หัวหน้าพ่อค้าทาสขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังเมืองลีน ฉันไปกับเขาพร้อมกับ ริปเปอร์ หนึ่งตัวซึ่งซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บสินค้า เนื่องมีพ่อค้าเร่เข้ามาทำการค้าขายตลอด จึงมีการเปิดประตูเมืองทิ้งไว้
เราเข้าไปในเมืองได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ สินค้าของเราและ ริปเปอร์ ที่เฝ้าอยู่จึงไม่ถูกตรวจพบขณะที่เรามุ่งหน้าสู่เมืองลีน หากเราถูกตรวจสอบ ฉันวางแผนที่จะทำให้เจ้าหน้าที่สงบลงโดยยัด กองทัพปรสิต ลงคอพวกเขาอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าความกังวลของฉันจะไร้ประโยชน์
อย่างเลวร้ายที่สุด ฉันคงให้ กองทัพริปเปอร์ สังหารทหารและหมุนรถม้า 180 องศาเพื่อหนีออกจากเมืองลีน หากเลือกตัวเลือกนี้ หมายความว่าเราจะไม่มีวันกลับไปที่เมืองลีนได้อีกเลย
“แล้วฉันจะหาช่างตัดเสื้อท้องถิ่นได้ที่ไหน?”
ในเมืองใหญ่ชื่อลีน ภารกิจแรกของฉันคือการหาช่างตัดเสื้อ
“อืมม คงเป็นตรงนั้นสินะ”
เมื่อนั่งรถม้าลงมาตามถนนสายหลักของเมืองลีน เราพบร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งมีเสื้อผ้าหรูหราวางโชว์อยู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านประเภทที่ฉันกำลังมองหาพอดี ฉันสั่งให้พ่อค้าทาสจอดรถม้า แล้วพวกเราสองคนก็ลงจากรถโดยปล่อยให้ริปเปอร์เฝ้าอยู่ที่รถม้า
“ยินดีต้อนรับค่ะ โอ้…คุณคือพ่อค้าทาส คุณต้องการอะไรจากเราคะ”
แม้ว่าในตอนแรกเราจะได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มจากพ่อค้า แต่เจ้าของร้านก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นพ่อค้าทาส เห็นได้ชัดว่าผู้คนในโลกนี้ไม่พอใจพ่อค้าทาส นั่นเป็นสิ่งที่ดี ฉันรู้สึกยินดีที่ได้รู้ว่าพลเมืองของเมืองนี้เป็นคนดี
ในทางกลับกัน ถ้าฉันรู้ว่าโลกนี้ยินดีเกี่ยวกับการค้าทาส ฉันคงจะรู้สึกหงุดหงิดมาก
“ฉัน…อยากขายเสื้อผ้า”
พ่อค้าทาสพูดอย่างตะกุกตะกัก โดยเขาพยายามจะขอความช่วยเหลือ แต่ความคิดเหล่านั้นกับถูกขัดขวาง เนื่องจากถูกควบคุมโดยปรสิตและราชินี เขาจึงทำได้แค่พูดการแลกเปลี่ยนซื้อขายกับพนักงานแทน
“เสื้อผ้าเหรอ? คุณหมายถึงของที่คุณขโมยมาจากพวกเอลฟ์เหรอ? ไม่มีใครอยากซื้อของที่คุณเอามาหรอก เสื้อผ้าของพวกเอลฟ์คุณภาพต่ำ เราขายแต่เสื้อผ้าที่มีคุณภาพสูงเท่านั้นนะ ไปให้พ้นซะ”
มีการเลือกปฏิบัติต่อเอลฟ์อยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามใช้ชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยพรแห่งป่าก็ตาม ฉันคิดว่ามนุษย์ในโลกนี้คงคิดว่าเอลฟ์เป็นชนเผ่าป่าเถื่อนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง น่ารำคาญจริงๆ
“เปล่าค่ะ เสื้อผ้านี่ฉันซื้อมาจาก…พ่อค้า”
ฉันพูดเรื่องที่ขึ้นมาล่วงหน้าแล้ว เขาขายทาสบางส่วนและซื้อเสื้อผ้าเหล่านี้เป็นค่าตอบแทน เรื่องนี้อาจดูน่าสงสัย แต่เป็นเรื่องเดียวที่ฉันคิดได้
ฉันภาวนาแล้วภาวนาอีกว่าชายคนนั้นจะเชื่อคำพูดของฉัน เมื่อยืนอยู่ใต้เงาของรถม้า ฉันทำได้เพียงส่งความหวังลมๆแล้งๆออกไป
“ก็ได้” ในที่สุดเจ้าของร้านก็ยอมแพ้
“งั้นขอดูสินค้าของคุณหน่อยได้ไหม”
หัวหน้าพ่อค้าทาสลากหีบที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าจากรถม้าแล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์
“นี่มัน…”
เขาหยิบชุดที่ดูราคาแพงสองสามชุดออกมา ซึ่งทอด้วยด้ายคล้ายไหมโดยกองทัพเวิคเกอร์ กล่องนั้นอัดแน่นไปด้วยชุดเหล่านี้หลายสิบชุด ตั้งแต่ชุดลำลองไปจนถึงชุดราตรีที่ดูเข้ากับงานเต้นรำได้อย่างลงตัว เจ้าของร้านมองดูชุดเหล่านั้นด้วยความทึ่ง
ขอบคุณนะ เหล่า กองทัพเวิคเกอร์ ตัวน้อยที่น่ารักของฉัน ดูเหมือนจะคาดหวังเรื่องนี้ได้แล้ว!
“น่าทึ่งมาก” เจ้าของร้านพูดพลางตรวจดูชุดอย่างระมัดระวัง
“ฉันไม่เคยเห็นเสื้อผ้าแบบนี้มาก่อน พวกขุนนางคงจะอยากได้ชุดพวกนี้จนตัวสั่น”
เขาประหลาดใจมากกับสัมผัสอันน่าทึงของเสื้อผ้าและความประณีตในการออกแบบ
“คุณจะซื้อในราคาเท่าไหร่” พ่อค้าทาสถาม
“สำหรับเสื้อผ้าแบบนี้เหรอ 20,0000 ฟลอเรียละเป็นไง”
เอาล่ะ ถึงเวลาต่อรองราคาแล้ว
หลังจากที่ถามเอลฟ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่วงหน้าแล้ว ฉันก็สรุปได้ว่าฉันจะขายชุดได้อย่างน้อย 30,000 ฟลอเรีย อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต่อรองราคา ดังนั้นฉันจึงไม่แน่ใจว่าจะทำได้ถูกต้องหรือไม่… แต่ฉันต้องทำเท่าที่ทำได้ เราต้องการเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเราต้องได้รับมันมาอย่างถูกกฎหมาย
“น้อยไปนะ ให้ราคามากกว่านี้ไม่ได้หรอ? สัก 40,0000 ล่ะเป็นไง ถ้าไม่ได้ฉันจะไปที่ร้านอื่น”
“ก็ได้…ราคา 30,000 ฟลอเรีย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้”
ฉันคาดหวังว่าการเจรจาจะใช้เวลานานกว่านี้ แต่กลับจบลงในพริบตา
“ไม่มีข้อโต้แย้ง ถือว่าตกลง” พ่อค้าทาสกล่าว จากนั้นจึงผลักหีบไปทางเจ้าของร้าน
เราอาจจะต่อรองได้มากกว่านี้ แต่หากการเจรจาล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราในอนาคต แม้จะคิดว่าเขาอาจหลอกเราเพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราก็ควรประนีประนอมกันที่ 30,000 ฟลอเรีย
“เอานี่ 30,000 ฟลอเรีย เอาไปซะ”
เมื่อรับหีบแล้ว เจ้าของร้านก็ยื่นถุงที่อัดแน่นไปด้วยเหรียญให้กับหัวหน้าพ่อค้าทาส จากนั้นก็ถือหีบนั้นไปที่หลังร้านด้วยความตื่นเต้น
นั่นเป็นการสำเร็จแผนขั้นที่หนึ่งของฉัน
ความตั้งใจแรกของฉันคือการมอบชุดเหล่านี้ให้กับเอลฟ์และให้พวกเขาไปขายที่เมืองลีนเพื่อแลกเงิน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกลัวเมืองและปฏิเสธที่จะเข้าใกล้เมืองนั้น ฉันเข้าใจดีว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เมื่อมีคนอย่างพวกค้าทาสอยู่รอบๆ จึงเป็นธรรมดาที่เอลฟ์จะไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้
คำสอนของผู้ที่เรียกตัวเองว่าเทพแห่งแสงได้กล่าวไว้ว่าเทพแห่งธรรมชาติที่เหล่าเอลฟ์บูชาและอาศัยอยู่ในป่านั้นเป็นเทพชั่วร้าย เอลฟ์ถูกตราหน้าเป็นพวกนอกรีตและคนป่าเถื่อน ซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกพ่อค้าทาสสามารถจับมา “อย่างถูกกฎหมาย” และขายเพื่อแลกกับเงิน ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องศาสนา แต่แม้แต่ตัวฉันเองก็เชื่อว่าผู้คนควรมีอิสระที่จะบูชาใครก็ได้หรือสิ่งใดก็ได้ที่พวกเขาต้องการ
ไม่ใช่ว่า อารัคเน จะอ่อนแอพอที่จะพึ่งพาเทพเจ้าองค์ไหนๆ แน่นอน มีเพียงองค์เดียวที่ เหล่าอารัคเน บูชา นั่นคือราชินีของพวกมัน สำหรับราชินีของพวกมัน พวกมันจะยอมสละชีวิตหรือฆ่าเป้าหมายแทบทุกคน เหล่าอารัคเน ไม่ต้องการการให้อภัยจากเทพเจ้าใดๆ การให้อภัยจากราชินีของพวกมันคือสิ่งเดียวที่พวกมันต้องการ และการกระทำของพวกมันจะถูกกำหนดโดยเจตนาของนางผ่านจิตสำนึกส่วนรวมเสมอ
ในตอนนี้ ดูเหมือนฉันไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ เหล่าอารัคเน จะก่อกบฏต่อต้านฉันอีกต่อไป
“เอาล่ะ ถึงเวลาไปช้อปปิ้งที่จุดหมายต่อไปของเราแล้ว และนี่เป็นเรื่องสำคัญ” ฉันพูด ซึ่งทำให้ชายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฉันขับรถม้าไปยังจุดหมายต่อไปของเรา
และจุดหมายปลายทางนั้นคือ…
“เนื้อสัตว์! เนื้อสด ราคาถูก! เลือกซื้อเนื้อสัตว์คุณภาพสูงสุดได้ที่นี่!”
ใช่แล้ว เรามาถึงร้านขายเนื้อแล้ว
คุณเห็นไหม แผน B ของฉันเป็นดังนี้: ฉันจะขายเสื้อผ้าที่ผลิตโดย เหล่าเวิคเกอร์ ของฉันและใช้มันซื้อเนื้อสัตว์ มันเป็นแผนการขยายตัวที่สงบสุขที่สุดและน่าเบื่อที่สุดในประวัติศาสตร์ของแผนการขยายตัว อย่างไรก็ตาม เหล่าอารัคเน ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับแผนนี้ เนื่องจากไม่มีความขัดแย้งในจิตสำนึกส่วนรวม
การรู้ว่าพวกเขาเห็นด้วยกับแนวคิดของฉันทำให้รู้สึกโล่งใจมาก ฉันไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรหากพวกเขาเริ่มโจมตีผู้คนแบบสุ่ม นี่เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินนโยบายขยายดินแดนอย่างสันติของฉันได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ผู้นำของพวกค้าทาสอาจถูกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของเมืองเข้าจับกุมเนื่องจากสถานะทางสังคมของเขา หรือเราอาจถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในเมืองลีน อีกประการหนึ่งคืออาจไม่สามารถขายเสื้อผ้าได้ หรืออาจขายได้ในราคาถูกเท่านั้น
อย่างน้อย เหล่าอารัคเน ก็สามารถปฏิเสธการเข้าหาแบบเฉยเมยของฉันและก่อกบฏ จากนั้นก็โจมตีบริเวณโดยรอบอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันคงไม่ควรต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย
ราชินีเป็นแกนหลักของเหล่าอารัคเน และเหล่าอารัคเนก็ไม่สามารถขัดขวางเจตจำนงของราชินีได้ พวกเขาจะยังคงจงรักภักดีต่อราชินีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด… นั่นคือสำหรับฉัน ฉันสามารถพูดแบบนั้นได้อย่างมั่นใจตอนนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะละทิ้งความระมัดระวังไป ฉันยังกลัวว่าฉันอาจจะทำให้พวกมันโกรธได้ในที่สุด
แต่สำหรับในตอนนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังภักดีกับฉัน
ทีนี้แล้ว
“ซื้อ… เนื้อ” พ่อค้าทาสพูดในขณะที่กระโดดลงมาจากรถม้า
“ครับ คุณอยากได้เนื้อแบบไหนอยู่ครับ”
“ซื้อเนื้อทั้งหมดมากเท่าที่จะหาได้ เอาทั้งหมดเลย” เขาวางถุงใส่เงินที่เต็มไปด้วยเงิน 30,000 ฟลอเรีย ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ลงบนเคาน์เตอร์
พ่อค้าขายเนื้อดูงุนงง
“เอ่อ…คุณจัดงานเลี้ยงอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ไม่ มันไม่สำคัญ ให้… เนื้อฉันหน่อยสิ”
แน่นอนว่ามันอาจจะถือเป็นงานเลี้ยงในรูปแบบหนึ่งก็ได้ เพราะเนื้อจะถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว แต่การกล่าวถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของเราที่นี่อาจเป็นความคิดที่ไม่ดี
“เอ่อ ฉันไม่แน่ใจว่า ฉันจะมีเนื้อพอสำหรับเงินที่คุณให้มาหรือเปล่านะ…”
“เนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการแปรรูปก็ใช้ได้เช่นกัน”
สิ่งที่เราทำนั้นก็เหมือนกับการเดินไปหาคนขายเนื้อในละแวกนั้นแล้ววางเงินกองโตลงบนเคาน์เตอร์ของเขา พร้อมกับเรียกร้องเนื้อทั้งหมดที่เขามี มันเป็นความคิดที่บ้าบอมาก และฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าแผนนั้นล้มเหลวต่อหน้าฉันในตอนนี้
“แม้จะรวมเนื้อดิบเข้าไปด้วยแล้ว ก็มีมูลค่าเพียงแค่ 15,000 ฟลอเรียเท่านั้น” ผู้ขายเนื้อกล่าวด้วยความสับสน
“ถ้าคุณต้องการเนื้อมากขนาดนั้น คุณจะลองไปดูที่ร้านอื่นด้วยไหม?”
ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ที่ไปกวานซื้อเนื้อจนหมด
“งั้นฉันจะซื้อทั้งหมดด้วยเงิน 15,000”
“โอเค ฉันจะเตรียมเนื้อที่คุณลูกค้าสั่งไว้ ดังนั้นขอเวลาสักแปบ”
มันเป็นการประนีประนอมอีกทางหนึ่ง แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ ฉันจะใช้เงิน 15,000 เหรียญที่นี่ และอีก 15,000 เหรียญที่ร้านอื่น
“นี่ครับ เนื้อสำหรับราคา 15,000 ฟลอเรีย” พ่อค้าวางลังเนื้อไว้บนเคาน์เตอร์
“คุณไม่ได้ระบุว่าต้องการเนื้อประเภทไหน ดังนั้นผมจึงใส่เนื้อทุกประเภทลงไป”
มีเนื้อจำนวนเยอะมาก และฉันเป็นพวกกินเนื้อจริงๆ สเต็กแฮมเบิร์ก เนื้อย่าง สตูว์เนื้อ เรียกได้ว่าเป็นอาหารหลักของฉันเลยก็ว่าได้ แต่การกินมากขนาดนี้จะทำให้ฉันอ้วนแน่นอน
นอกจากนี้ ยังไม่มีวิธีใดที่จะรักษาความสดของเนื้อให้คงอยู่ตลอดทางจนถึงฐาน เมื่อไม่มีทางเลือก ฉันจึงบอกลาความฝันที่จะได้กินสเต็กและเบอร์เกอร์ด้วยน้ำตาคลอเบ้า แต่เบอร์เกอร์ที่แม่ทำนั้นอร่อยที่สุดจริงๆ
“15,000 ฟลอเรีย” พ่อค้าทาสยื่นเงินให้กับพ่อค้าเนื้อ
“ขอบคุณที่มาอุดหนุน ขอให้มีความสุขกับงานเลี้ยงนะครับ”
โอ้ ใช่ๆ มันจะเป็นงานเลี้ยงที่น่ารัก
พวกเราไปที่ร้านชำเนื้ออีกหลายแห่ง โดยใช้เงินฟลอเรียที่เหลืออยู่ 15,000 เพื่อซื้อเนื้อสัตว์เพิ่ม ตลอดจนเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์บางส่วน เพื่อให้พื้นที่อยู่อาศัยของฉันน่าอยู่ขึ้นอีกเล็กน้อย
เหล่าเวิคเกอร์สามารถผลิตผ้าปูที่นอนที่นุ่มกว่าผ้าไหมได้ แต่การทำเตียงที่สบายนั้นเกินความสามารถของพวกมัน พวกมันทำได้แค่เตียงธรรมดาๆ ของฉันด้วยฟางเท่านั้น แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะสามารถนอนบนเตียงที่สบายได้อีกครั้งในที่สุด
“ฟู่ เสร็จสักที…”
หลังจากเดินทางผ่านเมืองที่ไม่คุ้นเคยและต่อราคา ฉันรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ถ้าซื้อมากเกินไปก็จะดูมีพิรุธ… แต่อาจจะสายเกินไปแล้ว”
เมื่อพูดจบแล้ว เราก็หันรถม้ากลับไปที่ฐานของอารัคเน นั่นคือจุดสิ้นสุดของวันนี้ อย่างน้อยก็ควรจะเป็นอย่างนั้น
————————————————————-
ฉันผ่อนคลายในเกวียน ปล่อยให้พ่อค้าทาสควบคุมบังเหียน ฉันเอาหน้าซุกอยู่ในเครื่องนอนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ และสูดกลิ่นอันหอมฟุ้งของกลิ่นนั้นเข้าไปอย่างเต็มปอด หลังจากได้กลิ่นสดชื่นแล้ว ฉันก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเหล่าริปเปอร์คอยเฝ้ามองอยู่ ฉันจึงเริ่มรู้สึกง่วงนอน
ถึงกระนั้น ฉันก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ฉันซื้อเนื้อมาจำนวนมากจากร้านขายเนื้อในเมือง ซึ่งจะช่วยให้ฉันเพิ่มจำนวนยูนิตได้มาก แต่ฉันจะใช้มันทำอะไรล่ะ
เหล่าอารัคเนเชื่อว่าฉันจะนำพาพวกเขาไปสู่ชัยชนะ แต่ชัยชนะคืออะไร? พวกเขาต้องการพิชิตทั้งโลกหรือไม่? หรือมีชัยชนะอื่น ๆ ที่พวกเขาต้องการหรือไม่? พวกเขาต้องการให้ฉันบรรลุเป้าหมายประเภทใด?
สิ่งเดียวที่ฉันได้ยินจากจิตสำนึกส่วนรวมคือเสียงร้องขอชัยชนะ แต่ไม่มีเสียงใดเลยที่บรรยายว่าชัยชนะนั้นหมายถึงอะไร พวกเขาเพียงแค่บอกว่าพวกเขาปรารถนาให้ราชินีแห่งอารัคเน—ตัวฉันเอง—นำพาพวกเขาไปสู่ชัยชนะ ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบโต้ ฉันจึงทำได้เพียงแค่ครุ่นคิดเพื่อพยายามหาคำตอบว่ามันหมายถึงอะไร
แม้แต่ความพยายามของฉันก็ถูกส่งต่อไปยังเหล่าอารัคเนผ่านจิตสำนึกส่วนรวม แต่พวกเขาก็ยังคงร้องขอชัยชนะอยู่ดี แต่ถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าจะนิยามชัยชนะนั้นว่าอย่างไร ฉันควรทำอย่างไร?
“บอกฉันหน่อย” ฉันเงยหน้าขึ้นจากผ้าห่ม มองไปที่เหล่าอารัคเนที่เฝ้ามองฉันอยู่ “เธออยากให้ฉันทำอะไร”
เหล่าริปเปอร์ เอียงหัวเล็กน้อยเป็นท่าทางที่สื่อว่ามันไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังถาม
“สิ่งที่พวกเราปรารถนาคือชัยชนะ องค์ราชินี” เหล่าริปเปอร์พูดตอบ
“แต่ชัยชนะนั้นคืออะไร? การพิชิตโลก? การก่อตั้งประเทศ?”
ฉันสามารถถามจิตสำนึกส่วนรวมได้โดยตรง แต่ฉันชอบที่จะพูดคุยแบบเห็นหน้ากันมากกว่า ฉันอยากฟังว่าเหล่าอารัคเนจะพูดอะไร มันอาจจะเกี่ยวข้องกับจิตสำนึกส่วนรวมก็ได้ แต่ตอนนี้บุคคลนี้ถูกแยกออกจากคนอื่นๆ และกำลังทำหน้าที่ปกป้องราชินีอยู่ บางทีคำตอบของเขาอาจจะแตกต่างออกไป
กำลังแสวงหาชัยชนะประเภทไหนกันแน่? ต้องการพิชิตโลกนี้หรือไม่? “ชัยชนะ” คือการก่อตั้งอาณาจักรอารัคเนหรือไม่? มีเงื่อนไขแห่งชัยชนะอื่น ๆ ที่ฉันยังไม่นึกถึงหรือไม่?
“ข้าพเจ้าไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม เราปรารถนาถึงชัยชนะอย่างแรงกล้า ไม่มีอะไรที่ต้องการมากกว่าชัยชนะ และสิ่งนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เราแน่ใจว่าองค์ราชินีจะทรงนำพาเราไปสู่ชัยชนะที่เราปรารถนาได้ ราชินี เราไว้วางใจพระองค์อย่างที่สุด และเราปรารถนาที่จะเป็นมือและเท้าของพระองค์เมื่อเราบรรลุชัยชนะ เราแน่ใจว่าพระองค์จะทรงนำพาเราไปสู่ชัยชนะได้ องค์ราชินี”
“พวกคุณ…”
แรงกดดันเริ่มเข้ามา เหล่าอารัคเน ไว้วางใจฉันอย่างสุดหัวใจในขณะนี้ แต่ถ้าฉันทำผิดพลาดในการ “สั่ง” พวกมัน ก็มีความเสี่ยงที่พวกมันจะลุกขึ้นก่อกบฏและเปลี่ยนฉันให้กลายเป็นส่วนผสมสำหรับ เหล่าอารัคเน รุ่นต่อไปแทน การเชื่อมโยงกับจิตสำนึกของพวกมันยิ่งทำให้ความกลัวนั้นรุนแรงขึ้น
พวกเขาเป็นแมลงที่น่ารักและน่าเอ็นดูของฉัน แต่ก็เป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวเหมือนกัน ฉันต้องแสดงพฤติกรรมที่จะไม่ทำให้พวกมันผิดหวังอย่างแน่นอน
“รู้สึกซับซ้อนจัง” ฉันกระซิบพูดคนเดียว
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในเกม คุณสามารถชนะได้เพราะคุณต้องต่อสู้กับคนอื่น แต่การสอดแนมของฉันนั้นไร้ผลเลยและขยายไปเพียงส่วนเล็กๆ ของโลกเท่านั้น ศัตรูที่ฉันมีในตอนนี้ก็เป็นพวกลักลอบล่าสัตว์และพ่อค้าทาสที่มาก่อกวนหมู่บ้านของเอลฟ์ และพวกมันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าอารัคเน
ฉันจะต้องเอาชนะใคร? ฉันต้องนำเหล่าอารัคเนน้อยน่ารักของฉันไป แต่ว่าจะไปทางไหนกันแน่? การเรียกสถานการณ์นี้ว่า “ซับซ้อน” คงจะพูดน้อยไป ฉันไม่มีศัตรูให้พูดถึงในตอนนี้ ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ฉันจะสู้กับใคร และจะได้อะไรจากการต่อสู้? ต่างจากเกม ไม่มีคู่ต่อสู้ที่ชัดเจน
ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดลง
“เกิดอะไรขึ้น” ฉันแอบมองออกไปจากตัวรถเพื่อดูว่าอะไรทำให้เราหยุดรถ
ตรงหน้าเรามีคนหลายคนสวมเกราะหนังยืนเรียงแถว พวกเขาถือธนูสั้นในมือ และเล็งลูกศรไปที่หุ่นเชิดทาสของฉัน ฉันสัมผัสได้ถึงอันตราย เห็นได้ชัดจากแววตาของพวกเขาว่าพวกเขากำลังมุ่งหวังจะฆ่ากัน
“โมอิเซย์!” ชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำของพวกเขา ตะโกนใส่พ่อค้าทาส “ดูเหมือนว่าวันนี้นายจะได้กำไรจริงๆ นะ เจ้าบ้า! แต่นายยังไม่ลืมเรื่องหนี้ที่ติดค้างเราใช่ไหม!”
อืม เขาไม่เพียงแต่เป็นพ่อค้าทาสเท่านั้น แต่เขายังเป็นหนี้อีกด้วย? เขาไร้ประโยชน์จริงๆ
“ฉันจะขอรับของทั้งหมดจากคุณ มาเป็นเงินมัดจำเพื่อชำระหนี้ล่ะกัน”
ฉันไม่อาจปล่อยให้พวกเขาทำแบบนั้นได้ นี่เป็นของล้ำค่าของฉัน ไม่ใช่ของเขา
“ตรวจดูทุกซอกทุกมุม! ไปเร็ว!”
มีคนจำนวนมากกำลังเข้ามาตรวจสอบรถม้าของเรา
นี่มันแย่มาก
วันนี้ฉันนำ ริปเปอร์ มาด้วยเพียงตัวเดียว ขณะที่ฉันพิจารณาโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ กลุ่มติดอาวุธก็วนรอบตัวรถม้า
“หืม?” ชายคนหนึ่งดึงกล่องเนื้อออกจากด้านบน
“นี่มันอะไรเนี่ย เนื้อล้วนๆ เลย! คุณคิดอะไรอยู่เนี่ย!”
“โอ้! ดูเหมือนนายก็มีทาสตัวน้อยน่ารักมาด้วย ถ้าเราขายคนนี้ไป นายก็จะหมดหนี้ได้ใช่ไหม”
พวกเขายังพบฉันแล้ว และเห็นได้ชัดว่าคิดว่าฉันเป็นทาส พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อค้าทาสจะตรงกันข้าม ฉันอยู่นิ่งๆ เพื่อไม่ให้ผู้ชายเหล่านั้นโกรธ แต่กลับจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เกลียดชัง
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นพวกค้าทาสด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาเป็นพวกขี้โกงไร้ค่ากว่าสุนัขชั้นต่ำที่สุด สังคมได้รับประโยชน์อะไรจากคนพวกนี้ที่หายใจเอาอากาศเข้าไป แม้ว่าทาสจะไม่ผิดกฎหมายในโลกนี้ แต่ฉันมองคนพวกนี้เป็นเพียงคนไร้ค่าที่น่ารังเกียจและไร้ประโยชน์
“เฮ้ หัวหน้า เราลองขายเธอดูไหม—”
“เดี๋ยวก่อน… เห็นอะไรแปลก ๆ อยู่ข้างหลังนั่นไหม?”
พวกอันธพาลมุ่งความสนใจมาที่ฉันมากจนเขาไม่ทันสังเกตเห็นมัน
ใช่แล้ว ริปเปอร์ ยืนอยู่ข้างหลังฉัน
เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เคียวของ ริปเปอร์ ก็ตัดหัวของอันธพาลที่กำลังพิงรถม้า ทำให้เลือดพุ่งออกมาจากคอของเขาเหมือนน้ำพุ เลือดพุ่งออกมา แล้วก็หยุดลง จากนั้นก็พุ่งออกมาอีกครั้ง สอดคล้องกับจังหวะการเต้นของหัวใจครั้งสุดท้ายของชายคนนั้น มันเกือบจะตลกในแบบของมัน
คุณอาจสงสัยว่าความตายเป็นเรื่องตลกอย่างไร? พวกมันเป็นพวกค้าทาส พวกมันเป็นขยะประเภทเดียวกับที่ฆ่าและลักพาตัวเด็กเอลฟ์ และเมื่อจิตสำนึกของฉันเชื่อมโยงกับจิตใจของเหล่าอารัคเน ฉันจึงสามารถฆ่าพวกมันได้หลายร้อยตัวโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าไม่มีความผิดอะไรในการฆ่าคนแบบพวกเขา
“อะไร…มันเกิดอะไรขึ้น?!”
“บอส! มอนสเตอร์! มีมอนสเตอร์อยู่ในนี้!”
พวกอันธพาลติดอาวุธต่างพากันแตกตื่นตกใจเมื่อ ริปเปอร์ พุ่งทะลุหลังคารถม้าและกระโจนออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าหาพวกเขา ฉันไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น ฉันเพียงแค่แจ้งให้จิตสำนึกส่วนรวมทราบว่าพวกอันธพาลเหล่านี้เป็นอันตราย
“บ้าเอ้ย! ยิงมัน! ฆ่ามันให้หมด!”
เจ้านายของอันธพาลยิงธนูสั้น ๆ ของเขาไปที่ ริปเปอร์ แต่ลูกธนูกลับเด้งออกจากเปลือกภายนอกของมัน เสียงลูกธนูที่กระทบกับโลหะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องในไม่ช้า
“ไอ้มอนสเตอร์บ้าเอ้ย!”
พวกอันธพาลห้าคนตระหนักว่าลูกศรของพวกเขาไร้ประโยชน์ จึงหยิบง้าวและดาบใหญ่ออกมาเพื่อท้าทายกับริปเปอร์แทน มันอาจจะเบี่ยงลูกศรออกไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นการโจมตีจากอาวุธหนักเหล่านี้อาจจะได้ผล
แขนของริปเปอร์ที่คล้ายเคียวถูกฉีกออกและเขี้ยวของมันก็เริ่มบุบสลาย ยิ่งต่อสู้นานเท่าไร มันก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่มันกำลังจะตาย มันก็ฟาดเคียวที่เหลืออยู่อย่างสิ้นหวังเพื่อปกป้องฉัน กัดศัตรูด้วยเขี้ยวจนตาย และพยายามหยุดพวกอันธพาลด้วยเหล็กไนอันมีพิษ
พอแล้ว หยุดได้แล้ว
อย่างน้อยฉันก็อยากจะพูดแบบนั้น แต่ฉันเป็นคนขี้ขลาดเกินไป แทนที่จะทำอย่างนั้น ฉันกลับปล่อยให้ ริปเปอร์ ตายแทนฉัน เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลเพื่อปกป้องราชินี—ตัวฉันเอง—แต่ถึงอย่างนั้น คำพูดที่ประณามและความรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นมาในใจฉัน
ริปเปอร์โจมตีพวกอันธพาลที่เหลือด้วยเหล็กไน นับเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างแท้จริง แต่ศัตรูกลับต่อสู้อย่างแข็งกร้าว ส่งผลให้ริปเปอร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ฉันสัมผัสได้ถึงความใจร้อนของมันผ่านจิตสำนึกส่วนรวม
“หนีเร็ว! ไป ไป!”
ในที่สุด ริปเปอร์ ก็จับสมาชิกที่เหลืออีกสามคนในกลุ่มจนมุม แต่พวกเขาก็หลบหนีไปทันที พวกเขาขึ้นม้าแล้วควบม้าไปตามถนนสายหลักเพื่อหลบหนี
“ริปเปอร์!”
เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว ฉันก็รีบวิ่งไปข้างๆ มัน
“…ปลอดภัย…ไหม?”
ร่างของ ริปเปอร์ ถูกทำลาย เคียวที่แขนฉีกขาด ขาของมันขาด และดาบสั้นก็ทำให้หัวของมันแตก ริปเปอร์ เป็นยูนิตรบเบื้องต้นที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตีในช่วงต้นเกม ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้ทรงพลังมากนัก หากศัตรูส่งยูนิตที่มีการป้องกันที่อัปเกรดแล้ว ก็จะสามารถกำจัดได้อย่างรวดเร็ว
แต่ฉันกลับต้องแบกรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งนี้ไว้
“ราชินี… ได้รับบาดเจ็บหรือไม่…?”
“ฉันสบายดี แต่คุณ…”
ริปเปอร์ ยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของฉันอยู่จนถึงตอนนี้
“วางใจเถอะ เราทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวและหนึ่งเดียวเป็นทั้งหมด จิตสำนึกของเราจะคงอยู่ร่วมกัน ดังนั้นไม่กลัวความตาย สิ่งที่ทำให้เราหวาดกลัวมากที่สุดคือความเป็นไปได้ที่พระองค์จะตกอยู่ในอันตราย ราชินี… และการที่พระองค์ปลอดภัยก็ทำให้เราสบายใจ…”
เมื่อได้เอ่ยคำสุดท้ายเหล่านี้แล้ว ริปเปอร์ ก็จากโลกนี้ไป
ไม่ มันไม่ได้จากไป ความประสงค์ของมันยังคงอยู่ในจิตสำนึกส่วนรวมที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเหล่าอารัคเนอื่นๆ นับไม่ถ้วน
ใช่แล้ว เหล่าอารัคเน ไม่เคยรู้จักกับความตาย จนกระทั่งเหลือตัวสุดท้ายและถูกกำจัด จิตสำนึกของ ริปเปอร์ ตัวนี้จะถูกเก็บรักษาไว้ในกลุ่มเหมือนกับเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ ความปรารถนาอันสูงส่งของ ริปเปอร์ นั้นจะคงอยู่ในจิตสำนึกส่วนรวม แบ่งปันโดยพี่น้องของมัน และส่งต่อไปยัง เหล่าอารัคเน รุ่นต่อไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เหล่าอารัคเนเป็นอมตะ ตราบใดที่ราชินียังทำหน้าที่เป็นแกนหลักและจิตสำนึกส่วนรวมยังคงอยู่ การปรากฏตัวของพวกมันจะคงอยู่แม้ว่าร่างกายของพวกมันจะตายไปแล้วก็ตาม เจตนารมณ์ของเหล่าอารัคเนผู้กล้าหาญที่ต่อสู้เพื่อปกป้องราชินีของมันจะไม่มีวันหายไป
“ฉันขอโทษ ฉันยังคงรับเรื่องนี้ไม่ได้”
ฉันขุดหลุมในพื้นดินข้างถนนด้วยความช่วยเหลือจากโมอิเซย์ทาสของฉัน และเราฝังร่างของริปเปอร์ ในแบบของฉันเอง ฉันโศกเศร้ากับการตายของมัน เหล่าอารัคเนนี้ไม่จำเป็นต้องอธิษฐาน แต่ในขณะนั้น ฉันรู้สึกว่าจำเป็นต้องอธิษฐาน
และมันก็เป็นเรื่องจริง เจตนารมณ์ของ ริปเปอร์ ที่ตายไปแล้วนั้นยังคงอยู่ในจิตสำนึกส่วนรวม มันจะถูกส่งต่อไปยัง ริปเปอร์ ตัวอื่น และในวันหนึ่งมันก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีกครั้ง พร้อมกับสาบานว่าจะจงรักภักดีอีกครั้ง นั่นคือความแข็งแกร่งของ อารัคเน
ส่วนฉันเองก็เป็นปัจเจกบุคคลที่มีอารมณ์ความรู้สึกเป็นของตัวเอง และฉันก็ไม่โลเลพอที่จะยอมรับให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทนที่ได้ อารมณ์ความรู้สึกนั้นต่อสู้มาอย่างกล้าหาญจนถึงที่สุด และฉันไม่สามารถยอมรับความพยายามของมันที่สูญเปล่าได้
ฉันเพิ่งได้เห็นความตายของใครบางคน ซึ่งถือเป็นเลือดหยดแรกที่ถูกหลั่งภายใต้การปกครองของฉัน นอกจากนี้ยังเป็นความเกลียดชังที่ร้อนแรงและจริงใจครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอีกด้วย เป็นความเสียใจอย่างสุดซึ้งครั้งแรกที่ฉันเคยรู้สึก เป็นความเมตตากรุณาชั่วครั้งชั่วคราวที่ฉันเคยมีมา ฉันรู้สึกมีอารมณ์อื่นๆ มากมายจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้
ความขัดแย้งภายในของฉันแพร่กระจายไปทั่วจิตสำนึกส่วนรวมของเหล่าอารัคเน แต่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับ บางทีอาจเป็นเพราะว่ามีเพียง ริปเปอร์ ตัวเดียวเท่านั้นที่ถูกฆ่า หากเราต้องทำสงคราม พวกมันหลายร้อยตัวจะต้องถูกสังเวย การได้เห็นเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันมาก การตายครั้งแรกของ ริปเปอร์ ตัวหนึ่งของฉันทำให้ฉันรู้สึกสั่นสะท้านไปถึงทรวง
ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งเริ่มเบ่งบานขึ้นภายในตัวฉัน ในขณะที่ใจของฉันแทบจะเต็มไปด้วยจิตสำนึกส่วนรวม ความรู้สึกนี้ช่วยบรรเทาความเศร้าโศกของฉันที่มีต่อริปเปอร์นี้ และสร้างแรงบันดาลใจให้ฉันแทน
“ถ้าพวกเขาโจมตีเรา เราก็จะโจมตีกลับ ฉันจะสืบทอดเจตนารมณ์นั้น” ฉันพูดพร้อมกับวางดอกไม้ไว้บนหลุมศพอันเรียบง่ายของริปเปอร์
เมื่อกลับมาถึงฐานของเรา ฉันเริ่มเตรียมการแก้แค้นที่ฉันจะทำในรูปแบบของฉัน
ใช่แล้ว ในที่สุดฉันก็พบศัตรูที่ต้องเอาชนะแล้ว
ขอขอบคุณสำหรับการติดตามผลงานแปลด้วยนะคะ พอดียังเป็นมือใหม่อยู่ อาจะมีติดขัดบ้างบางประโยค ถ้าประโยคไหนอ่านแล้วรู้สึกแปลกๆสามารถบอกได้เลยนะ
MANGA DISCUSSION