“ไม่ได้นะขอรับ องค์ชายรัชทายาท”
ผู้ที่เข้ามาขัดขวางรัชทายาทหลางเหยียน ก็คือ จ้าวเซ็กหมิง
“ไม่มีแบบอย่างใดอนุญาตให้ผู้ไร้ตำแหน่งเอ่ยคำวิจารณ์โดยตรงนะขอรับ”
“พูดอะไรของเจ้า เซ็กหมิง ข้าเป็นคนส่งบัตรเชิญถึงคนตระกูลหวงเองนะ”
“เรื่องกับหวงเทียนฟางจบลงแล้วขอรับ”
“อย่ามาตลกน่า เซ็กหมิง! ข้าเงียบฟังอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!”
รัชทายาทหลางเหยียนจ้องมองจ้าวเซ็กหมิงด้วยสายตาคมกริบ
“ข้า… หลางเหยียนผู้นี้… เคยได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลหวง ณ แผ่นดินทางเหนือ… นั่นเป็น… ความจริง… ต่อให้ไม่อยากยอมรับ แต่มันก็เป็นความจริงอยู่ดี…”
คำพูดนั้นตกลงกลางห้องโถง ราวกับขว้างหินใส่ผืนน้ำ เงียบกริบ
รัชทายาทหลางเหยียนจิกเล็บลงบนแขนเสื้อพลางเอ่ยเสียงพร่ากลั้นอารมณ์
“แต่แล้วเจ้ากลับพูดกับหวงเทียนฟางว่า ‘ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับรัชทายาทผลักไสศัตรูต่างเผ่า’ เจ้ากำลังดูแคลนข้าอยู่หรือ!?”
“ข้า… ข้าทำเพื่อฝ่าบาท…”
“หากจะลบล้างชื่อ ‘รัชทายาทอัปมงคล’… ก็ต้องเป็นความดีความชอบที่ข้า หลางเหยียน ทำได้ด้วยตัวเองเท่านั้น!”
รัชทายาทหลางเหยียนตะโกนลั่น
“หรือเจ้ากำลังบอกว่า ข้าทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ! จ้าวเซ็กหมิง!”
“ฝะ… ฝ่าบาท! โปรดอย่าตรัสเช่นนั้นขอรับ!”
“ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าข้าเป็น ‘รัชทายาทอัปมงคล’ จะปิดบังไปก็เปล่าประโยชน์!”
“…ฝ่าบาท”
“มลทินนี้มีอยู่จริง แต่ข้าจะไม่มีวันแย่งชิงความดีของผู้อื่นเพื่อจะลบล้างมัน! หากจะล้างอัปมงคล ก็ต้องเป็นข้าเองที่สร้างคุณงามความดีนั้น!”
“แต่ข้าคิดว่า ความดีของผู้ใต้บัญชาควรนับเป็นผลงานของแม่ทัพ—”
“ครั้งที่เราสู้กับเผ่าจิ่นจิ้ง แม่ทัพของกองทัพก็คือ หวงไห่เหลียง เพื่อนของข้าเอง”
“…อึก”
“ถ้าความดีของผู้ใต้บัญชาเป็นของแม่ทัพ งั้นทุกผลงานก็เป็นของไห่เหลียงหมดน่ะสิ เจ้าว่าข้าควรแย่งความดีจากเพื่อนหรือไง!?”
…พูดถึงแล้ว รัชทายาทหลางเหยียนก็เป็นคนแบบนี้นี่นา
หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี มีนิสัยชอบดูถูกผู้อื่น
แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ
ในเกม พงศาวดารตำนานจอมกระบี่ ราชาหลางเหยียนเป็นคนที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด
คงเป็นเพราะศักดิ์ศรีที่สูงจนบดบังสำนึก
แต่ดูเหมือนว่าในวัยรัชทายาท เขาจะไม่อาจยอมรับได้ที่จะขโมยความดีของผู้อื่นแม้แต่น้อย
“ข้าขอกล่าวกับหวงเทียนฟาง ผู้เป็นน้องของเพื่อนข้า”
แน่นอนว่า รัชทายาทหลางเหยียนไม่ได้รู้สึกดีกับข้าหรอก
สายตาที่มองข้ายังคงขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย
“เรื่องการต่อสู้กับเผ่าจิ่นจิ้ง ข้าขอขอบคุณ”
“ข้าขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดีขอรับ”
“แต่เรื่องนั้น มันจะมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
รัชทายาทหลางเหยียนกัดฟันกล่าว
“ข้าจะไม่มีวันให้เจ้าช่วยเหลืออีกเป็นครั้งที่สอง มิฉะนั้น ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนต่อหน้าทหารกองหมาป่าที่ขึ้นตรงต่อข้า”
“ข้าถือว่าคำกล่าวของฝ่าบาท ช่างสูงส่งนัก”
“…ว่าแต่ เจ้าเคยบอกว่ารู้ชื่อของเจ้าชายเผ่าจิ่นจิ้ง สินะ”
รัชทายาทหลางเหยียนชะงักเล็กน้อย เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“ตอนนั้นเจ้าว่าได้ยินมาจากข่าวลือ ถูกหรือไม่?”
“ขอรับ เป็นอย่างที่ฝ่าบาทว่า”
จริงๆ แล้วมาจากความรู้ในเกม แต่แน่นอน พูดออกไปไม่ได้ล่ะนะ
ข้าจึงอ้างว่าได้ยินเรื่องของเซิงไท่เจี่ย จากข่าวลือแทน
“บิดาและพี่ชายของข้าอยู่แนวป้องกันทางเหนือ ข้าเองก็คิดจะช่วยบ้างแม้เพียงเล็กน้อย จึงรวบรวมข้อมูลอยู่เรื่อยมาขอรับ”
“อย่างนั้นรึ… เจ้าก็เป็นคนเช่นนั้นเองสินะ…”
“องค์ชาย?”
“เปล่า ไม่มีอะไร ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถามเจ้าซึ่งดูจะรู้เรื่องมากเสียหน่อย”
รัชทายาทหลางเหยียนจ้องมองข้าอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าคิดว่า… วิธีใดจึงจะรับมือกับภัยคุกคามจากเผ่าจิ่นจิ้งได้ดีที่สุด”
“—ฝ่าบาท!?”
“เรื่องเช่นนี้ไม่ควรถามจากผู้ไร้ตำแหน่ง—”
“ถึงจะเคยรบกับเผ่าจิ่นจิ้ง แต่หวงเทียนฟางก็ยังเยาว์นัก!”
เหล่าขุนนางที่อยู่ในห้องโถงต่างเอ่ยเสียงดัง
ข้าเองก็ตกใจ
ไม่คิดเลยว่า รัชทายาทหลางเหยียนจะถามความเห็นทางการทหารจากข้า
ถ้าพูดอะไรผิดไป อาจทำให้พ่อกับพี่ชายลำบากได้
งั้นก็เอาคำพูดของท่านพ่อมาใช้ก็แล้วกัน
“เรื่องรับมือกับเผ่าจิ่นจิ้ง ข้าเห็นพ้องกับท่านพ่อ หวงอิ๋งเซินขอรับ”
ข้าตอบอย่างหนักแน่น
“เพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเผ่าจิ่นจิ้ง ควรร่วมมือกับชนเผ่ารอบข้าง พวกเขาเป็นพวกชอบสงคราม ทำให้ชนเผ่าอื่นได้รับผลกระทบ หากเราส่งฑูตไปสร้างสัมพันธไมตรี ก็น่าจะร่วมมือกันได้ขอรับ”
“ไห่เหลียงก็เคยพูดเช่นนั้น”
“พี่ชายของข้ามีเป้าหมายเดียวกับข้าขอรับ”
“แต่รอบๆ เผ่าจิ่นจิ้งก็มีชนเผ่าหลายเผ่า จะเริ่มเจรจากับใครก่อนดีล่ะ?”
“…องค์ชาย”
“แค่พูดคุยกันเฉยๆ ไม่ได้จะกำหนดนโยบายชาติเสียหน่อย”
ต่อให้บอกแบบนั้น ข้าก็ลำบากใจอยู่ดี
สิ่งที่ข้ารู้มาจากเกมในอีกสิบปีข้างหน้า
ตอนนั้น แถบทางเหนือมีแค่เผ่าจิ่นจิ้ง เผ่าอื่นถูกกลืนหายไปหมดแล้ว
เพราะในเกม อาณาจักรหลานเหอกำลังวุ่นวาย เผ่าจิ่นจิ้งจึงไม่มีอะไรต้องกลัว และสามารถรุกรานเผ่าอื่นได้อย่างสบายใจ
ในเกมยังมีตัวละครจากเผ่าจิ่นจิ้งที่แต่งกายแปลกประหลาด สีผมก็แตกต่าง
พวกเขาน่าจะเป็นชาวเผ่าอื่นที่ถูกกลืนเข้ามา
ข้าจำได้ว่าในเกม มีตัวละครผมแดง พันผ้าที่คอ ดูแล้วน่าจะเป็น…
“ข้าเห็นว่า… เราควรผูกไมตรีกับ เผ่าปอหง ขอรับ”
ข้าตอบ
เผ่าปอหงอยู่ในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ แม้จะโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่เคยเป็นศัตรูกับอาณาจักรหลานเหอ
“เผ่าปอหงรึ… หืมม”
รัชทายาทหลางเหยียนทำท่าครุ่นคิด
“คำตอบช่างเหนือความคาดหมาย เซ็กหมิง เจ้าคิดอย่างไร?”
“ในเมื่อเป็นการพูดคุยระหว่างงานเลี้ยง ก็ตอบได้สินะขอรับ”
“อืม เป็นเพียงการสนทนาในงานเลี้ยงเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตอบว่า เป็นข้อเสนอที่ไม่ควรนำไปพิจารณาขอรับ”
“เพราะเหตุใด?”
“เผ่าปอหงอ่อนแอที่สุดในบรรดาชนเผ่ารอบข้าง พวกเขาใช้ชีวิตในหุบเขา แทบไม่ข้องแวะกับผู้ใด จึงยากจะเป็นพลังหนุนให้เราขอรับ”
“เข้าใจแล้ว”
รัชทายาทหลางเหยียนพยักหน้า แล้วหันกลับมามองข้า
“เจ้าได้ยินแล้ว เจ้าคิดอย่างไร หวงเทียนฟาง?”
“ท่านว่าปอหงเป็นเผ่าที่อ่อนแอใช่ไหมขอรับ”
“ใช่แล้ว”
“ยอดเยี่ยมจริงๆ นะขอรับ ที่เผ่าที่เล็กขนาดนั้น ยังสามารถรักษาเอกราชได้ แม้อยู่ใกล้เผ่าจิ่นจิ้ง”
ในเกม ตัวละครจากเผ่าปอหงที่เป็นลูกน้องของเซิงไท่เจี่ยแข็งแกร่งมาก ถึงแม้จะไม่อาจเทียบเซิงไท่เจี่ยได้ แต่ก็มีทั้งพละกำลังและสติปัญญา
บางทีในเวลานี้เอง เผ่าปอหงอาจมีบุคคลสำคัญเหล่านั้นอยู่ จึงสามารถรักษาเอกราชไว้ได้
“แม้จะเป็นชนเผ่าเล็กๆ แต่ยังคงยืนหยัดได้ นั่นคือหลักฐานว่าพวกเขามีคนเก่งอยู่ไม่ใช่หรือขอรับ?”
“แต่ก็ยังเป็นเผ่าเล็กอยู่ดี”
“งั้นหมายความว่า ไม่สมควรที่อาณาจักรเราจะให้เกียรติเขาอย่างนั้นหรือขอรับ?”
“อืม ข้าคิดเช่นนั้น”
“ในสายตาของอาณาจักรหลานเหอ เผ่าปอหงอาจเล็กเกินไปก็จริง”
ข้าโค้งคำนับ แล้วกล่าวต่อ
“แต่ในสายตาเผ่าจิ่นจิ้ง พวกเขาก็ยังเป็นเป้าหมายที่น่ากลืนกินขอรับ”
“…อืมม”
“หากเผ่าจิ่นจิ้งกลืนปอหงได้ พวกเขาจะยิ่งแข็งแกร่ง และอาจหันมารุกรานหลานเหอก็ได้”
“…อืมมม”
“เพราะพวกเขาเล็ก เราจึงควรแสดงความเมตตาในฐานะประเทศใหญ่ หากปอหงกลายเป็นพันธมิตร พวกชนเผ่าอื่นที่เกรงกลัวเผ่าจิ่นจิ้ง ก็อาจหันมาถวายบรรณาการแด่หลานเหอ การมีพันธมิตรเล็กเพิ่ม อาจนำไปสู่พันธมิตรใหญ่อีกหลายเผ่า”
“ก่อนหน้านี้เจ้าก็พูดแบบนี้เช่นกัน”
รัชทายาทหลางเหยียนมีสีหน้าเหมือนกำลังเคี้ยวของขม
“หากคู่สนทนาเป็นลูกนก เจ้าก็จะยื่นมือช่วย แล้วอยู่เคียงข้างกัน เจ้า… ชอบวิธีการแบบนี้สินะ”
“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ฝ่าบาททรงจดจำได้”
“เข้าใจแล้ว… พอแค่นี้เถอะ”
รัชทายาทหลางเหยียนโบกมือเล็กน้อย
“ลำบากเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกดีเสมอเมื่อได้พูดคุยกับคนตระกูลหวง”
“ทรงเมตตาขอรับ”
“ไห่เหลียงก็ไม่ค่อยส่งจดหมายมาหาเลย ข้าเลยพลั้งปากคุยกับเจ้าซะยาวน่ะ หวงเทียนฟาง”
“…เอ๋?”
นั่นมันแปลกแล้ว
พี่ชายส่งจดหมายมาถึงราชสำนักแน่ๆ
หรือว่า จดหมายไม่ได้ถึงมือรัชทายาท?
“ข้าขอทูลด้วยความเคารพขอรับ”
ข้าหมอบราบลงกับพื้น เปล่งเสียงออกมา
สุดท้าย ขอต่ออีกสักนิดเถอะ
“เรื่องของพี่ข้า หวงไห่เหลียง ในจดหมายที่พี่ข้าส่งถึงพระองค์ ล้วนมีข้อความแสดงความห่วงใยเสมอ พี่ข้าเป็นห่วงพระองค์อย่างแน่นอน”
“หวงไห่เหลียงก็คงเป็นเช่นนั้นจริง”
“และท่านพี่ก็บอกกับมารดาว่า รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากพระองค์เลยขอรับ”
“…อะไรนะ?”
สีหน้าของรัชทายาทหลางเหยียนเปลี่ยนไปทันที
“ไห่เหลียงเคยส่งจดหมายมางั้นหรือ!? แต่ข้าไม่เคยได้รับเลยนะ!?”
อย่างที่คิดไว้
รัชทายาทหลางเหยียนห่วงใยพี่ชาย เรียกเขาว่า “เพื่อน” เสมอ
ไม่น่าจะเพิกเฉยจดหมายกันได้ลง
แสดงว่า จดหมายของพี่ชาย ถูกสกัดไว้กลางทาง
และคนนั้น… ก็น่าจะอยู่ข้างกายของรัชทายาทหลางเหยียนด้วย…
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมจดหมายจากเพื่อนของข้าถึงมาไม่ถึงมือ?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากจ้าวเซ็กหมิง
“มีจดหมายเข้ามามากมายทั้งหนังสือสำคัญ รายงานจากเขตแดนเหนือด้วย ดูท่าจะปะปนไปกับพวกนั้นกระมังขอรับ เช่นนั้นข้าจะเป็นฝ่ายดำเนินการตรวจสอบให้เอง ไม่ทราบว่าเห็นสมควรหรือไม่ องค์รัชทายาท”
“ไม่เป็นไร ข้าจะเป็นคนสืบเรื่องนี้เอง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางประตูสวน
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นเป็นพระอนุชาแห่งราชวงศ์—ท่านเหลียวหยวน ปรากฏตัวอยู่ที่นั่น
“แม้จะเป็นหนังสือส่วนตัว แต่หากเป็นข้อความที่ส่งมาจากผู้พิทักษ์ชายแดน ก็มิอาจปล่อยผ่านได้หรอก”
“…ท่านอา”
“ข้ามาช้าไปหน่อย ต้องขออภัยด้วยนะขอรับ ท่านรัชทายาท”
เหลียวหยวนยังคงยิ้มละมุนไม่เสื่อมคลาย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เรื่องครั้งนี้ ขอให้ข้าเป็นคนสืบสวนเถิด”
“ถึงอย่างไรก็มิใช่เรื่องที่ต้องให้พระอนุชาทรงลำบากถึงเพียงนั้น…”
“แต่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับดินแดนทางเหนือ ถือเป็นหน้าที่ของข้า จ้าวเซ็กหมิง”
“…มะ-แม้เป็นเช่นนั้น…”
“ข้าจะสั่งให้คนของข้าเป็นผู้ตรวจสอบ เรื่องนี้ตกลงกันตามนั้นได้หรือไม่”
“…………เข้าใจแล้วขอรับ”
จ้าวเซ็กหมิงตอบรับในที่สุด
เมื่อนั้น ข้าก็ถือโอกาสลุกจากที่นั่ง กลับไปยังตำแหน่งของตน
หลังจากนั้น งานเลี้ยงก็กลับเข้าสู่บรรยากาศปกติอีกครั้ง
ท่านรัชทายาทหลางเหยียนดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่พักใหญ่
ก่อนที่งานจะเข้าสู่ช่วงสนุกสนาน ท่านก็ลุกออกจากงานไปเสียก่อน
ระหว่างที่งานยังดำเนินอยู่ ท่านเหลียวหยวนก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องรับรองให้ข้าฟัง
เล่าว่าซิงเล่ยปฏิบัติตัวเรียบร้อยดีตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น
และลูกสาวของท่านเหลียวหยวน—ซื่อหลี่ ก็สนิทสนมกับซิงเล่ยอย่างรวดเร็ว
“ข้าประสงค์จะเชิญน้องสาวของเจ้าไปที่เรือนในเร็ววันนี้ แล้วในโอกาสนั้น ข้าจะส่งผลการสืบสวนเกี่ยวกับหนังสือของพี่ชายเจ้าให้ทราบ”
กล่าวจบ ท่านเหลียวหยวนก็ลุกจากงานเลี้ยงไป
งานก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นจนจบลง—แล้วหลังจากนั้น…
“รออยู่เลยค่ะ พี่ชาย”
“เหนื่อยแย่เลยนะคะ คุณชายฟาง”
ในที่สุดข้าก็ได้กลับมารวมกลุ่มกับซิงเล่ยและทุกคน แล้วพากันกลับจวนตระกูลหวงอย่างปลอดภัย
MANGA DISCUSSION