– ณ ป้อมปราการที่ถูกเผ่า จิ่นจิ้ง ยึดครอง –
“พวกเจ้าจงอยู่เงียบๆ ตรงนี้ไปจนกว่าข้าจะเจรจากับหัวหน้าเผ้าของพวกเจ้าเสร็จ—พวกปอหงทั้งหลาย!”
สิ้นเสียงนั้น คนของเผ่าปอหงก็ถูกกักขังไว้ในห้องแห่งหนึ่งของป้อมปราการ มีทั้งหมดไม่ถึงสามสิบคน
ทุกคนล้วนเป็นผู้หญิงและเด็ก
พวกเธอล้วนเป็นญาติของหัวหน้าเผ่า หัวหน้ากองป้องกัน หรือไม่ก็เป็นครอบครัวของทหาร
ฝ่ายจิ่นจิ้งจับพวกเขาไว้เป็นตัวประกัน เพื่อสั่นคลอนขวัญและกำลังใจในการสู้รบของเผ่าปอหง
“ป้อมที่พวกเราปกป้องกันมาทั้งเผ่า กลับถูกใช้ในเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร…”
หนัวหน่าเคอหลง เด็กสาวแห่งเผ่าปอหงพึมพำอย่างเศร้าสร้อย
ที่นี่คือป้อมปราการซึ่งตั้งอยู่เชิงเขา
เป็นสิ่งปลูกสร้างที่บรรพบุรุษของปอหงสร้างขึ้นไว้เพื่อป้องกันหมู่บ้านจากศัตรูภายนอก
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าป้อมแห่งนี้จะตกอยู่ในมือของเผ่าจิ่นจิ้ง
(ท่านพ่อ…ท่านจะเดินทางไปถึงแคว้นหลานเหออย่างปลอดภัยหรือเปล่านะ…)
หนัวหน่าพึมพำอยู่ในใจโดยไม่เปล่งเสียงออกมา
พ่อของนาง—กั๋วเคอหลง—ได้เดินทางพร้อมลูกน้องไปยังแคว้นหลานเหอ
เพื่อแจ้งเรื่องการรุกรานของจิ่นจิ้ง และขอกำลังสนับสนุน
ที่ผ่านมานั้น เผ่าปอหงกับจิ่นจิ้งแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายจิ่นจิ้งระดมทัพเข้ารุกราน
ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการกลืนกินเผ่าปอหงอย่างจริงจัง
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากำลังมุ่งเป้าจะชิงคัมภีร์ลับที่เผ่าปอหงปกป้องกันมาหลายชั่วอายุคนอีกด้วย
หนัวหน่าเดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง มองออกไปยังด้านนอก
มองเห็นประตูป้อมและลานหน้าประตู
บนหอเฝ้ายามหน้าประตู มีทหารจิ่นจิ้งยืนอยู่พร้อมธนูในมือ
เวลานี้ เป็นยามสนธยา
ประตูและป้อมปราการย้อมด้วยแสงสีแดงเรื่อแห่งยามเย็น
หนึ่งวันผ่านไปโดยไร้เหตุการณ์ใดๆ ทั้งข่าวดีและข่าวร้ายก็ไม่ปรากฏ
ทิวทัศน์ของป้อมไม่ต่างไปจากเมื่อวาน
ทว่า บัดนี้ป้อมที่เคยถูกเผ่าปอหงพิทักษ์ไว้นั้นเต็มไปด้วยทหารจิ่นจิ้ง
พวกมันกินเสบียงที่เก็บไว้ ดื่มสุรา และส่งเสียงอึกทึก
หนัวหน่าเคอหลงจึงหลีกออกจากหน้าต่าง เพราะไม่อยากมองภาพเหล่านั้น
จากที่นี่ มองไม่เห็นสหายของนางเลย
ก็เลยไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่ออกไปขอความช่วยเหลือพบเจออะไรบ้าง
ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้คนต่างหวาดกลัว
และความรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ทำให้หนัวหน่ากัดริมฝีปากแน่น
(ข้า…เป็นลูกสาวของหัวหน้ากองป้องกัน…พ่อปกป้องเผ่า แล้วข้าก็ควรจะปกป้องจิตใจของผู้คนเหมือนกันแท้ๆ…)
“…ท่านหนัวหน่าเคอหลงคะ พวกเราจะเป็นยังไงกันต่อไปเหรอ…”
หญิงสาวนางหนึ่งที่อุ้มทารกอยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หนัวหน่ายิ้มให้นางอย่างฝืนใจ แล้วเอ่ยว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ความช่วยเหลือต้องมาถึงแน่นอน”
—ถ้อยคำเหล่านั้นหลุดจากปากนาง
ด้านนอกมีทหารเฝ้าอยู่
พวกมันมองมาทางนี้ผ่านประตูที่มีลูกกรง
หนัวหน่าไม่สามารถบอกความจริงว่า พ่อของนางไปขอกำลังจากแคว้นหลานเหอได้
“ท่านพ่อของข้ากั๋วเคอหลงต้องกำลังทำทุกทางเพื่อช่วยพวกเราอยู่แน่ๆ ดังนั้น อย่าทิ้งความหวังไปนะคะ”
หนัวหน่าจับมือหญิงคนนั้นไว้แน่น แล้วพูดต่อ
“ท่านเซียนชุ่ยหมิงเจินจวินที่นำทางบรรพบุรุษของเราเคยกล่าวไว้ว่า ‘แม้ต้องเดินอยู่ในความมืดมนแห่งกลียุค พวกปอหงก็ยังสามารถก้าวไปข้างหน้าได้’
เพราะงั้น เราต้องเชื่อและรอคอยค่ะ ทุกคน”
“…ค่ะ ท่านหนัวหน่า”
หญิงสาวตอบกลับด้วยเสียงที่ยังคงสั่น
“──ข้าเองก็เชื่อมั่นในพวกพ้องของเรา!”
“──ไม่มีทางที่ท่านกั๋วเคอหลงจะพ่ายให้พวกจิ่นจิ้ง!”
“──ต้องมีคนมาช่วยแน่นอนใช่ไหมคะ ท่านหนัวหน่า!!”
ผู้หญิงและเด็กในห้องต่างส่งเสียงพร้อมกัน
พวกเขาจะไม่ทอดทิ้งความหวัง
เพราะพวกเขา คือผู้สืบทอดคำสอนจากท่านเซียนในอดีตกาล
และในขณะที่ทุกคนกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา—
“เสียใจด้วยนะ! พวกที่หนีออกไปจากเผ่าปอหงน่ะ ถูกจับกลับมาแล้วล่ะ!!”
เสียงพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากทหารยาม
ในพริบตา บรรยากาศในห้องก็เย็นเฉียบ
ตัวประกันทุกคนเบิกตากว้าง ยืนนิ่งราวกับกลายเป็นหิน
“อย่ามาโกหก! พ่อของข้าเก่งมาก ไม่มีทางถูกพวกเจ้าจับได้หรอก!”
หนัวหน่าตะโกนกลับไป พลางลุกขึ้นมาจ้องหน้าเจ้าทหารคนนั้น
“ลองมองออกไปทางหน้าต่างสิ จะได้เห็นพวกนั้น”
ทหารยามยิ้มเยาะ
หนัวหน่ารีบวิ่งไปยังหน้าต่าง
ยามพลบค่ำกำลังย่างกราย
ประตูป้อมถูกเปิดออก ทหารจิ่นจิ้งในลานหน้าประตูส่งเสียงโห่ร้อง
เหล่าทหารที่เดินผ่านประตูเข้ามาใส่เกราะของเผ่าจิ่นจิ้ง
เป็นพวกคนที่ติดตามไล่ล่ากั๋วเคอหลง
และด้านหลังกลุ่มทหารเหล่านั้น—มีคนถูกมัดด้วยเชือก
เป็นกั๋วเคอหลงและเหล่าทหารของเขา
เมื่อเห็นภาพนั้น หนัวหน่าเคอหลงก็ทรุดลงกับพื้น
“…ท่านพ่อ…”
ท่านพ่อ…หนีไม่พ้น
ก่อนที่เขาจะไปถึงแคว้นหลานเหอ ก็ถูกตามจับโดยพวกจิ่นจิ้ง
ความช่วยเหลือ…จะไม่มาถึง
ไม่มีใครรู้ว่าเผ่าปอหงถูกจิ่นจิ้งรุกราน
สุดท้าย เผ่าปอหงก็คงจะถูกกลืนกินโดยสมบูรณ์
หนัวหน่าเคอหลง…และคำสอนของท่านเซียนที่ส่งต่อมาถึงนาง คงจบลงที่นี่
ตำราลับแห่ง ‘กลียุค’ ก็คงจะถูกชิงไป
—ทุกอย่าง…จบลงแล้ว
“…ไม่นะ…ท่านพ่อ…ท่านชุ่ยหมิงเจินจวิน…”
หนัวหน่าเอ่ยนามของเซียนผู้เป็นตำนานของเผ่า
ทว่าทหารยามกลับหัวเราะเยาะ
“จบแล้ว ยอมแพ้ซะเถอะ!”
“พวกกั๋วเคอหลงคงจะถูกใช้เป็นหนูทดลองของ ‘ศาสตร์สี่อสูร’ แน่ล่ะ!”
“ทั้งเพื่อข่มขวัญพวกเจ้า แล้วก็เพื่อให้เห็นพลังของท่านผู้นั้น!”
เหล่าทหารหัวเราะเยาะใส่พวกตัวประกัน
และในตอนนั้นเอง—
“““อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!”””
เสียงตะโกนสนั่นดังขึ้นจากลานป้อม!
“กั๋วเคอหลง หัวหน้ากองป้องกันแห่งเผ่าปอหง! มาทวงครอบครัวของข้าคืนแล้ว!!”
เสียงกรีดร้องของทหารจิ่นจิ้ง ดังพร้อมเสียงคำรามของกั๋วเคอหลง
หนัวหน่ารีบพุ่งหน้าไปที่หน้าต่างอีกครั้ง
ในลานกลางป้อม นางเห็นพ่อของนาง…แต่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
กั๋วเคอหลง ในมือมีหอกยาวสีดำ—อาวุธประจำกายที่เขาชำนาญ
เขาเหวี่ยงหอกนั้นล้มทหารจิ่นจิ้งลงทีละคนๆ
รอบตัวเขามีลูกน้องของเขาร่วมต่อสู้อยู่ด้วย
พวกเขาถืออาวุธกันครบมือ และที่พื้นก็มีเชือกที่เคยพันธนาการพวกเขาตกอยู่—ไร้ปมใดๆ
ราวกับว่ามันถูกเตรียมให้หลุดออกได้ตั้งแต่แรก
และคนที่กำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับกั๋วเคอหลงคือ—
“ทะ…ทำไมพวกทหารที่พาพ่อเข้ามา ถึงกลายมาเป็นพวกเดียวกับพ่อได้ล่ะ…!?”
คำตอบเผยออกทันที—
เหล่าทหารที่แต่งกายเป็นพวกจิ่นจิ้งนั้น จริงๆ แล้วคือทหารจากแคว้นหลานเหอ!
“พวกทหารแคว้นหลานเหอ!? ทะ…ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่!?”
“ไม่ใช่! พวกที่เข้ามาก่อนนั่นก็เป็นทหารแคว้นหลานเหอเหมือนกัน! พวกมันปลอมตัวเป็นพวกเรา!”
“กั๋วเคอหลงพาทหารแคว้นหลานเหอมาด้วย—!!”
ทหารจิ่นจิ้งเกิดความสับสนกันไปหมด
—เพราะผู้ที่นำกั๋วเคอหลงเข้ามานั้นเป็นทหารแคว้นหลานเหอปลอมตัวมา
—เพราะกั๋วเคอหลงและพรรคพวกปลดพันธนาการแล้วโต้กลับ
—เพราะประตูที่เปิดอยู่ตอนนี้ กลายเป็นช่องทางให้ศัตรูบุกทะลักเข้ามา
ทั้งหมดนี้…คือเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด
อาวุธของเผ่าจิ่นจิ้ง คือพลังทะลวงที่ไร้เทียมทานของกองทัพอัศวินม้า
แต่ภายในป้อมปราการแห่งนี้ พลังเช่นนั้นไร้ความหมาย—ก่อนหน้านั้น พวกเขายังคิดว่าเป็นการเปิดรับพันธมิตรเข้ามาเสียด้วยซ้ำ พวกเขาไม่คาดว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นเลยสักนิด จึงไม่มีใครขี่ม้าแม้แต่คนเดียว และคนที่มีอาวุธอยู่ในมือก็มีอยู่น้อยนิด
ยิ่งไปกว่านั้น ป้อมแห่งนี้เดิมเป็นของเผ่าปอหง พวกกั๋วเคอหลงรู้จักโครงสร้างภายในเป็นอย่างดี ทั้งตำแหน่งที่เหมาะแก่การต่อสู้ ไปจนถึงจุดที่ห่างไกลจากสายตายามเฝ้า
เมื่อรวมเข้ากับกองทัพแห่งแคว้นหลานเหอ สัดส่วนกำลังพลทั้งสองฝ่ายจึงเกือบจะเท่าเทียมกัน
ถ้าเป็นการต่อสู้ระยะประชิดโดยไร้อัศวินม้า—พวกกั๋วเคอหลงย่อมได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย
“…ทหารจากแคว้นหลานเหอมาช่วยเราแล้วล่ะ มาพร้อมกับท่านพ่อด้วย แถมยังปลอมตัวเป็นทหารจิ่นจิ้งเพื่อให้พวกมันเปิดประตูให้… สุดยอดไปเลย…”
กั๋วเคอหลงคือแม่ทัพผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปอหง
พวกจิ่นจิ้งหวาดกลัวว่าเขาจะกลับมาพร้อมกองหนุน และเมื่อได้รับรายงานว่ากั๋วเคอหลงถูกจับตัวได้ จึงถึงกับร้องไชโย
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำ—ช่วงเวลาที่แยกแยะใบหน้าผู้คนได้ยากที่สุด
พวกยามเฝ้าจึงเห็นแค่ว่าอีกฝ่ายสวมเกราะของเผ่าจิ่นจิ้ง ก็หลงเข้าใจว่าเป็นพวกเดียวกันโดยไม่เอะใจ แล้วปล่อยให้เข้ามาในป้อมอย่างง่ายดาย
“มัวยืนเหม่ออะไรอยู่ พวกเจ้าก็รีบไปช่วยรบสิวะ!!”
เสียงตะโกนจากด้านนอกประตู ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงของใครบางคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วย
“แ-แต่…พวกเราได้รับคำสั่งให้เฝ้าดูเชลย…”
“ช่างมันก่อน! ตอนนี้ต้องขับไล่ศัตรูออกไปให้พ้นจากป้อม…—อ๊ะ เฮ้ย!? พวกแก เข้ามาทางไหนกัน!?”
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของหัวหน้าหน่วยสะท้อนออกมา
แล้วทันใดนั้น—
“—’เขากิเลนทะลวงเงา!’”
“—’พยัคฆ์ขาวโหมกระหน่ำ!’”
เสียงระเบิดดังกึกก้อง ฝั่งตรงข้ามประตู เหล่ายามเฝ้าถูกซัดกระเด็นปลิว
ตามมาด้วยเสียงโลหะกระทบกันดังก๊องก๊าง
ไม่กี่วินาทีต่อมา—ประตูที่ขังพวกหนัวหน่าไว้ก็เปิดออก
เด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่ตรงนั้น มือถือกระบี่แน่น
ไม่มีใครจำพวกเขาได้ คงเป็นทหารจากแคว้นหลานเหอเป็นแน่
ทั้งสองหันมาทางเชลยแล้วค้อมมือแสดงความเคารพ
“พวกเรามาช่วยแล้วขอรับ ข้าชื่อ หวงเทียนฟาง เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ ซวนชิวยี่ สหายของเผ่าปอหง”
“เข่นกัน ข้าชื่อ ชุ่ยฮวาหยาง เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะขอรับ!”
แสงสว่างส่องเข้ามาในห้องอันมืดสลัว
หนัวหน่าเคอหลงและเชลยคนอื่นๆ ต่างโห่ร้องด้วยความยินดี
เสียงของพวกเขาดังสะท้อนออกไปนอกหอคอย ราวกับต้องการให้เหล่าทหารที่มาช่วย ได้ยินด้วย
และแล้ว—เหล่าเชลยที่ถูกนำโดยเด็กหนุ่มทั้งสอง ก็หลบหนีออกจากคุกคุมขังแห่งนั้นสำเร็จ
MANGA DISCUSSION