——มุมมองของซิงเล่ย——
“…ต้องทำมัน ต้องทำให้ดี…”
ซิงเล่ยพึมพำแผ่วเบาในห้องส่วนตัวของข้า
ร่างกายขยับไม่ค่อยได้ดั่งใจเลย
นับจากวันที่ซิงเล่ยถูกรับตัวเข้าสกุลหวง ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว
ท่านประมุขหวงอิ๋งเซิน และฮูหยินหวงอวี้ซื่อ ต่างกล่าวกับข้าว่า “จงคิดที่นี่เป็นบ้านของเจ้า”
ทว่า… ซิงเล่ยก็มิใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของทั้งสอง
ข้าได้รับความเมตตาเพราะบิดาของตนเป็นสหายสนิทของท่านประมุขหวงอิ๋งเซิน
หากใช้ชีวิตไปโดยมิได้มีคุณค่า… วันหนึ่งอาจถูกขับไล่ออกไป
“…ถูกขับไล่…หากตายไป…จะไม่ดีกว่าหรือ?”
ข้าพูดกับครอบครัวที่ไม่อยู่ ณ ที่นี้อีกแล้ว
ข้ายังคงจดจำเหตุการณ์ที่กองทหารของบิดาถูกซุ่มโจมตีได้
ยามสนธยา…
พลม้าของเผ่าต่างถิ่นควบทะยานลงมาตามไหล่เขาที่ถูกย้อมด้วยแสงสีแดงฉาน
อีกเพียงไม่นานก็จะถึงป้อมปราการทางเหนือ ข้ากับท่านแม่ต่างคิดว่าการเดินทางในวันนี้จบลงแล้ว
จนกระทั่ง ได้ยินเสียงลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนปักลงบนตัวรถม้า
เมื่อแง้มหน้าต่างออก ข้าก็สบตากับพลม้าผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นยังเยาว์วัย… ใช้ผ้าพันรอบใบหน้า มองไม่เห็นสีหน้าของเขาเลย มีเพียงเส้นผมสีแดงสดที่ข้าจำได้ขึ้นใจ
พวกเขามิได้ว่ากล่าวอะไร เพียงพุ่งเข้าโจมตีกองคาราวานของสกุลหลิวอย่างไร้ปรานี
หลังจากนั้น… ข้าก็ไม่มีความทรงจำที่ชัดเจนอีก
เสียงกรีดร้องของผู้คนที่คุ้นเคยดังก้องไปทั่ว
เสียงตะโกนของท่านพ่อก็ดังขึ้น… ก่อนจะเงียบหายไป
กลิ่นควันไฟคลุ้งไปทั่ว พร้อมเสียงเปลวเพลิงลุกโพลง รถม้ากำลังลุกไหม้
ข้าเอ่ยเรียกชื่อแมวเลี้ยงที่ยังคงอยู่ในกรง แต่ท่านแม่กลับปิดปากข้าไว้
“ลืมเรื่องแมวไปเสีย”
“สิ่งสำคัญคือการปกป้องชีวิตของเจ้า”
ในที่สุด ก็มีใครบางคนผลักข้าตกลงหน้าผาไป
ความหวาดกลัวและความเจ็บปวด… ทำให้ข้าหมดสติ
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง กองทหารของหวงอิ๋งเซินก็เป็นผู้ช่วยเหลือข้าไว้
บุรุษร่างสูงใหญ่ หนวดเครารุงรัง ก้มลงมองหน้าข้า
“เจ้าเป็นบุตรสกุลหลิวสินะ”
“ข้าคือหวงอิ๋งเซิน บิดาของเจ้า หลิวอี้จง เป็นสหายของข้ามานานกว่าสามสิบปี ภรรยาของข้า หวงอวี้ซื่อ ก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากสกุลหลิวมาก่อน…”
“พวกเขา… โชคร้ายยิ่งนัก”
“หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าอยากรับเจ้ามาอยู่ที่สกุลหวง เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
ข้าเพียงพยักหน้ารับ
ในสกุลหลิว ข้าคือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว
แม้จะมีญาติห่าง ๆ ที่เป็นอาของตน แต่ก็ถูกตัดขาดไปตั้งแต่หลายปีก่อนเพราะพฤติกรรมอันเลวร้าย
หากข้าจากไป… สกุลหลิวก็จะดับสูญ
ดังนั้น ข้าจึงเลือกไปอยู่กับสกุลหวง
มีห้องอุ่น ๆ อาหารที่เพียงพอ และชีวิตที่สงบสุข
ทว่า… ในใจกลับว่างเปล่า
ลึกลงไปภายใน… มีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา
จิตใจของข้า… แทบจะถูกแช่แข็ง
ไม่ว่าจะมองสิ่งใด สัมผัสสิ่งใด จิตใจก็ไม่ไหวติง
แม้แต่ตัวข้าเอง… ก็ยังไม่แน่ใจว่ากำลังมีชีวิตอยู่ หรือสิ้นชีพไปแล้ว
“…แต่ว่า ข้าไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว”
ทุกคนในสกุลหวงล้วนใจดีต่อข้า
ไม่มีสิ่งใดให้ข้าต้องไม่พอใจเลยสักนิด
ครั้งหนึ่ง ข้าเคยพบกับฮูหยินหวงอวี้ซื่อ
ในเทศกาลฤดูใบไม้ผลิเมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยเต้นรำร่วมกับฮูหยินและท่านแม่
บนศีรษะประดับด้วย เซวี่ยหยวนฮวา ร่ายรำตามเสียงขลุ่ยที่ท่านพ่อเป่า
“…เรื่องเช่นนั้น… คงไม่มีอีกแล้ว”
เซวี่ยหยวนฮวา… จะยังไม่บานจนกว่าฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้า
ในตอนนั้น ข้าคง… คุ้นชินกับชีวิตในสกุลหวงแล้วกระมัง
อาจลืมพ่อแม่ไปแล้ว อาจมีชีวิตเช่นคนธรรมดา…
เพียงคิดเช่นนั้น ข้าก็รู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน
ข้าลืมไม่ได้… แม้แต่เจ้าเหมียวสีดำสนิทตัวนั้น
หากวันหนึ่งข้าลืมเลือนบิดามารดา ลืมกระทั่ง เฮยเย่า เจ้าเหมียวขนดำเงางามที่เคยรักสุดหัวใจ… และกลายเป็นใครอีกคนไปแทน
…แล้วตัวตนของข้าในตอนนี้เล่า จะหายไปที่ใดกัน?
“ขออภัยที่รบกวนค่ะ, คุณหนูซิงเล่ย ข้าไป๋เย่เองค่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าห้อง
ซิงเล่ยสะดุ้ง และรีบก้าวไปเปิดประตู
สกุลหวงเมตตาต่อข้ายิ่งนัก จะกระทำการเสียมารยาทต่อพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเด็กสาวที่ดูอายุมากกว่าข้าเล็กน้อย
“คุณชายฟางฝากให้นำสิ่งนี้มาให้คุณหนูค่ะ”
“…คุณชายเทียนฟาง? ให้ข้าเหรอ?”
“ค่ะ บ่าวยอมรับว่านึกไม่ถึงนัก ไม่คิดเลยว่าคุณชายฟางจะมีฝีมือในการเจรจาเช่นนี้”
ไป๋เย่ส่ายหน้า ก่อนจะย่อตัวลง แล้วส่งห่อผ้าให้ซิงเล่ย
“คุณชายฟางติดกิจอยู่จึงให้บ่าวนำมามอบให้แทน ช่วยรับไว้เถอะนะคะ”
“…ค่ะ”
เมื่อข้าคลี่ผ้าออก
ภายในก็มี ดอกเซวี่ยหยวนฮวา ที่กำลังเบ่งบานอยู่
“……!”
ซิงเล่ยเผลอยกมือกุมอก
กลิ่นหอมของฤดูใบไม้ผลิอบอวลรอบกาย
ที่นี่คือเรือนของสกุลหวง ณ แดนเป่ยหลิน มิใช่บ้านเกิดของข้า
แต่เหตุใด… ถึงรู้สึกเสมือนอยู่ในบ้านเดิมกัน?
“……อ๊ะ?”
เมื่อตั้งสติได้ น้ำตาข้าก็ไหลรินลงมาอย่างไม่รู้ตัว
หยดน้ำตาร่วงหล่น เปียกชุ่มลงบนกลีบดอกไม้สีชมพู
และในที่สุด… ข้าก็ตระหนักได้
นี่คือปิ่นปักผม หาใช่ตัวดอกที่แท้จริงไม่
ทว่าสัมผัสของมัน ชวนให้หวนคิดถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิในปีนั้น วันที่ข้าร่ายรำภายใต้เสียงขลุ่ยของท่านพ่อ
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในอก
“…คุณชายเทียนฟาง… เหตุใดถึง…?”
“เพราะคุณชายฟางอยากสนิทกับคุณหนูซิงเล่ยเสียล่ะมั้งคะ”
ไป๋เย่กล่าวอย่างอ่อนโยน
“คุณชายฟางใส่ใจในตัวคุณหนูมาโดยตลอด ถึงกับไปไต่ถามจากท่านฮูหยินหวงว่าควรทำเช่นไรดี คุณชายฟางคิดอยู่เสมอว่าทำอย่างไรคุณหนูถึงจะอยู่ในสกุลหวงได้อย่างสบายใจ”
“……อึก……”
คำพูดข้า… ติดขัดอยู่ในลำคอ
“คุณชายฟางถึงกับเจรจาต่อรองกับพ่อค้า เพื่อซื้อปิ่นนี้มา”
“สุดท้ายแล้ว ท่านฟางใช้วิธีช่วยพ่อค้าผู้นั้น เขียนชื่อสินค้าลงข้างสินค้าให้สามารถเข้าใจได้ว่าเขาขายอะไรเป็นการเรียกผู้สนใจ เพราะพ่อค้าผู้นั้นอ่านเขียนไม่ออก เขาจึงสามารถต่อรองราคาลงมาได้”
“…คุณชายเทียนฟาง… ทำไมถึงทำเพียงนี้…”
“ทั้งหมดนี้… ก็เพื่อคุณหนูค่ะ”
“……เพื่อข้า…?”
ซิงเล่ยยกมือขึ้นปิดหน้า
น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด
ครอบครัวที่โอบกอดข้าไว้อย่างอ่อนโยน ได้จากไปหมดแล้ว
ณ วันนั้น ตัวข้า ซิงเล่ยเองก็ได้ตายลงไปครึ่งหนึ่ง
ข้าคิดว่าต่อจากนี้ ชีวิตจะมีเพียงความว่างเปล่า…
มีเพียงความทรงจำถึงวันคืนที่ท่านพ่อท่านแม่ถูกสังหาร ที่จะคอยหลอกหลอนข้าตลอดไป
แต่กลับมิใช่เช่นนั้น
ยังมีคนที่คิดถึงข้าอยู่
ยังมีคนที่พยายามยื่นมือเข้าหาข้า
เช่นวันแรกที่ได้พบกัน คุณชายเทียนฟางสังเกตเห็นว่าข้ามีลิ้นแมว จึงสอนให้ข้ารับประทานอาหารร้อนอย่างไรไม่ให้ลวกปาก
แม้จะโดนดุบ้างว่า ‘เด็กหนุ่มโตแล้วเขาไม่ทำกัน’ แต่ทั้งหมดนั้น ก็เพื่อให้ข้าสบายขึ้นแท้ ๆ
ขนมกับน้ำชา ที่เคยได้รับมา
หนังสือที่วางไว้หน้าห้องทุกเช้า
บางที… อาจเป็นคุณชายเทียนฟาง ที่นำมันมาให้ข้า
“…แต่ข้า…”
“ข้ากลับไม่ได้… ทำอะไรตอบแทนเลย”
“คุณชายฟางอยู่ที่ห้องของเขานะคะ”
เสียงของไป๋เย่ ยังคงอ่อนโยนเสมอ
“แม้คุณชายจะสั่งมิให้ข้าเข้าไปในห้องของเขา แต่ข้าว่าหากเป็นคุณหนูซิงเล่ย ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน หากท่านถูกโกรธใส่… ข้าก็จะรับผิดไปด้วย”
“…!”
ไป๋เย่ยังพูดไม่ทันจบ ซิงเล่ยก็ออกวิ่งไปแล้ว
นางอยากพบเทียนฟางเดี๋ยวนี้
อยากพูดคุย อยากเอ่ยคำขอโทษ อยากขอบคุณ
อยากฟังเรื่องราวของเขา… และอยากให้เขาฟังเรื่องของข้า
เส้นผมสีเงิน ที่ใครต่อใครเคยดูแคลน
แต่คนในครอบครัวใหม่ กลับมอบปิ่นอันนี้ให้ข้า
ให้มันประดับอยู่บนเรือนผมของข้า
…เพียงเท่านี้ ข้าก็เต็มตื้นไปทั้งใจ จนน้ำตาไหลไม่หยุด
ดังนั้น ซิงเล่ยจึงก้าวตรงไปยังห้องของเทียนฟาง
ข้าเคาะประตู หัวใจเต้นแรง ข้ามิอาจต้านทานความรู้สึกที่พลุ่งพล่านได้อีก เมื่อผลักประตูออก ผู้ที่อยู่ภายในก็คือ——
“เหมียว~”
MANGA DISCUSSION