นพยานในสิ่งที่ฉันได้ทำ การมองสิ่งต่างๆ ผ่านจิตสำนึกส่วนรวมนั้นไม่เพียงพอ
“หากนั่นเป็นความประสงค์ของท่าน ข้าจะปกป้องท่านด้วยชีวิต”
“ฉันคิดว่าเป็นอย่างนั้น”
แนวหน้าอาจมีศพเกลื่อนกลาด จากนั้นศพเหล่านั้นจะถูกนำไปยังฐานทัพด้านหน้า ซึ่งศพเหล่านั้นจะถูกนำไปทำเป็นลูกชิ้นเพื่อให้กำเนิดริปเปอร์ตัวใหม่
ฉันจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นสิ่งนั้น ฉันจะเสียใจกับการกระทำของฉันไหม ฉันจะสงสารมันไหม ฉันจะรู้สึกผิดกับมันไหม ความรับผิดชอบทั้งหมดนี้จะหนักอึ้งอยู่ในจิตสำนึกของฉันมากไหม
เป็นไปไม่ได้ ฉันรู้ดีว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะองค์ราชินี”
ฉันเดินเคียงข้างเหล่าอารัคเนและเซริเนียนที่น่ารักของฉัน ฉันสัญญากับพวกมันไว้ว่าจะนำทางพวกมันไปสู่ชัยชนะ ความเสียใจ ความเมตตา และความรับผิดชอบทางศีลธรรมไม่มีอยู่ในใจฉันเลย ถ้ามีสิ่งใดที่กดดันฉัน ก็คือความกลัวว่าฉันอาจไม่สามารถนำทางพวกมันได้อย่างเหมาะสม
อารัคเนจะสามารถเอาชนะภายใต้การนำของฉันได้ไหม?
ไม่ การร้องขอนั้นไม่มีประโยชน์ ฉันจะพิสูจน์ว่าฉันทำได้ ถ้ามีใครทำได้ ก็คือฉัน ดังนั้นฉันจะทำมันให้สำเร็จ ไม่ว่าฉันจะต้องเสียเลือดไปมากเพียงใด การที่ฉันสูญเสียลูกๆ เหล่านี้ไปก็เท่ากับว่าจะต้องสูญสิ้นไปจากฉันอย่างแน่นอน
“เซริเนียน ฉันจะไม่แพ้ ฉันจะพิสูจน์ว่าฉันสามารถเอาชนะได้ ไม่ว่าฉันจะเจอกับอะไรหรือกับใครก็ตาม”
“พะยะค่ะ องค์ราชินี พวกเราจะติดตามพระองค์ไปทุกหนทุกแห่ง”
และแล้วพวกเราก็ออกเดินทางสู่แนวหน้า หัวใจของฉันพองโตไปด้วยความมุ่งมั่น
————————————————————-
“โถ่โว้ยยย! มีใครอธิบายได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?!”
กษัตริย์อีวานที่ 2 ทรงเดือดดาลขณะทรงประชุมกับสมาชิกสภาในพระราชวังที่เมืองซิกเลีย กษัตริย์ทรงคิดว่าพวกเขาส่งกองทัพไปทำภารกิจง่ายๆ เพื่อกำจัดเอลฟ์และกองกำลังรุกคืบของนีร์นัล พระองค์ยังทรงอนุญาตให้ใช้กำลังพลที่มากถึง 15,000 นายเพื่องานนี้ด้วย
นอกจากนี้ โอมาริเริ่มพูดถึงงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่พวกเขาจะต้องจัดขึ้นเพื่อชัยชนะในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
แต่ไม่นาน ความกระตือรือร้นของพวกเขาก็ถูกทำลายลง
ในตอนแรก พวกเขาสูญเสียการติดต่อทั้งหมดกับกองทหารรักษาการณ์ฝั่งตะวันออก 15,000 นาย และมีการคาดเดาว่ากองกำลังของพวกเขาถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัวจนไม่มีการติดต่อใดๆเลย
จากนั้นกษัตริย์และสมาชิกสภาของพระองค์ก็เริ่มได้รับรายงานจากทั่วทุกสารทิศว่าพวกมอนสเตอร์โจมตีเมืองและหมู่บ้านของพวกเขา ดูเหมือนว่าศัตรูจะโจมตีกองกำลังอาสาสมัครและทหารด้วยจำนวนที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไม่มีรายงานแม้แต่รายงานเดียวว่าได้รับชัยชนะที่พระราชวัง
“เกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรของฉัน โอเดฟสกี้?!”
“เอ่อ ข้าพเจ้าไม่ทราบจริงๆ ขอรับท่านลอร์ด ตอนนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจนเลย” โอมาริตอบด้วยความกังวล
“คนส่วนมากที่เราส่งไปสืบสวนยังไม่กลับมา และคนที่กลับมาได้ก็กลัวเกินกว่าจะพูดถึงสิ่งที่เห็น”
“คุณกำลังบอกว่าพวกจักรวรรดินีร์นัลบุกโจมตีอย่างเต็มรูปแบบหรือเปล่า พวกเขาตั้งใจที่จะยึดครองดินแดนของเราใช่ไหม”
ทันทีที่เหล่าสภาทราบข่าวความพ่ายแพ้ของกองทหารรักษาการณ์ภาคตะวันออก พวกเขาได้ส่งหน่วยค้นหาออกไป น่าประหลาดใจที่หน่วยค้นหาซึ่งประกอบด้วยทหารชั้นยอดไม่กี่นายจากกองทหารของมาลุก เกือบจะถูกสังหารไปเสียแล้ว ผู้รอดชีวิตไม่กี่คนที่กลับมาต่างก็สติฝันเฟื่องทำได้เพียงบ่นพึมพำอย่างเพ้อเจ้อเกี่ยวกับแมลงเท่านั้น
“ไม่ ตามที่นักการทูตของจักรวรรดินีร์นัลระบุ จักรวรรดิไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้” สลาวากล่าว
“ทูตของพวกเขาปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และจากสิ่งที่หน่วยข่าวกรองของเราบอกเรา กองทัพของพวกเขาไม่ได้ระดมพลจริงๆ”
จักรวรรดินีร์นัลยืนกรานว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นนี้ ตามคำบอกเล่าของพวกเขา จักรวรรดิไม่มีทหารประจำการอยู่ในป่าและไม่ได้สมคบคิดกับเอลฟ์เพื่อทำลายอัศวินแห่งเซนต์ออกัสติน จักรวรรดิเองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั่วทั้งอาณาจักรเช่นกัน
ในความเป็นจริง เอกอัครราชทูตของนีร์นัล รู้สึกโกรธเคืองกับข้อกล่าวหาดังกล่าว เขาอ้างว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นการทูตอย่างร้ายแรง และเป็นความพยายามที่น่ารังเกียจของราชอาณาจักรที่จะโยนความรับผิดชอบต่อปัญหาของตนให้กับจักรวรรดิ
“แล้วใครกันที่กำลังโจมตีพวกเรา? ใครอีกที่สามารถรุกรานพวกเราอย่างรุนแรงเช่นนี้ได้?”
“พวกเราไม่ทราบครับท่านลอร์ด”
ไม่มีใครสามารถตอบเขาได้
“เป็นไปได้อย่างไรที่ศัตรูของเรามาไกลขนาดนี้แล้วเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร! ประเทศของเราไม่เคยประสบความล้มเหลวเช่นนี้มาก่อน! มีรายงานอะไรบ้างที่บอกว่าศัตรูได้เข้ายึดครองเทือกเขาเลสส์แล้วและกำลังเดินหน้าต่อไป”
เทือกเขาเลสส์ทอดยาวไปทางทิศตะวันตกของใจกลางอาณาจักรเล็กน้อย เป็นพื้นที่ลาดชันที่มีถนนแคบๆ หลายสาย ซึ่งใช้เป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงของอาณาจักรมาลุกในยามฉุกเฉิน
มันเป็นพื้นที่แคบๆ และถนนก็มาถึงจุดคอขวดซึ่งเป็นทางออกเดียวที่สามารถไปถึงบนไหล่เขา ภูมิศาสตร์นี้ทำให้ราชอาณาจักรมีแนวป้องกันทางตะวันตกที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากป้องกันไม่ให้ศัตรูเดินทัพผ่านเทือกเขาเป็นจำนวนมาก กองกำลังที่กระจัดกระจายอาจถูกกำจัดได้อย่างง่ายดายด้วยทหารเพียงไม่กี่นายของราชอาณาจักร ยิ่งกองกำลังของศัตรูมีน้อย การโจมตีตอบโต้ก็จะง่ายขึ้นในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม เทือกเขานั้นตกอยู่ในมือของศัตรูไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอย่างไร แต่ทหารไม่กี่นายจากมาลุกที่หนีออกจากภูเขานั้นถูกกองทัพศัตรูตามล่าและสังหาร
ใช่แล้ว นี่คือการโจมตีเป็นระลอกของราชินีอารัคเน ทหารของอาณาจักรพยายามปิดกั้นเส้นทางของพวกเขาที่คอขวด แต่ถูกเหล่าอารัคเนขุดทำลายพื้นดินใต้พื้นพวกเขา หลังจากนั้น การโจมตีของเหล่าดิกเกอร์ก็ทำลายทหารที่เหลืออยู่จนหมดสิ้น
กองทัพอารัคเนได้พุ่งเข้าใส่ราวกับคลื่นซัดสาด โครงเปลือกภายนอกของพวกมันเบี่ยงลูกศร ทำให้ธนูไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม เครื่องยิงหินและเวทโจมตีที่ใช้บนป้อมปราการได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพต่อกองทัพริปเปอร์ เทือกเขาเลสส์ต่างเต็มไปด้วยศพของกองทัพริปเปอที่ถูกแทงและไหม้เกรียม ซึ่งตกเป็นเหยื่อการโจมตีของมนุษย์… แต่ร่างของทหารที่ถูกคลื่นยักษ์สีดำพัดพาไปกลับมีจำนวนมากกว่ากองทัพอารัคเนมาก
กลยุทธ์ของเธอช่างน่ากลัวอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
แนวป้องกันของเทือกเขาเลสส์ถูกบดขยี้โดยกองทัพริปเปอร์จำนวนมาก ไม่เพียงแต่เหล่าอารัคเนบุกยึดภูเขาเท่านั้น แต่ยังสร้างฐานทัพแห่งใหม่ขึ้นที่แนวหน้าด้วย ทหารถูกทำให้เหลือเพียงลูกชิ้นที่นำไปวางไว้ในโกดังเก็บเนื้อ หรือใส่เข้าเตาปฏิกรณ์เพื่อผลิตริปเปอร์เพิ่มเติม
“เราจะสกัดกั้นพวกเขาได้ยังไง?!”
“โชคดีที่เรายังพอมีทางที่จะยับยั้งพวกมันไว้ได้… แม่น้ำอาริล เราจะโจมตีศัตรูขณะที่พวกมันพยายามข้ามแม่น้ำอาริล” โอมาริกล่าว
แม่น้ำอาริลไหลไปทางทิศตะวันตกของเทือกเขาเลสส์ แม่น้ำสายนี้เริ่มต้นที่ทะเลสาบอาริลเยล จากนั้นไหลลงทางใต้ผ่านอาณาจักรมาลุก แม่น้ำสายนี้เป็นแนวป้องกันลำดับที่สองของอาณาจักรรองจากเทือกเขาเลสส์ ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใครก็ตาม พวกเขาจะไม่มีทางป้องกันตัวเองได้ชั่วขณะเมื่อต้องข้ามแม่น้ำ ช่วงเวลาอันล้ำค่าของความเปราะบางนั้นคือช่วงเวลาที่กองทัพมาลุกมักจะโจมตี
ขณะที่ศัตรูพยายามข้ามแม่น้ำไป ทหารของอาณาจักรก็จะโจมตีจากฝั่งตรงข้าม หากศัตรูสามารถขึ้นบกได้ ทหารที่เหลือก็จะโจมตีพวกมันก่อนที่จะได้ทันตั้งตัว ด้วยวิธีนี้ การรุกรานของกองทัพศัตรูต้องหยุดชะงัก
“การต่อสู้ตามแม่น้ำอาริลเหรอ? งั้นก็รวบรวมกำลังพลของเราซะ การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ชี้ขาด รวบรวมกำลังพลที่กระจัดจายอยู่ตามฐานที่มั่นของเราทั้งหมดเพื่อเข้าร่วมรบในครั้งนี้ คุณทำได้ไหม โอมาริ”
“แน่นอน ฉันได้บอกคนของเราไปแล้วว่าเราจะชี้ะตาศึกที่แม่น้ำอาริล เรามีทหารจำนวนมากประจำการอยู่ที่สะพานทุกแห่ง มันจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก แต่ก็ทำให้เรามีโอกาสสูงสุดที่จะได้รับชัยชนะเช่นกัน”
ศัตรูยังคงไม่มีใครรู้ แต่ราชอาณาจักรมาลุกได้ตัดสินใจที่จะต่อสู้ป้องกันตัวตามริมฝั่งแม่น้ำอาริล แผนดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าศัตรูเป็นใคร ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร นี่คือทางเลือกเดียวของพวกเขา ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ หากศัตรูข้ามแม่น้ำเข้ามาได้ เมืองหลวงก็จะอยู่ตรงหน้าพวกเขาทันที ความล้มเหลวในครั้งนี้จะหมายถึงหายนะสำหรับราชอาณาจักรมาลุก
“งั้นก็ออกเดินทางทันที หยุดศัตรูที่แม่น้ำอาริลให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
“ตามพระประสงค์ฝ่าบาท ข้าพเจ้าจะเริ่มเตรียมการทันที”
เมื่อการหารือเกี่ยวกับสงครามของสภาก็ใกล้จะสิ้นสุดลง
“ปะป๊า!”
กษัตริย์อีวานที่ 2 เดินออกจากห้องประชุมใหญ่โดยปราศจากความวิตกกังวล เขาก็ได้รับการต้อนรับจากเอลิซาเบตตัวน้อยของเขา เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการหารือสงคราม ดังนั้นเธอจึงรออยู่ข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อ
“เราหยุดการรุกรานได้แล้วเหรอ? ฉันกลัวมากเลย… ถ้าศัตรูเป็นพันธมิตรกับเอลฟ์ พวกมันอาจกินมนุษย์ด้วย!”
“ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี เราเพิ่งหารือกันถึงแผนหยุดการรุกราน และแผนนั้นจะสำเร็จ เราจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่อหยุดยั้งเหล่าร้ายเหล่านี้ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว เป็นเรื่องที่แน่นอนเหมือนที่พระอาทิตย์ขึ้นยามรุ่งอรุณ เจ้าหญิงตัวน้อยของฉัน”
แม้เอลิซาเบตที่ยังเด็กได้ยินเรื่องการรุกรานที่กำลังจะมาถึง ศัตรูได้เอาชนะทหาร 15,000 นายของกองทหารรักษาการณ์ฝั่งตะวันออกได้อย่างรวดเร็ว และยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ จนยึดเทือกเขาเลสส์ได้
มันคือการรุกรานแบบเผด็จการอย่างแน่นอน นางสนมทั้งหลายต่างเศร้าโศกเสียใจเพราะแน่ใจว่าตนจะต้องพบกับหายนะ และเหล่าสตรีชนชั้นสูงก็พูดถึงทางที่จะหนีไปด้วยนั้าเสียงที่ดูสั่นเครือ ผู้ที่ไม่อาจต่อสู้ได้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการรอคอยด้วยความกลัว
“ฉันหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้พระราชวังต่างเต็มไปด้วยความกลัวและโศกเศร้า” เอลิซาเบตพูดพร้อมกับมีน้ำตาคลอเบ้า
“หลายคนมีพี่น้อง พ่อ สามี และลูกชายที่ออกไปสู้รบแต่ไม่เคยกลับมาอีกเลย ฉันไม่อยากคิดเลยว่าพวกคนป่าเถื่อนเหล่านั้นทำอะไรกับพวกเขา…”
“ไม่ต้องกังวลเจ้าหญิงตัวน้อย เราจะไม่พ่ายแพ้ สเตฟานจะเข้ารบในแนวหน้าด้วย ดังนั้นมาภาวนาให้กลับมาอย่างปลอดภัยกันเถอะ ประชาชนในอาณาจักรก็ภาวนาเผื่อคนที่พวกเขารักในช่วงเวลาเช่นนี้”
“ค่ะปะป๊า ฉันแน่ใจว่าเขาจะสบายดี และกลับมาอย่างปลอดภัย ฉันเองก็จะภาวนาให้เขาปลอดภัยในสนามรบด้วย”
สเตฟาน สโตรกานอฟเป็นลูกหลานของตระกูลดยุคที่สืบต่อกันมายาวนาน และมีสายเลือดที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ ในฐานะคู่หมั้น เอลิซาเบตได้รับสัญญาว่าจะแต่งงานกับเขาตั้งแต่อายุแปดขวบ และพวกเขาก็ได้รับพรมากมายจากประชาชน เอลิซาเบตเองก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้แต่งงานกับสเตฟาน ในอีกสองปีข้างหน้า เธอจะมีอายุมากพอที่จะแต่งงานกับเขา และทั้งสองก็จะเริ่มต้นชีวิตครอบครัวที่มีความสุข
การให้ดยุคแต่งงานกับราชวงศ์จะทำให้การเมืองและกิจการภายในของราชอาณาจักรมั่นคงยิ่งขึ้น และจะได้หันไปพัฒนาไปที่กิจการภายนอกได้ นั่นคือ การค้าและความสัมพันธ์กับจักรวรรดินีร์นัล
แต่สเตฟานได้รับการยอมรับเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวและหัวหน้าของดยุคแล้ว ดังนั้นหน้าที่ของเขาในฐานะขุนนางจึงต้องลงสนามรบ แม้ว่าพวกเขาจะหมั่นกัน เขาก็คงทิ้งเอลิซาเบตไว้ที่พระราชวังไปต่อสู้อยู่ดี
เอลิซาเบตภาวนาต่อพระเจ้าแห่งแสงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร้องขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองสเตฟาน เธอหวังว่าคนรักของเธอจะกลับมาอย่างปลอดภัย และหวังว่าจะได้แต่งงานกันโดยได้รับพรจากประชาชนและพระเจ้าแห่งแสงเอง ในตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเธอไปกว่านี้อีกแล้ว
“การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้ ขอให้ชัยชนะอยู่ฝ่ายเรา”
“ค่ะปะป๊า ขอให้ชนะสงครามนี้”
แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าชัยชนะจะตกเป็นของฝ่ายไหน
ขอขอบคุณสำหรับการติดตามผลงานแปลด้วยนะคะ พอดียังเป็นมือใหม่อยู่ อาจะมีติดขัดบ้างบางประโยค ถ้าประโยคไหนอ่านแล้วรู้สึกแปลกๆสามารถบอกได้เลยนะ
MANGA DISCUSSION