——นี่คือเรื่องราวในวันธรรมดาวันหนึ่ง
ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับอาหารที่รินทำ ก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ผมเลยลองถามเธอดู
“นี่ ริน ฉันสงสัยอะไรนิดหน่อยน่ะ”
เมื่อผมพูดแบบนั้น รินก็หยุดตะเกียบแล้วเอียงคอสงสัยอย่างน่ารัก
จากนั้นเธอก็วางตะเกียบลงอย่างเรียบร้อยบนที่วางตะเกียบ
…การเคลื่อนไหวของเธอแต่ละอย่างนี่ช่างน่าดึงดูดใจเหลือเกิน
ผมเผลอหัวเราะเบา ๆ กับตะเกียบที่ถูกวางลงอย่างเป๊ะไม่มีผิดเพี้ยนเลย
“มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“ก็ไม่มีอะไรใหญ่โตหรอก แค่ขอถามนิดหน่อยได้มั้ย?”
“ได้เลยค่ะ! ไม่มีอะไรที่ต้องห้ามสำหรับโทวะคุงค่ะ มาว่ามาเลยค่า!”
“อ-อืม… ไม่ต้องใส่ใจขนาดนั้นก็ได้…”
รินยืดอก (ซึ่งแน่นอนว่าโดดเด่นมาก) แล้วมองผมด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวอย่างประหลาด
ทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะคำถามมันไม่ได้ยิ่งใหญ่สมกับพลังใจเธอเลย
“คือว่า… รินถนัดมือไหนเหรอ?”
รินพองแก้มอย่างไม่พอใจนิด ๆ แล้วเอานิ้วแตะที่คางพร้อมกับ “อืมม…” อย่างครุ่นคิด
จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้น
“ถ้าจะว่าไป ฉันน่าจะถนัดใช้ตามากกว่านะคะ เพราะฉันดูด้วยตาเก่ง แต่ลิ้นฉันไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่…”
“เหรอ? ฉันนึกว่ารินจะเก่งเรื่องรสชาตินะ เพราะอาหารที่รินทำมันอร่อยหมดเลย”
“ฟุฟุ ฉันก็แค่พอเดาแบรนด์ชาได้เท่านั้นเองค่ะ ยังไม่เก่งอะไรหรอก”
“…หืม?”
สิ่งที่รินพูดทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่
…ผมหูฝาดรึเปล่า?
พอมองหน้าริน เธอก็ยังทำหน้านิ่งตอบแบบจริงจัง
“เอ่อ คุณรินครับ? ถ้าแค่เดาแบรนด์ชาได้ยังเรียกว่า ‘ยังไม่เก่ง’ แล้วมาตรฐานของฉันมันไม่พังหมดเหรอ…? แล้วแบบนั้นยังเรียกว่า ‘ยังไม่เก่ง’ เหรอ?”
“ค่ะ ฉันยังแยกความต่างระหว่างโค○า กับ เ○ปซี่ ไม่ค่อยออกเลย ถือว่ายังไม่เก่งค่ะ”
“อ่า นั่นก็จริง แยกยากอยู่… แต่มันไม่ได้แยกจากความหวานหรือความสดชื่นได้เหรอ? ถึงฉันจะจำไม่ค่อยได้ก็เถอะ”
“ฉันแยกแบบนั้นได้นะคะ”
“แล้วหมายความว่าไงว่าแยกไม่ออก?”
“คือฉันยังแยกปริมาณส่วนประกอบที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มไม่ได้น่ะค่ะ… แยกไม่ออกถือว่ายังไม่ดีพอ…”
“เกณฑ์บ้าอะไรเนี่ย!?”
“ฮือออ ฉันช่างไร้ความสามารถ น่าอายเหลือเกิน… แบบนี้ฉันคงไม่กล้าเดินออกไปพบผู้คนแล้ว…”
“ถ้ามีเกณฑ์แบบนั้น ฉันคงไม่กล้าออกไปไหนตลอดชีวิตเลย… เกณฑ์ของรินมันแปลกไปแล้วนะ…”
“เหรอคะ?”
อะไรกัน ทำหน้าตาใสซื่อแบบนั้นทำไม…
ทำเหมือนผมเป็นคนพูดแปลก ๆ อย่างนั้นแหละ
แต่… ก็เป็นรินนั่นแหละนะ
“สรุปว่า… ทักษะการ ‘ใช้สายตา’ ของรินมันไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยล่ะ?”
“อยากรู้ไหมคะ?”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่สามารถรับมือกับการจู่โจมของเธอได้แน่ ๆ”
“…เสียดายจัง ฉันตั้งใจจะโชว์ให้โทวะคุงเห็นด้วยซ้ำ…”
“ไม่ต้องโชว์ก็ได้ รินก็มีด้านดีเยอะแยะแล้ว…”
“เยอะแยะ?”
สีหน้ารินสว่างวาบขึ้นมา และเธอก็มองผมเหมือนกำลังรอฟังอย่างคาดหวัง
สายตานั้นสื่อว่า “พูดมาเลยค่ะ! ฉันรอฟังอยู่นะ!”
ผมทนแรงกดดันไม่ไหวเลยเบือนหน้าหนี
“ไม่มีอะไรหรอก…”
“เอ๋~ โทวะคุงขี้งกจังเลย~”
“ก็… มันเขินนี่นา ถ้าจะให้พูดออกมาตรง ๆ น่ะ…”
“งืออ~ อยากฟังนะคะ~”
“อึ๊ก อย่าทำเสียงอ้อนแบบนั้นสิ! อย่ามาจิ้มแก้มด้วย!”
“เอะเฮะ~”
“เฮ้อ… สกิลอ้อนของรินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะเนี่ย…”
“ฟุฟุ ก็ฉันเรียนรู้ได้หลังจากได้พบกับโทวะคุงนี่นา~ พูดอีกอย่างก็คือ โทวะคุงเป็นคนสอนเองนั่นแหละค่ะ?”
รินพูดพลางเริ่มออดอ้อนเหมือนจะเข้ามากอด
แล้วก็ลุกขึ้นมาย้ายมานั่งข้างผม เอาหัวพิงไหล่ผม
ไหล่ผมรับรู้ถึงน้ำหนักน้อย ๆ และกลิ่นหอมหวานที่ชวนให้ใจเต้น
พอมองไปก็สบตากับเธอ รอยยิ้มละมุนระบายอยู่บนใบหน้า
…ช่างน่าดึงดูดใจเกินไปจริง ๆ
ผมพยายามรักษาความสงบในใจ แล้วถอนหายใจเบา ๆ
กระแอมหนึ่งที แล้วพยายามวกกลับไปที่คำถามเดิมที่อยากรู้
“คือ… ที่ฉันอยากถามจริง ๆ ไม่ใช่นั่นหรอกนะ…”
“อ๊ะ รู้เลยค่ะ กำลังเปลี่ยนเรื่องอยู่ใช่มั้ยคะ?”
“ปล่อยฉันเถอะ…”
“ไม่ปล่อยหรอก~”
“ถึงจะพูดงั้นก็เถอะ…”
“ฟุฟุ ล้อเล่นน่า ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ จะฟังอย่างตั้งใจนะคะ”
“…ฮะฮะฮะ”
คำพูดเหมือนรู้ทันของเธอทำให้ผมหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
แพ้หมดรูปเลยแฮะ…
แต่ ขอบใจนะ
ผมคิดในใจ
“คือ ริน ที่ฉันอยากถามจริง ๆ คือ เรื่อง ‘มือข้างที่ถนัด’ ต่างหากล่ะ เวลาถามว่า ‘ถนัดข้างไหน’ ก็มักหมายถึงมือใช่มั้ยล่ะ?”
“อ๋าา~ หมายถึงเรื่องนั้นสินะคะ…”
“…ทำไมทำหน้าเหมือน ‘จริงดิ!? ตกใจหมดเลย’ แบบนั้นล่ะ?”
“ก็ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยค่ะ รู้สึกเหมือนโดนจู่โจมจากจุดอ่อนเลยล่ะ โชวะคุงเล่นเอาฉันไปหนึ่งดอกแล้วนะคะ~”
“…ทำไมรู้สึกไม่ค่อยแฟร์ยังไงไม่รู้แฮะ…”
เธอต้องรู้อยู่แล้วแน่ ๆ ว่าหมายถึงอะไร…
“เอาเถอะ แล้วรินล่ะ ถนัดข้างไหน? เห็นตอนเรียนใช้มือขวาจับปากกา ก็น่าจะมือขวา?”
“ฉันถนัดซ้ายนะคะ”
“หา จริงเหรอ? แล้วทำไมเอียงคอแบบนั้น?”
“ก็ฉันไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องมือถนัดเลยน่ะค่ะ”
“จะเป็นไปได้ไง? มือถนัดมันก็คือมือที่ใช้โดยไม่รู้ตัวไม่ใช่เหรอ?”
“สำหรับฉัน ฉันแบ่งใช้ตามสถานการณ์ค่ะ เวลาปกติก็ใช้มือขวาเป็นหลัก เพราะใช้ซ้ายมันไม่สะดวก”
“อ้อ เข้าใจล่ะ สำหรับคนถนัดซ้าย มันลำบากจริง ๆ”
“ใช่เลยค่ะ ดังนั้นในชีวิตประจำวันใช้ขวา ส่วนกีฬาใช้ซ้ายค่ะ แต่จะใช้ทั้งสองข้างก็ได้เหมือนกัน เวลาเรียนเหนื่อย ๆ ฉันก็เปลี่ยนมือจับปากกาได้ด้วยนะคะ”
“แค่เรียนเหนื่อยก็พักเถอะน่า…”
เรียนด้วยมือขวา พอเหนื่อยก็เปลี่ยนมือซ้ายเนี่ยนะ…
แต่พอนึกดี ๆ ผมก็เคยเห็นรินทำแบบนั้นตอนทำอาหาร ใช้สองมือคล่องมาก
“ว่าแต่ น้ำหนักการเขียนก็เท่ากันด้วยนะคะ ลองทายสิ ว่าอันนี้ฉันเขียนด้วยมือไหน?”
“โห… เหมือนกันเป๊ะเลย ดูไม่ออกหรอก”
“เอะเฮ่ม! แล้วก็ แรงบีบมือก็เท่ากันด้วยค่ะ!”
“สุดยอด… ไม่ใช่แค่ถนัดทั้งสองมือ แต่อะไรจะสมดุลขนาดนี้…”
“จะลองดูไหมคะ?”
“ก็ได้อยู่ แต่ที่บ้านฉันไม่มีเครื่องวัดแรงบีบนะ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใช้วิธีนี้ได้~”
พูดจบ รินก็จับมือผมแล้วยิ้มหวาน
“ริน? จับมือทำไมเนี่ย? แบบนี้มันก็แค่จับมือธรรมดา ไม่ใช่วัดแรงบีบมือซะหน่อย?”
“ก็จริงค่ะ… แถมใส่แรงไม่ค่อยได้ด้วย…”
“ใช่มั้ยล่ะ? ต้องปล่อยแขนตามธรรมชาติแบบนี้…”
แต่พอผมถอนหายใจพร้อมยักไหล่ เธอก็ขยับเข้ามาใกล้
ผมรู้สึกว่าเธอเพิ่มแรงบีบมือนิดหน่อย
รินที่ขยับตัวเข้ามาทำให้หัวใจที่เริ่มสงบแล้วของผมเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ ริน…?”
“เพื่อให้แขนอยู่ในท่าธรรมชาติ ต้องเข้าใกล้หน่อยค่ะ”
“…ใกล้ไปแล้วมั้ง?”
“จำเป็นสำหรับการวัดแรงค่ะ ต้องทำในท่าที่สบายเป็นธรรมชาติ”
“ธรรมชาติบ้าบออะไรเนี่ย ฉันเกร็งจะแย่แล้ว…”
“ฉันธรรมชาติสุด ๆ เลยนะคะ~ …หรือว่าไม่ชอบคะ?”
มุมกล้องสังหาร สายตาอ้อนจากด้านล่าง
นี่ยังไงล่ะ โกงชัด ๆ…!
“…ไม่ ไม่ได้ไม่ชอบ”
“งั้นก็ดีค่ะ~♪”
ถึงจะรู้สึกว่ากินอาหารลำบากแค่ไหนในสถานการณ์นี้
ผมก็รู้สึกได้ถึงความสุขจากบทสนทนาเล็ก ๆ แบบนี้
แต่ถ้าเธอรู้ว่าผมรู้สึกยังไง… มันก็คงจะน่าอายอยู่ดีนะ
MANGA DISCUSSION